สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 359 ยอมรับ
ตอนที่ 359 ยอมรับ
……….
การตรวจสอบและกวาดล้างตระกูลจังเป็นงานซับซ้อนมาก เฮ่อชิงเซียวกลับลงแรงด้วยตนเอง ไม่ปล่อยผ่านแม้แต่น้อย แต่งานสอบสวนพวกจังโส่วฝู่กลับมอบให้ลูกน้องไปจัดการ
ในสายตาของคนหลายคนต่างรู้สึกประหลาดใจ แต่ตอนนี้ทุกคนต่างกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต เกรงว่าคดีจังโส่วฝู่จะเป็นดังการกลิ้งก้อนหิมะ ยิ่งกลิ้งยิ่งก้อนโตมาม้วนเอาตนเองเข้าไปด้วย แต่ละคนต่างสงบเสงี่ยมไม่พูดจามากความ
หลังจากหาสิ่งที่ต้องการในจวนตระกูลจังไม่ได้ เฮ่อชิงเซียวก็ไปที่พักของจังอวี้เฉินอีกครั้ง
ห้องหนังสือจังอวี้เฉินดูแล้วสะอาดเรียบร้อย แต่พอก้าวเข้าไป เฮ่อชิงเซียวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เรียบร้อยเกินไปสักหน่อย
ห้องหนังสือที่ใช้งานบ่อย แม้เป็นคนพิถีพิถันเพียงใด บนโต๊ะหนังสือย่อมต้องมีพู่กันหมึกและปึกกระดาษ มีพิณโบราณไว้บรรเลง หรืออย่างน้อยก็ต้องมีสภาพที่ค่อนข้างผ่อนคลายกว่านี้
เคาะดูกำแพง ตรวจสอบชั้นวาง ก่อนจะพบกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่งในลิ้นชักที่ไม่สะดุดตานักในมุมหนึ่ง ล้วนเป็นกระดาษที่ยังไม่ใช้
สิ่งที่วางอยู่กับกระดาษจดหมายเหล่านี้ก็คือตราประทับเล็กๆ ตราหนึ่ง
เฮ่อชิงเซียวพลิกดูใต้ตราประทับ ถึงกับเป็นอักษร ‘จวิน’ ตรงกันกับตราในจดหมายที่โจวทงทิ้งไว้
แต่พอตรวจค้นต่อ กลับไม่พบจดหมายที่ติดกันกับผู้อื่นในห้องหนังสืออีก
เฮ่อชิงเซียวจ้องมองคราบเขม่าบนนิ้วมือ นั่นคือคราบที่พบจากร่องในมุมกำแพงและตู้หนังสือ
ไม่นานเขาก็วิเคราะห์ได้ว่า ในห้องหนังสือจังอวี้เฉินมิใช่ไม่มีจดหมายลับที่ติดต่อกับผู้อื่น แต่เพราะถูกเผาทิ้งหมด
คิดถึงจังอวี้เฉินลอบหนีตอนเที่ยงคืน ก็รู้ว่าตอนนั้นจัดการจดหมายเร่งรีบ ตามหลักห้องหนังสือควรจะมีสภาพเกลื่อนกลาด ดูท่าห้องหนังสือถูกหวางซื่อภรรยาจังอวี้เฉินเก็บกวาดมาก่อน
พอตรวจค้นละเอียดต่อไป ก็ไม่พบเบาะแสมีประโยชน์อื่นอีก เฮ่อชิงเซียวนำกระดาษจดหมายและตราประทับกลับสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ
“ใต้เท้า จังโหย่วหมิงกับจังอวี้เฉินสองอาหลานมีเรื่องวิวาทรุนแรง เพื่อป้องกันเหตุ จึงได้แยกขังทั้งสองคนแล้ว”
“สาเหตุเกิดจากอะไรหรือ”
“จังโหย่วหมิงเอาแต่ด่าจังอวี้เฉินเลวยิ่งกว่าสุนัข อาจเพราะจังอวี้เฉินคุมสติไม่ได้แล้ว ถึงกับบอกว่าบุตรชายจังโหย่วหมิงถูกเขาสังหาร…”
เฮ่อชิงเซียวนิ่งเงียบลง
เขาคาดเดาว่าระหว่างลุงหลานทั้งสองน่าจะมีความขัดแย้งกัน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะน่าตกใจเพียงนี้
เฮ่อชิงเซียวไปพบจังโส่วฝู่ก่อน
ไม่นานก่อนหน้านี้ จังโส่วฝู่ยังเป็นชายชราแข็งแรง ยามนี้กลับทำให้คนรับรู้ได้ว่าอันใดเรียกว่า เปลวเทียนใกล้มอดดับ
มวยผมของเขาหลุดลุ่ย ใบหน้ามิได้ล้าง แววตาที่มองมาขุ่นมัวไม่กระจ่างใส
“จังโส่วฝู่” เฮ่อชิงเซียวเอ่ยเรียก
