สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 362 โอกาส
ตอนที่ 362 โอกาส
……….
“จะไปดูที่ฝั่งตะวันตกเมืองหลวงหรือ” เฮ่อชิงเซียวถาม
ซินโย่วส่ายหน้า “ไม่ไปแล้ว”
คนของจวนกู้ชางป๋อถูกประหารตัดศีรษะ นางไปยังลานประหารด้วย เพราะทางข้างหน้าไม่กระจ่าง นางต้องการได้เห็นจุดจบของคนเหล่านี้ด้วยตาตนเองจึงจะรู้สึกสงบใจลงได้
แต่ตอนนี้ นางมีความมั่นใจแล้ว จึงไม่จำเป็นอีกแล้ว อย่างไรนางก็ไม่ได้มีความชอบที่จะดูคนถูกตัดศีรษะ
“ใต้เท้าเฮ่อ ระยะนี้ข้าจะหาโอกาสเสนอนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ หากราบรื่น ก็จะเลี้ยงสุราท่าน”
เฮ่อชิงเซียวยิ้มพยักหน้า “ได้”
ยามนี้ความสนใจของทุกคนในเมืองหลวงอยู่ที่เหตุการณ์ประหารทางเมืองฝั่งตะวันตก ในตอนนี้เอง มีรายงานด่วนฉบับหนึ่งส่งมายังเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
เกิดภัยพิบัติหิมะในหลายพื้นที่ของหมู่บ้านชายแดน กำลังรอการช่วยเหลือเร่งด่วน
พื้นที่หมู่บ้านชายแดนเป็นแนวป้องกันสำคัญ เกี่ยวพันถึงความมั่นคงของแผ่นดิน ย่อมมิอาจปล่อยปละละเลย
ขณะที่รายงานด่วนมาถึง ซินโย่วถูกเรียกตัวเข้าวังมาพอดี ได้ยินฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับสั่งเรียกตัวขุนนางคนสำคัญแต่ละหน่วยงานเข้าเฝ้า นางก็ทำตัวไร้ตัวตนเงียบๆ จะได้ไม่ถูกไล่ออกไป
จิตใต้สำนึกของนางรอคอยโอกาสนี้มาตลอด
ไม่นานขุนนางใหญ่ก็เร่งรีบเข้าวังมา
ผู้ที่มาถึงเป็นคนแรกก็คือเสนาบดีกรมคลัง พอพบว่าซินโย่วอยู่ในที่นี้ด้วย ก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
แค็กๆ เขาเป็นแค่คนคุมเงินไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนในเรื่องนี้
ผู้ที่มาถึงเป็นคนที่สองก็คือเสนาบดีกรมทหาร หางตาเหลือบมองสาวน้อยในชุดสีเขียวข้างๆ แล้วก็รีบถอนสายตากลับคืน
แน่นอนว่าเข้าวังมาเข้าเฝ้าไม่อาจมองสะเปะสะปะรอบกาย จะนำความยุ่งยากมาสู่ตนเองได้ง่าย
ผู้ที่มาถือเป็นคนที่สามก็คือรองเจ้ากรมโยธาซ้ายและขวา เหตุใดเสนากรมบดีกรมโยธาไม่มา อ้ออ กำลังถูกจองจำรอการประหารอยู่ในคุก มาไม่ได้แล้ว
พบว่าซินโย่วอยู่ด้วย เขาก็เงียบงัน
เสนาบดีทั้งสองไม่เอ่ยอันใด เขาเป็นแค่รองเจ้ากรมก็ไม่ควรกล่าวมากวาจา
เดิมเสนาบดีกรมพิธีการแอบเป็นที่คาดหวังของบรรดาขุนนางด้วยกัน ปรากฏเขาก็ทำให้ทุกคนผิดหวัง
ท่านซุนที่แต่ไรเน้นความสำคัญของกฎธรรมเนียมถึงกับไร้ปฏิกิริยา!
