สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 354 ขอรับผิด
ตอนที่ 354 ขอรับผิด
……….
จังอวี้เฉินไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “ท่านลุงรอง ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือ”
เสียสละเขา?
เขาอายุยังไม่ถึงสี่สิบ กำลังอยู่ในช่วงเวลาวัยหนุ่มที่ร่ำรวยรุ่งเรืองและมีชีวิตที่มีความสุข จะยอมไปตายเช่นนี้ได้อย่างไร
“เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีทางเลือกอีกหรือ” จังโส่วฝู่มองจังอวี้เฉิน แววตาเก็บซ่อนความผิดหวัง “เจ้ายินดีก็ดี ไม่ยินดีก็ดี ล้วนยากรอดพ้นความตายไปได้ แตกต่างกันที่สายวงศ์ตระกูลจังข้าจะถูกดึงลงไปเดือดร้อนด้วยหรือไม่ อวี้เฉิน หรือว่าเจ้าจะเป็นคนบาปของตระกูลจังเรา”
จังอวี้เฉินที่เคยเป็นหนุ่มน้อยยืนต่อหน้าเขา บอกว่ามีแผนการทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาเอาใจออกหากกันได้ มีความเหี้ยมโหดไม่น้อย แต่แท้จริงแล้วความเด็ดขาดเหี้ยมโหดนี้มีให้เพียงผู้อื่น มิใช่ต่อตนเอง
หน้าผากจังอวี้เฉินมีเหงื่อผุดออกมา ฝืนพยักหน้า “ข้าฟังคำท่านลุงรอง”
จังโส่วฝู่เผยแววตาชื่นชม กล่าวถึงการจัดการต่อจากนี้ “รอถึงพรุ่งนี้…”
ตอนออกจากจวนตระกูลจังก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว จังอวี้เฉินแทบก้าวเท้าไม่ออก ตอนเดินใกล้ถึงบ้านก็พลันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
หวางซื่อรออยู่ที่ประตูมาตลอด พอเห็นจังอวี้เฉินก็รีบเข้าไปรอรับ สะอื้นไห้เอ่ยว่า “ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว”
จังอวี้เฉินกุมมือหวางซื่อไม่เอ่ยอันใด
มือนั้นเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง ทำให้เขาต้องห่อตัว
สองสามีภรรยาเข้าห้อง
จังอวี้เฉินไม่ได้รับเสื้อผ้าที่หวางซื่อส่งมา แต่ตรงไปห้องหนังสือค้นหายกใหญ่ ก่อนยกกองจดหมายโยนลงเผาในกะละมัง
เขาจ้องมองกระดาษในกะละมังเผามอดหมดแล้วจึงค่อยเดินออกมา กล่าวกับภรรยาที่มีสีหน้าเป็นห่วงคำแรกหลังจากกลับมา “หุ้ยเหนียง ข้าต้องหนีแล้ว”
“ท่านพี่…” หวางซื่อคาดเดาไว้แล้วว่าภัยใหญ่จะมาถึง ได้ฟังคำพูดนี้ก็อดน้ำตาร่วงไม่ได้
จังอวี้เฉินยกสองมือกดไหล่หวางซื่อไว้ “ท่านลุงรองให้ข้ายอมรับชะตากรรม แต่ข้ายอมรับไม่ได้ ข้าหนีไป บางทีอาจมีทางรอด หากไม่หนีก็ตายสถานเดียว”
หวางซื่อพยักหน้าน้ำตาไหลริน “ข้าเข้าใจ ท่านพี่รีบไปเถอะ”
มองดูภรรยาน้ำตาไหลริน ในใจจังอวี้เฉินก็ยากทนรับไหว “หุ้ยเหนียง ข้าไม่อาจพาเจ้าไปด้วยได้ แต่ข้าหนีไปแล้ว บางทีเจ้ายังอาจรอด หากข้ามอบตัว พวกเราสองสามีภรรยาก็จะต้องตายสถานเดียว…”
“แล้ว…หว่านเอ๋อร์เล่า” หวางซื่ออดถามไม่ได้
ทั้งสองคนแต่งงานกันมานาน มีบุตรชายหนึ่งบุตรสาวหนึ่ง บุตรชายคนโตถูกส่งไปบ้านเกิดทางใต้เมื่อเจ็ดแปดปีก่อน บอกว่าให้เขาแสดงความกตัญญูดูแลปู่ย่าแทนสองสามีภรรยา ความจริงนี่คือเส้นทางที่จังอวี้เฉินวางแผนไว้เผื่อถอย
เขาเพียงแค่ชินกับการใช้วิธีการเหี้ยมโหดไปสู่เป้าหมาย แต่มิใช่ไม่กลัวยามเรื่องราวถูกเปิดโปง
มีเพียงจังหว่านบุตรสาวอยู่ข้างกาย
“กฎหมายราชวงศ์ต้าซย่า จะปรานีต่อบุตรและภรรยา ขอเพียงข้าหนีไปได้ แอบลอบติดต่อกลุ่มอิทธิพลได้ จะต้องกลับมารับพวกเจ้าแม่ลูกอย่างแน่นอน”
หวางซื่อปาดน้ำตา “ท่านพี่รีบไปเถอะ”