จังโส่วฝู่แววตาวูบไหว หัวเราะเสียงน่าอนาถ “ข้าเป็นนักโทษเช่นนี้แล้ว ไม่อาจรับคำเรียกขานเช่นนี้จากผู้บัญชาการเฮ่อได้”
เฮ่อชิงเซียวเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “จังโส่วฝู่เป็นขุนนางเก่าแก่ติดตามฝ่าบาทมาตั้งแต่ก่อตั้งแผ่นดิน ข้าไม่คิดว่าจะใช้การลงทัณฑ์กับท่าน ขอถามเพียงเรื่องเดียว เรื่องที่เกิดกับฮองเฮาซินมีพวกท่านคอยผลักดันอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่”
จังโส่วฝู่นิ่งอึ้ง เงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงสงสัยตั้งแต่เมื่อใด”
“ตอนพวกชิ่งอ๋องล้ม”
“ถึงกับเร็วเพียงนี้” จังโส่วฝู่พึมพำ
“จังโส่วฝู่” เฮ่อชิงเซียวน้ำเสียงสงบนิ่งเตือนสติ
จังโส่วฝู่ตั้งสติได้จ้องมองชายหนุ่มรูปลักษณ์โดดเด่นตรงหน้าเป็นนานก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าตอบคำถามนี้ได้ แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
“เชิญว่ามาได้”
“ข้าหวังให้จังอวี้เฉินตายด้วยผ้าขาวแขวนคอ”
เจ้าเดรัจฉานไร้ความเป็นคน ไม่คู่ควรตายพร้อมกับคนในวงศ์ตระกูลจัง
เฮ่อชิงเซียวไม่รู้สึกแปลกใจกับเงื่อนไขของจังโส่วฝู่ สีหน้าจริงจังเอ่ยว่า “ข้าจะไปทูลฝ่าบาท ส่วนฝ่าบาทจะตัดสินพระทัยเช่นไร ไม่มีผู้ใดกะเกณฑ์ได้”
“เจ้าจะไม่หลอกข้าใช่หรือไม่” จังโส่วฝู่จ้องมองเขาถาม
เฮ่อชิงเซียวเลิกคิ้วย้อนถามขึ้นว่า “ข้าจำเป็นต้องหลอกจังโส่วฝู่หรือ”
จังโส่วฝู่ถามคำถามนี้เพียงเพื่อให้รู้สึกสบายใจ ไม่นานก็พยักหน้ายอมรับ “ใช่”
บุตรชายคนเดียวของเขาถูกหลานชายที่เขาให้ความสำคัญทำร้ายจนตายไปนานแล้ว หลานชายของเขาอยู่ในคุกรอกำหนดการประหาร การจะยืนหยัดและปิดบังทั้งหมดเอาไว้ล้วนไร้ความหมาย
หากเฉือนเจ้าเดรัจฉานจังอวี้เฉินเป็นหมื่นชิ้นได้ เส้นทางไปยังปรภพของเขาก็คงไปอย่างสบายใจ
ตอนไปยังห้องขังจังอวี้เฉิน ในห้วงความคิดเฮ่อชิงเซียวมีแต่ภาพแววตาโกรธแค้นชิงชังของจังโส่วฝู่
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จังอวี้เฉินก็พยายามมองไปที่ประตูอย่างยากเย็นทีหนึ่ง
หลังจังอวี้เฉินถูกนำตัวมาขัง ก็ได้ลิ้มรสการลงทัณฑ์หลากหลายของสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซืออย่างละหนึ่งรอบ เรียกได้ว่าไม่เสียทีที่ได้มาเยือน
ความโหดเหี้ยมของเขามีเพียงต่อผู้อื่น มิใช่ต่อตนเอง ยามนี้เห็นผู้บัญชาการสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ก็อดกระถดตัวขดหนีไม่ได้
“ข้าเพิ่งมาจากทางจังโส่วฝู่ เขายอมรับว่าเหตุที่เกิดกับฮองเฮาซินเป็นฝีมือพวกเจ้าวางแผน” เฮ่อชิงเซียวเปิดประเด็นตรงไปตรงมา
จังอวี้เฉินหลุบตาลง ไม่ได้มีปฏิกิริยามากนัก
คนเรายามถูกจองจำ มีแต่ตายสถานเดียว ยังอาจโดนลงทัณฑ์ได้ทุกเมื่อ ยอมรับเรื่องเหล่านี้มิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ
เฮ่อชิงเซียวยกตราประทับขึ้นตรงหน้าเขา “ตรานี้ จังหลางจงคุ้นเคยดีกระมัง”
จังอวี้เฉินเม้มปากไม่ส่งเสียงใด
