สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 350 ติดเบ็ด
ตอนที่ 350 ติดเบ็ด
……….
สายตาจังโส่วฝู่วูบไหว ยังคงยากตัดสินใจ “เด็กสาวผู้นั้นกำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรือง ทันทีที่เกิดเรื่อง ฮ่องเต้จะต้องให้สืบให้กระจ่างอย่างแน่นอน”
จังอวี้เฉินไม่คิดเช่นนั้น “ใต้หล้ามีคดีมากมาย แม้ฮ่องเต้ทรงมีกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเป็นพระเนตรพระกรรณ แต่ขอเพียงพวกเราทำงานได้หมดจดก็ไม่ต้องเป็นห่วงอันใด”
จังอวี้เฉินเอ่ยถึงตรงนี้ ก็ยิ้มเอ่ยว่า “ตอนนั้นฮองเฮาซินถูกซิ่วอ๋องสองแม่ลูกทำเอาโมโหหนีออกจากวังไป พระสนมซูเฟยยังคิดว่ากระทำการสำเร็จ ถึงวันตายก็ไม่รู้ว่าพวกเราก็คือผู้กุมดาบ พวกเราไร้ความแค้นส่วนตัวกับฮองเฮาซิน ซินโย่วเกิดเรื่อง ไม่ว่าผู้ใดก็จะไม่สงสัยมาถึงพวกเรา…”
จังโส่วฝู่มองดูหลานชายร่วมวงศ์ตระกูลผู้นี้พูดอย่างได้ใจ ความคิดก็ค่อยๆ เหม่อลอยไปไกล
หากว่ากันตามเส้นทางการศึกษา หลานชายคนนี้นับว่าไม่ได้มีพรสวรรค์นัก ตอนนั้นที่เรียนอยู่ก็แค่เรียนได้ไม่เลว ลูกหลานตระกูลจังมากมาย อย่างไรเสาหลักในรุ่นนี้ก็ไม่มีทางวนไปถึงเขา
เขายังจดจำวันนั้นได้ หลานชายผู้นี้มาหาเขา บอกว่าอยากติดตามเขา และยังเสนออุบายหนึ่งให้เขา ยืมมือพระสนมซูเฟยเปิดโปงความจริงที่ฮ่องเต้แอบมีสาวงามลับหลังฮองเฮาซิน
ทำเช่นนี้ ฮองเฮาและฮ่องเต้ก็จะขัดแย้งกัน ฮองเฮาซินก็จะไม่สนพระทัยในการปกครองอีก คิดไม่ถึงว่าได้ผลกว่าแผนที่วางไว้ ฮองเฮาซินถึงกับออกจากวังไป
สิบกว่าปีจากนั้น เรื่องไร้เกียรติที่ต้องเก็บซ่อนไว้มากมายล้วนเป็นแผนการและการดำเนินการของหลานชายคนนี้ ย่อมกลายเป็นคนที่เขาพึ่งพาได้มากที่สุดไปโดยปริยาย
“ท่านลุงรอง หากท่านตัดสินใจไม่ได้ ก็รอดูท่าทีฮ่องเต้พรุ่งนี้ก่อน ซุนกงกงไปสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนกับท่าน ไปดูสภาพอนาถของซวี่เอ๋อร์ก่อน ฮ่องเต้น่าจะทรงรู้ดีว่าผู้ที่บาดเจ็บหนักก็คือซวี่เอ๋อร์”
จังโส่วฝู่นิ่งเงียบไปนานก่อนจะพยักหน้า
ซุนเหยียนกลับวังแล้วก็รายงานสภาพจังซวี่ต่อฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
พอเขากระซิบเบาๆ ข้างหูจบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ทอดพระเนตรไปทางซินโย่วที่ยกแก้วน้ำชาดื่มอยู่ด้วยสีพระพักตร์จนพระทัย
ซินโย่วไม่ปฏิเสธคำชวนอยู่ร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำกับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ก็เพื่อรอซุนเหยียนกลับมา
“แค็กๆ อาโย่วชนะสินะ”
“มีเรื่องทะเลาะวิวาทมีแพ้มีชนะ ต่อยกับจังซวี่แม้ว่าชนะ แต่หากคิดถึงเขาขึ้นมาก็ยังไม่สะใจเพคะ” ซินโย่ว วางแก้วน้ำชาลง เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยินว่าจังซวี่ถูกบุตรสาวตนอัดจนใบหน้าบวมดังหัวสุกร ในใจบังเกิดความรู้สึกภาคภูมิเล็กๆ ความรู้สึกไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมเล็กน้อยก็พลันจางหายไป