จังอวี้เฉินปลอมตัวง่ายๆ ก่อนจะมองหวางซื่อครั้งสุดท้าย รีบหนีออกทางประตูหลัง
เมฆดำบนท้องฟ้าจางหายไปเมื่อใดไม่อาจรู้ได้ ดวงดาวส่องประกายประปรายอยู่ขอบฟ้า
จังอวี้เฉินสูดลมหายใจหนาวเหน็บถึงกระดูก
คิดออกจากเมืองยามนี้คงเป็นไปไม่ได้ รอถึงพรุ่งนี้ พอเรื่องราวไปถึงฮ่องเต้ กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินก็คงมาตามจับคนอย่างเอิกเกริก หลบอยู่ในเมือง การถูกจับได้ย่อมเป็นเพียงเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น
โอกาสเดียวก็คือรอให้เช้าออกจากเมืองไป ใช้ช่วงเวลาที่ข่าวยังไม่แพร่ออกไปปะปนกับชาวบ้านลอบออกนอกเมือง
หลายปีมานี้ทำเรื่องชั่วช้าไว้มาก จังอวี้เฉินย่อมมีการเตรียมพร้อม ยามนี้ในอกเสื้อเขามีใบเบิกทางชุดหนึ่ง ให้เขาหนีออกจากเมืองหลวงไปตั้งตัวได้อย่างสะดวก
จังอวี้เฉินตรงไปยังประตูเมือง
เขาแอบซื้อบ้านหลังหนึ่งใกล้ประตูเมืองไว้ ไปพักที่นั่นรอประตูเมืองเปิดก็จะรีบออกจากเมืองทันที
ส่วนคำพูดที่จังโส่วฝู่กล่อมเขา จังอวี้เฉินได้แต่นึกแค่นเยาะในใจ
หากเขายังมีชีวิตรอดได้ เหตุใดต้องเสียสละตนเองเพื่อวงศ์ตระกูล คนในวงศ์ตระกูลเหล่านั้นก็มิใช่บิดามารดาบุตรภรรยาของเขา ปกติได้รับประโยชน์จากเขามากมาย พอเกิดเรื่องยังต้องให้เขาออกหน้ารับ ใช่ว่ารับแต่เรื่องดี เรื่องเลวโยนให้เขาหรือ
จังอวี้เฉินคิดเช่นนี้แล้วก็รีบเดินเร็วขึ้น
“จังหลางจง[1] จะไปไหนหรือ” เสียงเย็นเยียบพลันดังขึ้น ทำเอาจังอวี้เฉินตกใจชะงักฝีเท้าทันที
ด้านหน้าไม่ไกล มีเงาร่างในชุดแดงยืนตระหง่าน ในมือถือโคมไฟดวงหนึ่ง
แสงโคมส่องสว่างใบหน้างามราวหยกของเขา
เฮ่อชิงเซียว!
แววตาจังอวี้เฉินหดเกร็ง หันหลังคิดหนี กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินด้านหลังในชุดองครักษ์สีดำหลายคนมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
จังอวี้เฉินพลันหมดแรงหนี
ตอนหนุ่มเขาเคยฝึกเพลงมวยมาหลายปี หลักๆ ก็เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่หากจะใช้มาต่อสู้จริงก็คงใช้การไม่ได้
ต่อต้านไปก็รังแต่หาเรื่องหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีตนเอง
แต่พอคิดถึงผลลัพธ์ที่ต้องถูกจับเข้าไปในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน จังอวี้เฉินก็สีหน้าแปรเปลี่ยน เผยมีดสั้นที่ซ่อนในแขนเสื้อออกมาหมายแทงใส่หน้าอกตนเอง
ข้อมือพลันปวดร้าวจนต้องคลายออก มีดสั้นตกลงพื้นส่งเสียงดังเคร้งท่ามกลางค่ำคืนสงัด
เฮ่อชิงเซียวเดินมาตรงหน้าจังอวี้เฉิน มุมปากเผยรอยยิ้มบาง “จังหลางจงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเช่นนี้ นำตัวไป”
ดวงดาวบนท้องฟ้าถูกเมฆบดบัง ฟ้าใกล้สางแล้ว หลายจวนเริ่มมีเสียงเคลื่อนไหว บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมประชุมท้องพระโรงก็พากันออกจากบ้านแล้ว
ความเคลื่อนไหวเมื่อคืนที่เกิดขึ้นในที่พักชาวตระกูลจัง มีบางคนรู้ มีบางคนไม่รู้ ตอนมารอกันอยู่นอกประตูวังเพื่อร่วมประชุมท้องพระโรงก็เห็นจังโส่วฝู่แบกกิ่งหนามมา[2]
คนที่ไม่รู้เรื่องก็ถามขึ้นอย่างงุนงงว่า “จังโส่วฝู่ นี่ท่าน…”
หลายคนพากันออกไปยืนห่างๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
จังโส่วฝู่ท่าทางเช่นนี้ย่อมเกิดเรื่องใหญ่แล้ว หากไปร่วมวงผิดทาง เกิดนำภัยมาสู่ตนจะทำเช่นไร
“ซินไต้จ้าว!”
