สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 357 เกลี้ยกล่อม
ตอนที่ 357 เกลี้ยกล่อม
……….
ตำหนักเฉียนชิงกงเงียบสงบสะดวกพูดคุย
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรซินโย่วถี่ถ้วนแล้วก็ถอนพระปัสสาสะ “อาโย่วโดนรังแกแล้ว เราคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าถึงกับมีคนลอบสังหารเจ้ากลางท้องถนน เมื่อวานเจ้าไม่ได้พาผู้คุ้มกันไปด้วยหรือ”
ซินโย่วหลุบตาลงทูลว่า “หม่อมฉันชินกับการไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่ได้ให้ผู้คุ้มกันติดตามเพคะ”
พาผู้คุ้มกันไปด้วย ฝ่ายตรงข้ามจะสะดวกลงมือได้อย่างไร
“วันหน้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก จะอย่างไรออกจากบ้านก็ต้องพาผู้คุ้มกันไปด้วย”
“เพคะ” ซินโย่วรับคำเม้มปากทูลว่า “ก็เพราะคิดไม่ถึงว่าขุนนางราชสำนักจะเลี้ยงมือสังหารเดนตายเอาไว้ด้วย วิธีการแก้ปัญหาก็คือสังหารทิ้ง”
คำพูดนี้ยิ่งดังราดน้ำค้างแข็งลงไปบนหิมะ ทำให้ท่าทีของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ต่อตระกูลจังยิ่งแข็งกร้าว ทรงกัดพระทนต์แน่นตรัสว่า “อาโย่ว เจ้าวางใจ เราจะไม่ปล่อยคนที่ทำร้ายเจ้าไปง่ายๆ!”
ซินโย่วนิ่งเงียบคล้ายดังถูกความเจ็บปวดห่อหุ้ม
“อาโย่วเป็นอันใดไปหรือ”
“นึกถึงท่านแม่เพคะ”
พระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้หดเกร็ง
ซินโย่วก้มหน้าลงคล้ายไม่รู้อาการผิดปกติของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “ท่านแม่ถูกสังหารก็เพราะคิดผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ หม่อมฉันถูกลอบสังหารเพราะคิดเผยแพร่ความคิดของปฏิรูปของท่านแม่ ฝ่าบาท เหตุใดตระกูลใหญ่เหล่านี้มองนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่เป็นดังเสือร้าย เพื่อขัดขวางนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ไม่ลังเลที่จะเสี่ยงภัยถูกประหารทั้งวงศ์ตระกูลหรือเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถูกถามจนตอบไม่ได้
ตอนนั้นซินซินเริ่มเอ่ยยกเลิกคำสั่งปิดกั้นทางทะเล ก่อนจะเสนอเรื่องปฏิรูปภาษี ยังไม่ได้เอ่ยละเอียดก็ถูกบรรดาขุนนางคัดค้าน ส่วนเขาคิดเพียงเพื่อความปลอดภัยของแผ่นดิน ไม่วางใจหากจะเปิดเส้นทางทะเล
โจรสลัดที่มักออกปล้นริมทะเลอยู่เสมอโหดเหี้ยมยากปราบ ทันทีที่ปล่อยให้ชาวบ้านติดต่ออย่างอิสระ โจรสลัดก็จะต้องยิ่งเหิมเกริม คนที่ทำผิดก็จะมีเส้นทางรอดหลบหนีออกทางทะเลได้อีกเส้นทางหนึ่ง พวกกบฏก็จะสมคบคิดกับโจรสลัด อีกอย่าง ราษฎรธรรมดาสามัญหนีไปทำมาหากินทางทะเล พื้นที่ทำนาขนาดใหญ่ก็จะรกร้าง