อาโย่วกล่าวได้ถูกต้อง คงไม่อาจกล่าวว่าเพราะมีเรื่องทะเลาะวิวาทชนะก็จะไร้เหตุผลกระมัง เจ้าหมอนั่นปากไม่ดี ยังสู้แพ้ น่าสมน้ำหน้าจริง
“ฟ้ามืดแล้ว นั่งรถในวังกลับไป”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซินโย่วมิได้ปฏิเสธ เส้นทางขากลับยังเลิกม่านขึ้น ปล่อยให้ลมปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ามา
สายลมฤดูปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดเสียดสีกับอากาศ ความหนาวค่อยๆ แทรกซึมสู่ภายในกาย ความหนาวเหน็บโหดร้ายของฤดูหนาวใกล้มาถึงแล้ว
คืนนี้ จังโส่วฝู่หลับไม่สนิท ทำให้ยังแอบหลับระหว่างทางไปประชุมท้องพระโรงยามเช้า
การประชุมท้องพระโรงยามเช้าดำเนินไปตามปกติ หลังเลิกประชุม จังโส่วฝู่กับขุนนางใหญ่อีกสองสามคนก็ไปหารือกิจแผ่นดินกันต่อที่ตำหนักเฉียนชิงกงก่อนจะกลับมาที่ทำงาน ไม่ทันรอให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถึงเรื่องเมื่อวาน
“ท่านจัง…”
จังโส่วฝู่ตั้งสติได้ “ท่านฉิน เมื่อครู่เอ่ยอันใด”
ใต้เท้าฉินเป็นผู้ที่เข้าร่วมคณะมนตรีหลังใต้เท้าเติ้งเกิดเรื่อง ปกติไม่ค่อยไปมาหาสู่กับจังโส่วฝู่ เขานิ่งมองสีหน้าจังโส่วฝู่ “ท่านจังไม่สบายตรงไหนหรือ”
จังโส่วฝู่ฝืนเผยรอยยิ้ม “อายุมากแล้วนอนไม่ค่อยหลับ ขอบคุณท่านฉินที่ห่วงใย”
ทั้งสองคนคุยมาตรการราชสำนักหลังเข้าสู่ฤดูหนาว ความคิดจังโส่วฝู่กลับล่องลอยไปไกล
ค่ำคืนนี้ จังอวี้เฉินมาเยือนอีกครา
“ท่านลุงรอง ฮ่องเต้ทรงมีทีท่าเช่นไร”
จังอวี้เฉินยิ้ม “ข้ากล่าวได้ไม่ผิดกระมัง เด็กนั่นมีอิทธิพลต่อพระทัยฮ่องเต้ไม่ธรรมดา ทันทีที่นางเสนอนโยบายปกครองใหม่ ท่านรับรองได้หรือว่าฮ่องเต้จะไม่ทรงหวั่นไหว”
จังโส่วฝู่สีหน้าเคร่งเครียดดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง
“ท่านลุงรอง หลานยังคงกล่าวเช่นเมื่อคืนวานนี้ ยามตัดไม่ตัดให้ขาด ย่อมก่อเกิดภัยร้ายตามมาภายหลัง ควรรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ทรงให้การยกย่องบัณฑิตอย่างมากแล้ว แต่ท่านดูตอนนี้ที่ทรงทำกับใต้เท้าเติ้ง ขุนนางที่ปรึกษาหลิว…”
“ทำตามที่เจ้าว่า” จังโส่วฝู่กระแทกแก้วชาลงบนโต๊ะ
แต่ทว่าท่าทีฮ่องเต้วันนี้ เขาจำต้องใคร่ครวญสักหน่อย อวี้เฉินกล่าวได้ถูกต้อง ฮ่องเต้โปรดปรานบุตรสาวผู้นี้เกินไปแล้ว ไม่ลงมือตอนนี้ ต้องเป็นภัยร้ายในวันหน้า
ค่ำคืนนี้ ไฟในห้องหนังสือจังโส่วฝู่สว่างอยู่นาน น้ำตาเทียนเยียบเย็นกองอยู่บนเชิงเทียน
หลังรองเจ้ากรมต้วนได้ยินว่าซินโย่วอัดจังซวี่เสียน่วม ก็ตรงไปหาต้วนอวิ๋นหลาง
“อวิ๋นหลาง ข้าได้ยินว่าคุณหนูซินต่อยจังโส่วฝู่เกี่ยวข้องกับเจ้า”
ต้วนอวิ๋นหลางสีหน้าแปรเปลี่ยน “อาโย่วต่อยจังซวี่?”