“ซินไต้จ้าวมาได้อย่างไร”
จังโส่วฝู่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ค่อยๆ หันไปมอง
สาวน้อยในชุดเขียวเกล้าผมง่ายๆ ปักปิ่นไว้ที่มวยผม ไข่มุกทิ้งตัวส่องประกายวาว
นางสวมชุดขุนนางชายอย่างเห็นได้ชัด แต่การแต่งตัวกลับยังมีลักษณะเด่นในแบบหญิงสาวอย่างตั้งใจ คล้ายว่าหญิงสาวสวมชุดขุนนางก็ควรมีภาพเช่นนี้ เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
กิ่งหนามที่จังโส่วฝู่แบกมาคล้ายดังกระบองเหล็กเผาไฟร้อนนาบเผาจนผิวเขากระตุกวาบ เจ็บปวดรวดร้าวไปถึงขั้วหัวใจ
เด็กสาวผู้นี้คือหัวหน้ากลุ่มคนคิดทำลายรากฐานตระกูลจัง!
แต่ในยามนี้ เขาไม่เพียงแต่ไม่อาจแสดงความเกลียดชังออกมาเท่านั้น ยังต้อง…
จังโส่วฝู่ลอบสูดลมหายใจ ก้าวเดินไปทางซินโย่ว
สายตาหลายคู่มองมา จังโส่วฝู่เดินไปหยุดระยะห่างจากซินโย่วราวหนึ่งจั้ง
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ไม่รู้หายไปเมื่อใด ทุกคนรอเวลาเข้าประชุมท้องพระโรง นอกประตูวังเงียบกริบไร้สำเนียงใด ล้วนอยากรู้จังโส่วฝู่คุยอันใดกับซินไต้จ้าว
จังโส่วฝู่อายุปูนนี้แล้ว คงไม่ด่าคุณหนูน้อยต่อหน้าสาธารณชนกระมัง
คนไม่น้อยพากันคาดเดาไปไกล แอบนึกคาดหวังขึ้นมาเล็กน้อย
ซินโย่วเองก็อยากรู้ความคิดจังโส่วฝู่มาก
เดิมไม่มีคุณสมบัติร่วมประชุมปกติได้ แต่ที่มาวันนี้ก็เพื่อฟ้องร้อง แต่พอได้เห็นจังโส่วฝู่แบกกิ่งหนามมาด้วย จำต้องเลื่อมใสว่าคนผู้นี้ทุ่มหมดหน้าตักแล้ว
โหดเหี้ยมกับผู้อื่น และยังโหดเหี้ยมกับตนเอง มิน่าจึงดำรงตำแหน่งมั่นคงในราชสำนักมาจนถึงตอนนี้ได้
ยามนี้จังโส่วฝู่ไม่คิดสนใจสายตามากมายที่มองมาอย่างคิดอยากรู้พวกนั้นแม้แต่น้อย หลังจากได้มองซินโย่วทีหนึ่ง ก็พลันลงคุกเข่า
เขาลงคุกเข่าเช่นนี้ทำให้บรรดาขุนนางนิ่งอึ้งไปทันที
[1] หลางจงเป็นตำแหน่งขุนนางในกรม รองจากรองเจ้ากรม จะมีกรมละหนึ่งคน เป็นขุนนางระดับห้า ชั้นรอง
[2] มาจากสำนวน แบกหนามขอขมา แปลว่า ยอมรับความผิดของตนเองโดยไร้ข้อโต้แย้ง และกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจ
……….