สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 360 สติสัมปชัญญะ
ตอนที่ 360 สติสัมปชัญญะ
……….
ซุนเหยียนนำรายงานผลสอบคดีส่งให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตร
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไล่อ่านทีละรายชื่อ ความโมโหกลายเป็นเสียงหัวเราะ “คนไม่น้อยเลย”
ในจำนวนนี้ยังมีเสนาบดีหนึ่ง รองเจ้ากรมสอง ขุนนางในคณะมนตรีหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีขุนนางเก่าแก่ที่ลากลับบ้านเกิดไปแล้ว ถึงกับมีขุนนางระดับล่างร่วมจำนวนมาก
แน่นอน นี่เป็นคนที่มาจากปากคำของจังโส่วฝู่สองลุงหลาน เป็นคำให้การเพียงฝ่ายเดียว คนเหล่านี้สุดท้ายจะโดนลงอาญาหรือไม่ ก็ต้องรอสอบสวนก่อนจึงจะตัดสินได้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สะบัดรายชื่อลงบนโต๊ะ ตรัสพระสุรเสียงเยียบเย็น “สอบสวนให้ละเอียด ไม่ต้องคำนึงว่ามีสถานะใด”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา” เฮ่อชิงเซียวกำลังจะทูลลา
ซินโย่วยามนี้เองก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันควรออกจากวังแล้ว จะได้ไปพร้อมกับใต้เท้าเฮ่อเพคะ”
ปฏิกิริยาแรกของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็คือคัดค้าน แต่พอสบสายตาสงบนิ่งกระจ่างใสของสาวน้อย ก็ได้แต่แสร้งทำไม่รู้สึกอันใด “อืม”
อาโย่วเปิดเผยเพียงนี้ เห็นชัดว่าเขาคิดมากไปเอง
ดังนั้นซินโย่วจึงเดินออกมาพร้อมกับเฮ่อชิงเซียวอย่างสง่าผ่าเผย
“ใต้เท้าเฮ่อ ได้สอบถามจังโหย่วหมิงสองลุงหลานหรือไม่ ตราประทับอักษรจวินมีความหมายพิเศษใด”
“ถามแล้ว ทั้งสองคนพูดเหมือนกัน บอกว่ามาจากคำว่า ‘จวิน’ ในความหมายว่า ‘บัณฑิตไร้ความรู้[1]’”
“บัณฑิตไร้ความรู้ ไม่อาจดูแลกิจแผ่นดิน” ซินโย่วพึมพำพลางแค่นเยาะ “พวกเขาช่างให้ค่าตนเองสูงส่งเสียจริง คิดว่าที่กระทำอยู่คืองานยิ่งใหญ่เพื่อปกครองใต้หล้าให้สงบสุขหรือ”
เห็นชัดว่าเป็นพวกละโมบโลภมากขูดรีดราษฎร สังหารคนไม่กะพริบตา
“พวกเขาอาจคิดเช่นนี้จริง”
ซินโย่วชะงักฝีเท้า เงยหน้าเล็กน้อยขึ้นมองเฮ่อชิงเซียว
ศีรษะนางไม่ได้อยู่ต่ำกว่ามาก อาจเพราะแต่เล็กได้กินดีและฝึกยุทธ์ หากนางอยู่ในกลุ่มผู้ชาย ก็คงอยู่ระดับกลางๆ แต่เทียบกับชายตรงหน้ายังคงเตี้ยกว่าครึ่งศีรษะ
เฮ่อชิงเซียวทนรับการสบตากันเช่นนี้ไม่ไหว ได้แต่เบือนสายตาหลบก่อน พยายามระงับจิตใจและแก้มที่เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
น้ำเสียงของเขากลับนิ่งสงบกว่าที่คาดไว้มาก “การรวมตัวกันของกลุ่มคนที่คิดไปเองว่าตนเองสถานะไม่ธรรมดา กระทำการไร้ยางอาย แสดงท่าทีสูงส่ง ก็คือนิสัยของคนประเภทนี้”
ซินโย่วพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ มีแต่ความละโมบไม่จบไม่สิ้น”
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินไปด้านหน้า มีสายตาคนเดินผ่านทางมาเหลือบมองมาบ้าง เพราะอยู่ห่างพอสมควร ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนได้ยิน เฮ่อชิงเซียวถามขึ้นเบาๆ ว่า “ฝ่าบาททรงยินดีผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ของฮองเฮาซินไหม”
ในฐานะผู้ร่วมงานที่ซินโย่วไว้ใจที่สุด เขาย่อมเข้าใจเนื้อหาอย่างเป็นรูปธรรมของนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่
นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ดีมาก
เรื่องนี้นอกจากน้ำใจส่วนตัวแล้ว นี่ก็คือสาเหตุที่เขาเต็มใจทุ่มเทแรงกายเพื่อสนับสนุนนาง