“อาโย่ว?” รองเจ้ากรมต้วนแววตาวูบไหว
ดูท่าข่าวลือเป็นจริง
“ท่านลุง ท่านเล่าให้ละเอียดได้หรือไม่”
ได้ฟังรองเจ้ากรมต้วนพูดจบ ต้วนอวิ๋นหลางก็ขยี้ตา พึมพำว่า “ข้าไม่ควรบอกคุณหนูซิน…”
รองเจ้ากรมต้วนตบไหล่เขา น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นพิเศษ “เจ้าเองก็ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ จำไว้ว่าคุณหนูซินดีต่อเจ้าก็พอ”
นังเด็กนั่นเหิมเกริมเพียงนี้ ฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิ แต่ยังตำหนิหลานชายจังโส่วฝู่ที่หน้าบวมเป็นสุกร ต้องลาออกจากสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน เห็นได้ชัดว่าในนังเด็กนั่นมีความสำคัญในพระทัยฮ่องเต้มาก รู้ว่าสนิทกับหลานชายก็ดี จะได้ดูแลจวนรองเจ้ากรมมากอีกสักหน่อย
เห็นหลานชายที่ไร้แผนการในใจผู้นี้แล้ว ในใจรองเจ้ากรมต้วนก็ได้แต่ทอดถอนใจ
แม้นฝันก็มิกล้าฝัน โอกาสสร้างตัวใหม่ของจวนรองเจ้ากรมเพียงน้อยนิดถึงกับตกอยู่กับเจ้างั่งผู้นี้
ตลอดทางไปสำนักฮั่นหลินย่วน ซินโย่วเดินผ่านคนผู้หนึ่ง มองดูกระดาษที่ไหลลื่นลงฝ่ามือ ก็ผ่อนลมหายใจเบาๆ
ไม่เสียแรงที่อัดจังซวี่ไปยกหนึ่ง จังอวี้เฉินไปจวนตระกูลจังติดกันสองวัน ดูท่าจะทนไม่ไหวต้องลงมือกับนางแล้ว
ปล่อยข่าวไปว่าจะเขียนความคิดท่านแม่รวมเล่มพิมพ์แจก ต่อยจังซวี่ต่อหน้าผู้คน ก็คือวิธีการทำให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ว่านางไม่ยอมดำรงตนเป็นนกยูงทองสูงส่งอย่างสงบเสงี่ยม แต่บีบให้ฝ่ายตรงข้ามลงมือ
“ซินไต้จ้าว”
“ซินไต้จ้าว…”
ตอนเดินเข้าไปในสำนักฮั่นหลินย่วน ได้พบผู้ใดก็ทักทายอย่างสนิทสนม คนผู้หนึ่งอยู่ห่างไกลก็แอบถอยห่างยิ่งไกล
ซินโย่วมีความคิดเดียว ข่าวแพร่ไปเร็วมาก
เดินเข้าไปในห้องทำงาน บนโต๊ะมีกระดาษสีขาว หมึก พู่กันวางไว้ไม่ต่างจากเมื่อวานตอนกลับไป
มีเพียงแต่…ซินโย่วกวาดตามองไปยังกระปุกชาบนโต๊ะ
กระปุกกระเบื้องเคลือบสีครามอ่อน ลวดลายบนฝาถูกนางตั้งใจหันไปตรงกับลายบนกระปุกพอดี แต่ตอนนี้ลายบนฝากับตัวกระปุกผิดตำแหน่ง เห็นชัดว่ามีคนมาแตะต้องฝา
นางอยู่สำนักฮั่นหลินย่วนจะดื่มเพียงน้ำชา ฝ่ายตรงข้ามคิดวางยาพิษ ความจริงมีทางเลือกไม่มาก
หน้าต่างไม่ได้เปิดไว้ ตอนเข้ามาก็ปิดประตูตามมา ซินโย่วหยิบชาจากกระปุกชาออกมาวางลงในถุงใส่เงิน ก่อนจะลุกขึ้นผลักหน้าต่างออก
ลมกระโชกเข้ามา กระดาษที่วางซ้อนกันก็ถูกลมพัดกระจาย
ซินโย่วเห็นหลี่ไต้จ้าวรีบเดินเข้าไปในโถงตะวันออก
“ซินไต้จ้าว” ฮว่าไต้จ้าวเดินผ่านมาทางหน้าต่าง ส่งถุงกระดาษอาบน้ำมันให้ถุงหนึ่ง หัวเราะเบาๆ ถามว่า “วันนี้ซื้อขนมหวานมาหลายชิ้น จะกินสักชิ้นหรือไม่”