สุดท้ายกลับเป็นเจ้ากรมสำนักตรวจการฝ่ายซ้าย[1] หยางฉี่หมิงได้ยินฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถึงรายงานเร่งด่วนเรื่องภัยพิบัติจากหิมะ ก็มองไปที่ซินโย่วทีหนึ่ง ทูลเสียงดังกังวานขึ้น “กระหม่อมคิดว่าซิ่วอ๋องเองก็ควรมาร่วมฟังการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกไป คนไม่น้อยก็แอบชื่นชมความกล้าของหยางฉี่หมิง
ซินโย่วเองก็เหลือบตาขึ้นมองเจ้ากรมสำนักตรวจการฝ่ายซ้ายผู้นี้เล็กน้อย
หยางฉี่หมิงสีหน้าเปิดเผยดังคนไร้ความคิดเห็นเป็นการส่วนตัว
หารือกิจแผ่นดิน ในเมื่อซินไต้จ้าวในฐานะบุตรสาวร่วมฟังได้ เหตุใดบุตรชายคนโตที่ออกจากวังไปอยู่จวนตนเองแล้วร่วมฟังไม่ได้
ซิ่วอ๋องใกล้จะได้วัยสวมกวนแล้ว ในฐานะองค์ชายที่ใกล้จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่หนึ่งเดียวตอนนี้ ยามนี้ไม่เข้าร่วมหารือราชกิจของแผ่นดินให้มาก วันหน้าค่อยกอดพระบาทพุทธองค์[2]หรือ
เดิมเรื่องการสืบทอดราชบังลังก์ก็เป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างที่สุด แต่ทว่าฮ่องเต้ให้บุตรสาวอยู่รับฟังได้ก่อน ขุนนางเสนอให้องค์ชายใหญ่ร่วมรับฟังบ้าง ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
บรรดาขุนนางแอบชื่นชมความใจกล้าและเลื่อมใสความกล้าหาญของหยางฉี่หมิง
ควรหยุดข่มกระแสนี้ได้แล้ว แม้ฮ่องเต้จะไม่ทรงโปรดซิ่วอ๋องเพียงใด แต่เขาก็เป็นถึงองค์ชายใหญ่ จะปล่อยให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาข่มอยู่เหนือศีรษะเขาได้อย่างไร
ข้อเสนอของหยางฉี่หมิงทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ต้องพยักพระพักตร์ด้วยสีพระพักตร์เยียบเย็น “เชิญซิ่วอ๋องเข้าวัง”
ผ่านไปไม่นาน ซิ่วอ๋องก็รีบเร่งมาถึง “หม่อมฉันถวายบังคมเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สุรเสียงนิ่งเรียบ “ชายแดนเกิดเหตุภัยพิบัติจากหิมะ เราเรียกประชุมบรรดาขุนนางว่าจะจัดการเช่นไร เจ้าเองก็มาร่วมฟังด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” ซิ่วอ๋องก้มกายรับพระบัญชา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรบรรดาขุนนางโดยรอบทีหนึ่ง “ต่อได้”