“วันนั้นข้าเสนอ ฝ่าบาทเอนเอียงไปทางผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่”
คำพูดซินโย่วยังมีความไม่แน่ใจอยู่ไม่น้อย
พระทัยฮ่องเต้ยากคาดเดา ทุกวันฮ่องเต้ต้องประสบกับราชกิจแห่งแผ่นดินมากมายนับไม่ถ้วน ไม่แน่อาจเปลี่ยนพระทัยเพราะเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็เป็นได้
“หลายวันนี้ข้ามักคิดแต่เรื่องนี้ ฝ่าบาททรงคิดผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ แต่ผู้ขัดขวางนอกจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ทรงอิทธิพลที่เสียผลประโยชน์เป็นคนกลุ่มใหญ่แล้ว ก็ยังมีกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ราชสำนัก” เฮ่อชิงเซียวกล่าววาจานี้เรียกได้ว่ามาจากใจจริง
ซินโย่วสบถออกมาเบาๆ “กระแสวิพากษ์วิจารณ์ ”
“ถูกต้อง กระแสวิพากษ์วิจารณ์ นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่เป็นเรื่องดีงาม เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินและราษฎร แต่ทว่าข้าตอนออกไปปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ได้สนทนากับคนหลายคน ราษฎรส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ ไม่เข้าใจนโยบายการปกครอง พวกเขามักได้ฟังเพียงเสียงสะท้อนจากบัณฑิต ประกาศของคหบดีและขุนนางผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่ คนที่ส่งเสียงสะท้อนได้แทบจะเป็นพวกฝ่ายตรงข้ามของนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่…”
เฮ่อชิงเซียวไม่อาจกล่าวได้ว่าอ่านตำราเชี่ยวชาญ แต่ทว่าหลักการนี้ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้สั่งสมมามากนัก อาศัยประสบการณ์และสิ่งที่ได้รับรู้มาก็สรุปออกมาได้
“ข้าเข้าใจความหมายของใต้เท้าเฮ่อ แม้นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ดีต่อราษฎร แต่ทว่าราษฎรไม่เข้าใจ สิ่งที่ราษฎรได้ยินก็คือความคิดของพวกที่รังเกียจนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ผู้คัดค้านนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่นอกจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ทรงอิทธิพลที่เสียผลประโยชน์แล้ว อาจถึงกับยังมีราษฎรทั่วไปที่ได้รับประโยชน์มากมายอีกด้วย”
เฮ่อชิงเซียวพยักหน้าเล็กน้อย
เขาไม่กลัวผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคและความยากลำบาก เกรงแต่ว่าผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่จะพูดจากล่าวร้ายนาง ถึงตอนนั้นนั้นก็จะทำให้นางหมดกำลังใจ ทำร้ายจิตใจที่หวังดีของนาง
เขา…จะปวดใจ
เห็นนางยืนหยัดเดินหน้าด้วยความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวหาใดเทียม ถึงกับยังแฝงจิตใจอ่อนโยนอย่างที่สุด เขาชื่นชมและเลื่อมใสนางมากขึ้นทุกวัน จนไม่อาจหลอกตนเองว่าไม่ชื่นชมนางได้อีกต่อไป
“พื้นที่เมืองหลวงไม่ว่า แต่พื้นที่ห่างไกลออกไป ราษฎรถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของตระกูลขุนนางเก่าแก่ทรงอิทธิพลลวงหลอก แม้แต่ฝ่าบาทก็กล้าด่า”
ฟ้าสูง ฮ่องเต้ห่างไกล ไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอย แต่เป็นเรื่องจริง ไม่แน่ว่าชาวบ้านพื้นที่ห่างไกลมากมายจะบอกปีรัชศกได้ เรื่องที่พวกเขาใส่ใจย่อมเป็นการดำรงชีพเบื้องหน้า และบรรดาขุนนางที่ปกครองพวกเขา