เขามักจะต้องประหลาดใจกับความคิดแปลกใหม่ของซินซินอยู่เสมอ แต่ในบางเรื่องก็มิได้เห็นด้วย
ต่อมาก็มีเรื่องเกิดขึ้นต่อเนื่อง จึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่หารือกันในวันนั้นอีก
“ท่านแม่เอ่ยถึงการปฏิรูปภาษีกับหม่อมฉัน หากนโยบายการปกครองใหม่ทำได้สำเร็จ จะต้องสร้างวาสนาสุขให้แก่ราษฎร ทำให้แผ่นดินมั่นคงมีเสถียรภาพ บรรดาตระกูลใหญ่เหล่านั้นขัดขวางเต็มกำลัง ก็เพราะนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่จะทำให้พวกเขาเสียผลประโยชน์”
ซินโย่วไม่เอ่ยถึงการเปิดเส้นทางทางทะเล เอ่ยเพียงการปฏิรูประบบภาษี
ตอนนางไปเที่ยวชายทะเล เห็นการปิดกั้นทางทะเลส่งผลต่อการดำรงชีพของราษฎร ก็เคยหารือกับท่านแม่ ท่านแม่บอกว่าการเปิดเส้นทางทางทะเลมีข้อดีและข้อเสีย แต่นางเห็นว่ามีผลดีมากกว่าผลเสีย ส่วนพวกคุมอำนาจตอนนี้กลับกังวลเพียงแค่ผลเสีย
ดังนั้นซินโย่วเข้าใจ คนเบื้องหน้านี้ก็เอนเอียงไปทางการปิดเส้นทางทางทะเลมากกว่า
นางมีเพียงแรงกำลังน้อยนิด ที่พึ่งใหญ่ที่สุดก็คือคนเบื้องหน้าผู้นี้ หากเป็นเรื่องทั่วไปจะให้ท้ายนางสักหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่หากเป็นเรื่องของแผ่นดิน เข้าปะทะกับเขาตรงๆ ย่อมมิใช่ความคิดที่ชาญฉลาดอย่างแน่นอน
เปิดเส้นทางทางทะเลปล่อยไปก่อนได้ นางเน้นเรื่องผลักดันปฏิรูปภาษีก่อน
ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่ง่าย
ราชวงศ์ต้าซย่าเพิ่งเริ่มก่อตั้ง ทุกอย่างกำลังรุ่งเรือง นโยบายที่เริ่มก้าวไปพร้อมกับมุ่งโจมตีนโยบายเดิมของราชวงศ์ก่อนก็เพียงพอจะทำให้สังคมมีเสถียรภาพได้ หากอยู่ในจุดยืนของผู้ปกครองแผ่นดิน เขาไม่จำเป็นต้องผลักดันการปฏิรูปขนานใหญ่เพียงเพื่อการคาดการณ์ที่อาจเกิดขึ้นกับลูกหลานในรุ่นถัดไป แล้วก่อให้เกิดการต่อต้านจากบรรดาตระกูลใหญ่ในตอนนี้
หนึ่งคือเบื้องหน้า อีกหนึ่งคืออนาคตที่ยังมองไม่เห็น อุปสรรคของนางความจริงไม่ใช่เพียงแค่ตระกูลใหญ่ทางใต้พวกนี้ แต่ยังเป็นการเลือกสมดุลอำนาจของคนตรงหน้าอีกด้วย
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งเงียบไปนานก่อนจะตรัสว่า “ตอนนั้นท่านแม่เจ้าเสนอการปฏิรูปภาษี รายละเอียดเป็นอย่างไร”
ได้ยินฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามคำถามนี้ แววตาซินโย่วก็ส่องประกายเล็กน้อย
เขายอมถาม ก็แสดงให้เห็นถึงท่าทีบางอย่าง