“ห้องหนังสือจังหลางจงสะอาดมาก ไม่ทราบว่าตราประทับนี้ประทับลงบนจดหมายมากมายเพียงใด นอกจากโจวทงยังมีติดต่อกับผู้ใดอีกหรือไม่”
ได้ฟังเฮ่อชิงเซียวเอ่ยถึงโจวทง จังอวี้เฉินก็รู้ว่าอีกฝ่ายพบตราพิเศษบนกระดาษจดหมายแล้ว ตอนนี้ต้องการให้เขาคายชื่อผู้ร่วมขบวนการ
“จังหลางจงคิดให้ดี อยากลิ้มรสทรมานจึงยอมเอ่ย หรือว่ายอมบอกมาแต่โดยดี คิดให้ดี ผู้อื่นมีค่าพอให้ท่านทนทรมานหรือไม่” เฮ่อชิงเซียวเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
คน ‘ไม่ทำเพื่อตนเอง ฟ้าดินลงโทษ’ เช่นจังอวี้เฉินนี้ ใช้คำเตือนเช่นนี้ย่อมเหมาะสมที่สุด
จังอวี้เฉินก้มหน้าคิดอยู่นาน ดูสภาพไร้สิ้นความหวัง “ข้าพูด…”
รายชื่อที่เขาเอ่ยออกมาแต่ละชื่อ ทำให้เนื้อหาบนกระดาษมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่ที่ทำการบันทึกปากคำเริ่มถือพู่กันมือสั่น
“ยังมีอีกไหม” รอจังอวี้เฉินหยุดแล้ว เฮ่อชิงเซียวก็ถามต่อ
จังอวี้เฉินค่อยๆ ส่ายหน้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” เฮ่อชิงเซียวเหลือบมองเหยียนเชาที่หนึ่ง “ช่วยข้าต้อนรับจังหลางจงหน่อย”
เหยียนเชาเข้ามายืนตรงหน้าจังอวี้เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่นานเสียงร้องเจ็บปวดก็ดังขึ้น
หลังจากต้อนรับแล้ว บนกระดาษก็มีชื่ออีกคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
ซินโย่วได้รับราชโองการให้เข้าวังไม่นานก็ได้ยินขันทีรายงานว่าเฮ่อชิงเซียวผู้บัญชาการสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินขอเข้าเฝ้า
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รีบตรัสว่า “อาโย่วไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ก่อน”
ไม่ค่อยอยากให้อาโย่วได้พบเจ้าหมอนี่มากนัก
“ใต้เท้าเฮ่อมาขอเข้าเฝ้ายามนี้ น่าจะได้ผลการสอบสวนตระกูลจังมาแล้ว หม่อมฉันคือเจ้าทุกข์คดีนี้ อยากฟังด้วยเพคะ” ซินโย่วทูลตามตรง
คำขอนี้ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้แต่รับสั่งให้ขันทีนำเขาเข้ามา
ไม่นานเฮ่อชิงเซียวก็เดินเข้ามา “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองคนที่ลงคุกเข่าตรงหน้าด้วยสายตาจับผิด ตรัสพระสุรเสียงนิ่งเรียบ “ลุกขึ้นได้ ผู้บัญชาการเฮ่อเข้าวังมีเรื่องอันใดหรือ”
ได้ยินคำเรียกขานของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ เฮ่อชิงเซียวก็แอบคาดเดาว่าฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดี?
หากอยู่กันส่วนตัว ฮ่องเต้มักจะเรียกเขาว่า ‘ชิงเซียว’
แม้ในใจเฮ่อชิงเซียวสัมผัสไว แต่กลับไม่เข้าใจว่านี่คือสัญชาตญาณความระวังป้องกันของบิดายามเผชิญหน้ากับเจ้าหนุ่มที่อาจคิดมาเกาะแกะบุตรสาวตน
“ทูลฝ่าบาท จังโหย่วหมิงกับจังอวี้เฉินรับสารภาพแล้ว พวกเขาเป็นคนบอกเบาะแสฮองเฮาให้กู้ชางป๋อรู้…นี่คือรายชื่อที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจังโหย่วหมิงสองอาหลาน ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”