“ข้าเข้าใจพลังของกระแสวิพากษ์วิจารณ์” ซินโย่วเผยรอยยิ้มให้เฮ่อชิงเซียว “แต่ทว่าขอเพียงฝ่าบาททรงยอมผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ กล้าดำเนินนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ข้ามีแผนรับมือกระแสวิพากษ์วิจารณ์”
คำสอนของท่านแม่ทำให้นางรู้ว่าจะกระตุ้นคลื่นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร เปิดร้านหนังสือติดประกาศการออกจำหน่ายหนังสือใหม่ ทำให้นางได้สั่งสมประสบการณ์จริงมาแล้ว
“เช่นนั้นก็ดี” เฮ่อชิงเซียวไม่ได้ถามแผนรับมือว่าเป็นอย่างไร หันไปคุยเรื่องคดีจังโส่วฝู่ “ครั้งนี้เกี่ยวพันถึงคนไม่น้อย คุณหนูซินอย่าได้ประมาทความปลอดภัยของตนเอง”
“ใต้เท้าเฮ่อวางใจ ตอนนี้ข้าออกไปไหนก็จะพาเชียนเฟิงกับผิงอันไปด้วย จากนี้ไปเกรงว่าใต้เท้าเฮ่อคงยุ่งมาก ควรใส่ใจเรื่องการพักผ่อน…”
ทั้งสองคนคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน แต่ในใจกลับไม่ได้สงบนิ่งดังคำพูดที่เอ่ยออกไป
อย่างเช่นเฮ่อชิงเซียวที่ไม่อาจหลอกตนเองว่ามีใจปฏิพัทธ์ต่อซินโย่ว ซินโย่วเองก็รับรู้เรื่องนี้ได้อย่างกระจ่างชัด แม้ว่าพูดเรื่องน่าเบื่อที่สุด แต่นางก็ยินดีฟังเขากล่าววาจามากมาย
นางเหลือบตามองเขาอย่างรวดเร็วทีหนึ่ง แต่กลับสบกับดวงตาที่เก็บซ่อนความในใจของฝ่ายตรงข้ามพอดี
นางรู้ดีว่าเขาพยายามเก็บซ่อนเอาไว้
หัวใจซินโย่วเต้นแรงหลายที ราวกับกวางตัวน้อยที่ไม่อาจควบคุม กำลังจะทะยานออกจากหัวใจ
นางจำต้องเร่งฝีเท้า ทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ทิ้ง
ที่แท้นางเองก็ประเมินความสามารถในการบังคับใจตนเองสูงเกินไป
หลังแยกจากกัน ซินโย่วก็สงบนิ่งดังเดิม และคิดว่าล้วนต้องโทษใต้เท้าเฮ่อที่หน้าตาดีเกินไป คนเรายามเผชิญกับคนรูปงามเป็นพิเศษ การควบคุมตนเองก็จะด้อยลงอยู่สักหน่อย ไม่เพียงแต่นางคนเดียวที่เป็นเช่นนี้
ซินโย่วคิดถึงฮองเฮาซินขึ้นมาอีกแล้ว
ตอนท่านแม่เอ่ยถึงท่านพ่อ แม้จะด่าบ้าง แต่กลับมิใช่ท่าทีแบบที่ไม่อาจเอ่ยถึง ไม่อาจแตะต้อง มีครั้งหนึ่งนางอยากรู้จึงถามท่านแม่ว่า เหตุใดจึงได้พึงใจท่านพ่อ ท่านแม่ตอบด้วยน้ำเสียงล้อเล่นว่า “ล้วนเพราะใบหน้า หากหน้าตาแย่กว่านี้สักหน่อย ก็คงไม่มอบกายตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเช่นนี้”
เห็นไหม ท่านแม่ที่มีความรู้มากมายเช่นนี้ยังหลงใหลหนุ่มรูปงาม
ซินโย่วหาเหตุผลให้หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของตนเองได้แล้ว ได้แต่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
เฮ่อชิงเซียวกลับถึงสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ นั่งในห้องทำงานคนเดียวอยู่ครู่หนึ่ง
มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เขาถึงกับคิดไม่สนใจอันใด จะดึงมือนางมากุมและเผยความในใจ โชคดีที่ยังครองสติได้อยู่
เฮ่อชิงเซียวรีบก้าวเข้าไปที่ห้องขัง เพราะรู้ดีกว่าความเป็นจริงจะทำให้สติสัมปชัญญะที่กำลังสั่นคลอนของเขากลับคืนสู่ความหนักแน่นอีกครั้ง
ไม่นานห้องขังก็เต็มไปด้วยคนใหม่ที่ถูกนำมาขังเกินครึ่งห้อง ยามนี้เองก็มีข่าวมาจากทางใต้ บุตรชายจังอวี้เฉินที่อยู่บ้านเกิดหายตัวไปไร้ร่องรอย คนอื่นๆ ในตระกูลจังถูกคุมตัวมาเมืองหลวงหมดแล้ว
หลังเกิดคดีจังโส่วฝู่ การเคลื่อนไหวกวาดล้างวงศ์ตระกูลจังเรียกได้ว่าฉับไวมาก แต่กลับยังมีปลารอดแหไปได้
[1] มาจากคำสอนของลัทธิขงจื่อ บัณฑิตไร้ความรู้ ไม่อาจดูแลกิจแผ่นดิน
……….