ซินโย่วเอ่ยอธิบายช้าๆ “เก็บภาษีตามขนาดพื้นที่ ยกเลิกระบบนับหัวแรงงานเป็นภาษี…สรุปก็คือ ผู้ครอบครองที่นายิ่งมากก็ยิ่งต้องเสียภาษีมาก ผู้ครอบครองที่นาน้อยก็เสียภาษีน้อย ผู้ไม่มีที่นาก็ไม่ต้องเสียภาษี คนมีชีวิต ที่ดินไร้ชีวิต จัดเก็บภาษีตามขนาดที่ดิน เป็นการลดภาระของราษฎรให้เบาลง และยังช่วยเพิ่มเงินในคลังได้อีกด้วย…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตั้งใจฟังจบก็ถอนพระปัสสาสะตรัสว่า “เป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินและราษฎรจริงๆ”
ซินโย่วกลับฟังออกถึงน้ำเสียงหนักใจของเขา
แค่นี้ก็หนักใจแล้วหรือ ยังไม่กล้าเอ่ยถึง ‘ส่วนหลอมเหลือเป็นของหลวง[1]’ และ ‘ยกเลิกสิทธิยกเว้นภาษีที่นาของขุนนาง’ สองนโยบายนี้เลย
แววตาผิดหวังของซินโย่วทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้สึกปวดพระทัย อดตรัสขึ้นไม่ได้ “ตระกูลขุนนางเก่าแก่ทรงอิทธิพลเสียผลประโยชน์ เสียงคัดค้านย่อมรุนแรง”
“เพคะ” ซินโย่วพยักหน้า “ดังนั้นพวกเขาจึงกล้าสังหารท่านแม่และกล้าสังหารหม่อมฉัน”
แววพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กริ้วจัด
น้ำเสียงซินโย่วจากแค่นเยาะกลายเป็นคำพูดจากใจ “ฝ่าบาทเป็นปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าซย่า ขุนนางติดตามฝ่าบาทหลายท่านมีชาติกำเนิดมาจากชาวบ้าน ตอนนี้แม้ว่าร่ำรวยขึ้นมาแล้ว แต่สำหรับคนเหล่านี้การยอมรับนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ แม้ว่าก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ก็ไม่เจ็บปวดมากนัก”
ดังนั้นผู้ที่เกลียดนางกับท่านแม่เข้ากระดูกดำมิใช่คนเหล่านี้ ยังมีตระกูลใหญ่รากฐานร้อยปี
วงศ์ตระกูลเหล่านี้เสวยวาสนาสุขมานาน ได้ลิ้มรสหวานมามากเกินไป จะให้พวกเขาคายออกมา ก็ไม่ต่างอันใดกับการกรีดเนื้อควักหัวใจ
“ดำเนินนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ตอนนี้ จะลำบากเพียงระยะหนึ่ง แต่หากปล่อยให้กาลเวลาผ่านไปอีกหลายรุ่นอายุคน ที่นาถูกครอบครองกลืนกินมากยิ่งขึ้น ราษฎรก็จะยิ่งยากจนลำบากแสนสาหัส ได้เวลาจำเป็นต้องปฏิรูปแล้วเพคะ ตอนนี้กลุ่มอำนาจใหม่กลายเป็นตระกูลขุนนางใหญ่แล้ว ฮ่องเต้องค์ต่อมาก็มิได้มีบารมีน่าเกรงขามดังฝ่าบาท ราชวงศ์ต้าซย่าจะเป็นเช่นไรเพคะ”
คำพูดนี้คล้ายสะท้อนดังกึกก้อง ทำให้สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แปรเปลี่ยน
คล้ายดังสายลมพัดแผ่วสลายหมอกควัน แสงตะวันสาดส่องลอดผ่านชั้นเมฆ ความหวั่นไหวและสับสนในใจเหล่านั้นพลันมลายหายไปหมดสิ้นในบัดดล
แต่ไรมาไม่เคยมีคนพูดเรื่องพวกนี้กับเขา!