กำลังหารือเรื่องต้องใช้กำลังคนเท่าไรไปช่วยเหลือ เสนาบดีกรมคลังอวี๋กว่างฝูทูลด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “กำลังคนมากมายเช่นนี้ ต้องใช้เสบียงอาหารของคนและม้าไม่น้อย ตอนนี้ยังไม่ถึงปลายปี คลังหลวงรับมือไม่ไหวแล้ว จะมีเงินทองมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้ากรมสำนักตรวจการฝ่ายซ้ายหยางฉี่หมิงไม่พอใจคำพูดนี้อย่างมาก “เสนาบดีอวี๋บอกว่าคลังหลวงว่างเปล่าทุกปี หรือว่าไม่ต้องช่วยเหลือภัยพิบัตินี้กัน”
เสนาบดีอวี๋โมโห “หลายปีมานี้ภาษีที่เก็บได้ในทุกปีมีจำนวนไม่มาก แต่ภัยพิบัตินับวันยิ่งมากขึ้น กอปรกับเหตุวุ่นวายต้องเพิ่มเบี้ยกรมทหารไปปราบอีก พระราชวังและเขื่อนต่างๆ ก็ต้องซ่อมแซม เรื่องใดไม่ต้องใช้เงินทองมากมาย…”
ในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมามักไม่ให้ความสำคัญกับการคำนวณ แต่ให้ความสำคัญกับการอ่านตำรา ราชวงศ์ต้าซย่าเองก็เช่นกัน แม้ว่าขุนนางใหญ่ที่อ่านหนังสือกันมาอย่างเต็มที่เหล่านี้ นอกจากเสนาบดีกรมคลังที่ดูแลกระเป๋าเงินแล้ว ก็ล้วนไม่เก่งเรื่องคำนวณสักเท่าไร ได้ยินเสนาบดีอวี๋พูดถึงเรื่องที่ต้องใช้เงินทองเป็นชุดเช่นนี้ หยางฉี่หมิงก็ขมวดคิ้ว “มีเรื่องให้ต้องใช้เงินทองเช่นนี้มากมาย ก็ควรเพิ่มแหล่งที่มา”
เสนาบดีอวี๋อยากถ่มน้ำลายใส่เขา “ใต้เท้าหยางลองบอกวิธีการเพิ่มเงินในกรมคลังมาก่อนเถิด จะเพิ่มภาษีหรือเพิ่มอัตราภาษี”
“จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร” หยางฉี่หมิงคัดค้านทันที
เพิ่มภาระภาษี? นี่ไม่ถูกราษฎรนินทาลับหลังหรือ
เสนาบดีอวี๋ประสานมือเอ่ยน้ำเสียงแค่นเยาะ “นี่คือวิธีการยามไร้วิธีเพิ่มเงินในกรมคลัง ข้าเองก็ไร้หนทางดังแม่ครัวฝีมือดีที่ขาดแคลนวัตถุดิบก็ไม่อาจปรุงอาหารเลิศรสได้!”
เห็นว่าโต้คารมกันได้พอสมควรแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสว่า “ในเมื่อเอ่ยถึงวิธีหาเงินเข้ากรมคลังเพิ่ม พูดจาถกเถียงกันไปคนละคำสองคำเช่นนี้ มิสู้ว่าขุนนางทุกท่านลองเสนอนโยบายรับมือสักหน่อย”
ฮ่องเต้รับสั่ง บรรดาขุนนางบ้างก็เอ่ยเสียงเบาหวิว บ้างก็เอ่ยติดๆ ขัดๆ ทุกคนพากันเสนอความคิด
เสนาบดีอวี๋แอบเบ้ปากอย่างไม่เป็นที่สังเกต
หลายปีมานี้ เขากลัดกลุ้มจนผมแทบร่วงหมดศีรษะแล้ว ก็ยังไร้หนทาง แล้วเจ้าพวกที่คำนวณตัวเลขยังไม่เข้าใจพวกนี้จะเสนอนโยบายหาเงินเข้ากรมคลังมาเพิ่มได้อย่างไร
เป็นไปไม่ได้!
หากจะให้เขาเอ่ยนโยบายหาเงินเข้ากรมคลังเพิ่ม ก็ไร้ความหวัง มีเพียงตัดงบ อย่างเช่นไม่ซ่อมแซมวังหลวง ตัดงบเครื่องประทินโฉมของบรรดาพระสนมสักหน่อย…แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เอ่ยออกไป วิธีลดภาระค่าใช้จ่ายที่ดีเหล่านี้ให้บรรดาสหายขุนนางของเขาออกมาเสนอกันเองจะดีกว่า
ได้ฟังทุกคนเสนอแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เห็นว่าล้วนเป็นวิธีการเหลวไหล ทรงมองไปทางซิ่วอ๋อง “ซิ่วอ๋องมีวิธีการอย่างไร”
ซิ่วอ๋องได้เตรียมตัวจะถูกถามไว้แล้ว แต่ทว่าปัญหายากนี้ก็ไร้หนทางที่ดีจริงๆ
ราชวงศ์ต้าซย่ามีขุนนางมากความสามารถมากมาย หากมีวิธีการดีจริงก็คงไม่ต้องรอให้เขาเสนอ
ดังนั้นซิ่วอ๋องคิดคำถามนี้แล้วก็รู้กระจ่างใจดีว่า ไม่ขอมีความชอบเพียง ขอแค่อย่ามีความผิดพลาดก็เพียงพอแล้ว
“กระหม่อมอายุยังน้อยยังไร้ประสบการณ์ ไม่กล้าเสนอนโยบายเพิ่มทรัพย์สินเข้ากรมคลัง หากเพียงแค่แก้ปัญหาภัยพิบัติหิมะชายแดน กระหม่อมคิดว่าทำตามแบบเดือนสิบสองปีที่แล้ว แบบที่ใช้รับมือกับเหตุแผ่นดินไหวติ้งเป่ยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เลิกพระขนง “หมายถึงรับบริจาค?”
“เสด็จพ่อทรงมีพระเมตตาต่อราษฎร แต่ไรมาไม่เคยเพิ่มภาษี ส่วนบรรดาคหบดีมีมากมาย ยามเผชิญกับความยากลำบาก พวกเขาบริจาคเงินทอง ราชสำนักตกรางวัล หม่อมฉันคิดว่านี่คือวิธีการที่สมบูรณ์แบบต่อทั้งสองฝ่าย”
ที่สำคัญที่สุดก็คือวิธีการนี้เป็นวิธีการที่เสด็จพ่อเป็นผู้เสนอด้วยพระองค์เอง
ผู้ใดจะคัดค้านความคิดตนเองกัน เขาผลักดันวิธีการนี้ต่อหน้าบรรดาขุนนาง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เสด็จพ่อทรงกริ้ว
ซิ่วอ๋องรู้ว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เย็นชาต่อเขา หากเป็นหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ไม่มีทางคิดถามความเห็นของเขาต่อหน้าบรรดาขุนนางใหญ่อย่างแน่นอน
ในยามนี้เขารู้สึกเคร่งเครียด รู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกยินดี เป็นความรู้สึกที่แต่ไรมาไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“บริจาค?” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พึมพำ สีพระพักตร์ไม่บ่งบอกว่าพอพระทัยหรือไม่พอพระทัย “ขุนนางทุกท่านคิดอย่างไร”
บรรดาขุนนางมองหน้ากันไปมา ไม่กล้าวู่วามเอ่ยอันใด
การบริจาคนี้ขุนนางต้องเข้าร่วมด้วย หรือว่าแค่อาศัยชาวบ้าน?
หากเป็นประการหลัง เขายอมยกสองมือเห็นชอบ แต่หากเป็นประการแรก…ทุกครั้งที่คลังหลวงว่างเปล่าก็จะใช้วิธีนี้ พวกเขาทนรับไม่ไหวนะ!
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กวาดสายพระเนตรมองไปยังบรรดาขุนนาง สีพระพักตร์เริ่มเคร่งเครียด “แม้ว่าวิธีนี้แก้ไขปัญหางบช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวติ้งเป่ยได้ แต่ทว่าในความเห็นของเรา ใช้ได้บ้างเป็นบางครั้ง มิใช่วิธีการแก้ไขปัญหาจากราก”
คิดว่าเหล่าคหบดีโง่เง่าหรือ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองไปทางซินโย่ว “ซินไต้จ้าว มีความเห็นอันใดหรือไม่”
[1] สำนักตรวจการฝ่ายซ้าย มีเจ้ากรมฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ตำแหน่งขุนนางชั้นสามระดับหนึ่ง
[2] ในเวลาปกติไม่ได้เตรียมตัว พอจวนตัวก็รีบทำอย่างร้อนรน
……….