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กระจ่างพระทัยดีถึงสาเหตุที่ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวเช่นนี้กับเขา
คนที่เขาได้พบในทุกวันล้วนเป็นผู้เสียผลประโยชน์จากนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ผู้ใดจะโง่เขลากัน
มีเพียงภรรยาเขา บุตรสาวเขา จึงจะคิดเพื่อเขาอย่างแท้จริง คิดเพื่อแผ่นดินราชวงศ์ต้าซย่า
หลังจากซินโย่วได้อธิบายกระจ่างหมดแล้ว ท่าทีของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ต่อนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ก็เปลี่ยนไป
พวกขุนนางตระกูลใหญ่ร่ำรวยไม่หวั่นเกรงหากต้องทำแผ่นดินสั่นคลอนและทำร้ายราษฎรเพื่อผลประโยชน์ตนเอง เหตุใดเขาต้องกลัวพวกเขาก่อเรื่องด้วย
ปล่อยพวกเขาก่อเรื่องไป! เขาก็อยากจะดูนักว่า พวกเขาก่อเรื่องกันร้ายกาจหรือว่าดาบในมือของเขาฟันเร็วกว่า
พอตัดสินพระทัยได้แล้ว พระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับสงบลงมาก “รอให้ตระกูลจังถูกลงโทษแล้ว ค่อยหารือเรื่องนี้”
ตระกูลจังยากรอดพ้นโทษประหารทั้งตระกูล ถึงตอนนั้นเห็นคนตระกูลจังโดนประหารทีละคน ค่อยเสนอนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ คิดว่าบรรดาขุนนางเฒ่าพวกนั้นก็คงสงบเสงี่ยมกันมากขึ้น
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เป็นห่วงซินโย่วเข้าใจผิดว่าเขาไม่คิดผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ คิดจะอธิบายเล็กน้อย แต่เห็นนางพยักหน้ายิ้ม “ตอนนั้นค่อยหารือเหมาะสมกว่าเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งอึ้งไป ในพระทัยอดชื่นชมสติปัญญาของอาโย่วไม่ได้
สติปัญญานี้ไม่ใช่ปัญญาแบบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นไหวพริบในแบบการเมืองการปกครอง การกุมจิตใจผู้คน
จากนั้นก็ทรงรู้สึกเสียพระทัยขึ้นมา
ซินโย่วไม่รู้ความสับสนในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ยามนี้จึงนับว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้แล้ว
นางรู้มาตลอดว่า หากคิดผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากคนตรงหน้า และคนที่จะสนับสนุนนางก็อาจมีเพียงคนตรงหน้า
หากกล่าวถึงผู้เสียผลประโยชน์จากนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ก็คงเป็นพวกขุนนางตระกูลระดับสูง แต่ผู้ที่ได้รับประโยชน์ก็คือราชวงศ์ ก็คือแผ่นดินของตระกูลเฉิน
แน่นอนว่าราษฎรเองก็ได้รับประโยชน์ นี่คือแรงผลักดันแท้จริงที่ทำให้นางออกมากระทำเรื่องพวกนี้ แต่หากมีเพียงราษฎรได้รับประโยชน์ ผู้ใดจะสนใจกัน
ซินโย่วทูลลา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กำชับอีกครั้ง “วันหน้าออกไปไหนต้องระวังความปลอดภัย อย่าได้ประมาท ซุนเหยียน เจ้าไปส่งอาโย่ว”
ซุนเหยียนเดินมาส่งถึงนอกประตูตำหนัก ยืนยันจะส่งซินโย่วไปถึงสำนักฮั่นหลินย่วน
ซินโย่วรู้สึกสงสัย
ซุนกงกงท่านนี้มีท่าทีต่อนางไม่เหมือนเดิม
ซุนเหยียนรู้สึกได้ จึงกระซิบเบาๆ ว่า “บ่าวไม่เข้าใจเรื่องการเมือง แต่ทว่าได้ฟังคำพูดซินไต้จ้าว ก็รู้สึกได้ว่าราษฎรช่างมีวาสนา!”
[1] จีนสมัยโบราณ ยามขุนนางท้องถิ่นเก็บภาษีรวบรวมเศษเงินก้อนของชาวบ้านมาหลอมเป็นก้อนเงินส่งคลังหลวง น้ำหนักก็จะขาดหลังหลอม ทำให้เกิดส่วนที่ขาดหาย ทำให้ขุนนางเรียกเก็บจากชาวบ้านเพิ่มเพื่อชดเชยส่วนนี้ ทำให้ชาวบ้านแบกรับภาระภาษีเพิ่ม
……….