สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 349 คุยเรื่องลับ
ตอนที่ 349 คุยเรื่องลับ
……….
หลายคนรออยู่ครู่หนึ่ง คนที่ไปตามจังซวี่ก็กลับมา
“จังซวี่ล่ะ” เมิ่งจี้จิ่วถามงุนงง
“ใต้เท้าเมิ่ง จังซวี่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องพัก เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมออกมา”
“เจ้าลูกกระต่ายนี่” จังโส่วฝู่เสียหน้าอย่างมาก ยิ้มขออภัยเมิ่งจี้จิ่ว “ข้าไปตามเขาเอง”
เมิ่งจี้จิ่วลุกขึ้น “ไปด้วยกันเถอะ จังโส่วฝู่อย่าได้ร้อนใจไป จะได้ไม่เป็นการกดดันเด็กหนุ่มมากเกินไป”
คนจะไปแล้ว เมิ่งจี้จิ่วไม่ถือสาที่จะต้องแสดงความเมตตาในฐานะอาจารย์
หลายคนไปห้องพักจังซวี่ด้วยกัน เห็นนักเรียนไม่น้อยพากันจับกลุ่มยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล กระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์กัน
“ใต้เท้าเมิ่งมาแล้ว!” ไม่รู้ผู้ใดตะโกนขึ้นมา เหล่านักเรียนก็พากันสลายตัว
เมิ่งจี้จิ่วยิ้มส่ายหน้า “เสียมารยาทต่อทุกท่านแล้ว”
ดูท่าแล้ว เรื่องจังซวี่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคุณหนูซินแพร่ไปทั่วสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว ก็ไม่รู้ว่าคุณชายเสเพลลงมือกับสาวน้อยจนเป็นเช่นไรไปแล้ว
เมิ่งจี้จิ่วกำลังคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่พอใจจังซวี่
“จังซวี่ เปิดประตู” เจ้าหน้าที่ส่งเสียงตะโกนเรียก
เสียงดื้อดึงของชายหนุ่มดังมาจากด้านใน “ข้าไม่สบาย ไม่อยากพบผู้ใด”
“ใต้เท้าเมิ่งกับปู่เจ้ามาแล้ว เจ้ายังไม่เปิดประตูอีก ทุกคนในห้องพักเดียวกับเจ้ามีความผิดร่วมด้วย” เจ้าหน้าที่ส่งเสียงเตือนเยียบเย็น
อีกฟากของประตู จังซวี่สีหน้าย่ำแย่อย่างที่สุด
ท่านปู่มาได้อย่างไร ข่าวไปถึงหูท่านปู่เร็วเพียงนี้หรือ
ลูกสมุนสองคนข้างๆ ส่งเสียงเตือนเบา ๆ “พี่จัง เปิดประตูเถอะ”
หนึ่งห้องพักมีนักเรียนอยู่ร่วมกันสี่คน คนหนึ่งในนั้นเพราะท่านพ่อถูกโยงไปกับคดีใต้เท้าเติ้งจึงต้องลาออก ในห้องพักนี้หายไปหนึ่งคนแล้ว
จังซวี่ลังเล
“จังซวี่ เปิดประตู!”
ได้ยินเสียงคำรามของท่านปู่ตน จังซวี่ก็ไม่คิดดึงดันต่อ “เปิดประตู”
ขายหน้าก็ขายหน้า ท่านปู่มาหาถึงที่แล้ว ไร้หนทางแล้ว
ลูกสมุนสองคนพากันโล่งอก รีบเปิดประตูทันที
พอเห็นประตูเปิด จังโส่วฝู่ก็ยกชายเสื้อก้าวเข้าไปทันที “จังซวี่…”
เห็นคนที่นอนพาดอยู่บนเตียงหันใบหน้าดังหัวสุกรมองมา จังโส่วฝู่ก็แทบล้มคะมำ
เมิ่งจี้จิ่วมือไวคว้าแขนจังโส่วฝู่ไว้ได้ พยายามดูหน้าคนบนเตียง
คือจังซวี่?
ซุนเหยียนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่
ไม่ได้บอกว่าหลานชายจังโส่วฝู่ลงไม้ลงมือกับองค์หญิงอาโย่วหรือ คนผู้นี้คือใครกัน
“เขาคือ…”
จังโส่วฝู่ยืนนิ่งได้ครู่หนึ่ง ก็ตั้งสติหลังจิตใจถูกกระทบกระเทือนรุนแรงมาได้ “ซวี่เอ๋อร์ เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“ไม่ ไม่มีอันใด” จังซวี่แววตาวูบไหว รู้สึกเสียหน้ามาก
นังเด็กควรตายนั้นพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย การให้ผู้ใหญ่ที่บ้านรู้เป็นการเสียหน้าจริงดังคาด
“ยังว่าไม่มี! ไม่ใช่ว่าเจ้ามีเรื่องลงไม้ลงมือกับคุณหนูซินหรือ!”
หรือว่าหลังเกิดเรื่องถูกคนมาเอาคืน
“ผู้ใดลงไม้ลงมือกัน นาง…” จังซวี่ได้ยินก็โมโห ปวดแผลจนต้องสูดลมหายใจ
“เจ้าไม่ได้ลงไม้ลงมือใส่คุณหนูซิน?”
จังซวี่ทำหน้าย่น หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา “ท่านปู่ ท่านได้ยินข่าวลือมาจากที่ใด”
“ข่าวลืออันใด คุณหนูซินเข้าวังไปทูลฟ้องฝ่าบาท พวกเจ้ามีเรื่องทะเลาะวิวาทกันทำให้ฝ่าบาทกริ้วมาก ให้ปู่มาพาเจ้าบัดซบเช่นเจ้ากลับไปเรียนที่บ้าน!”
“เดี๋ยวนะ…” จังซวี่พยายามยื่นมือออกไป “ท่านปู่ ท่านบอกว่าคุณหนูซินเข้าวังไปทูลฟ้องหรือ”
“แค็กๆ” ซุนเหยียนกระแอมไอทีหนึ่ง เตือนว่าเขายังอยู่ตรงนี้
อย่าได้พูดจาเหลวไหล ไม่เช่นนั้นเขาได้ยินก็จะไปทูลฮ่องเต้ หรือว่าไม่ทูลดี
จังซวี่ค่อยๆ หันไปมองซุนเหยียน จดจำได้ว่านี่คือมหาขันทีข้างพระวรกายฮ่องเต้
ก็หมายความว่าท่านปู่ไม่ได้หลอกเขา
พอรับรู้เรื่องนี้ได้แล้ว เลือดในกายก็ปะทุขึ้นกระแทกสมอง
“ข้าขอสู้ตายกับนังเด็กนั่นแล้ว!” จังซวี่โมโหจนลืมความเจ็บร่างกายไปหมดสิ้น ลงจากเตียงได้ก็จะวิ่งออกไป น่าเสียดายเดินไปได้สองก้าวก็เซเกือบล้ม
“พี่จังระวัง” ลูกสมุนทั้งสองเข้าประคองเขาซ้ายและขวา
จังซวี่โมโหจนหายใจแทบไม่ทัน “นางบอกว่ามีเรื่องทะเลาะวิวาทกลับไปฟ้องผู้ใหญ่ที่บ้านเป็นพวกสวะ ข้าถูกนางอัดน่วมเช่นนี้ยังปิดปากเงียบ ปรากฏว่านางปรี่เข้าวังไปฟ้องหรือ เหตุใดนางหน้าไม่อายเช่นนี้…”
“ซวี่เอ๋อร์!” จังโส่วฝู่ตวาดตำหนิ ประสานมือไปทางพวกซุนเหยียน “เจ้าตัวบัดซบบาดเจ็บจนสติไม่ดีแล้วข้าพาเขากลับบ้านก่อน เมิ่งจี้จิ่ว ยังต้องรบกวนท่านให้คนมาช่วยสักหน่อย เกรงว่าหลานชายข้าคงเดินไม่ได้”
“แน่นอนๆ” เมิ่งจี้จิ่วแต่ไรมาไม่ถูกกับจังโส่วฝู่ ยามนี้ก็อดแสดงท่าทางเข้าอกเข้าใจไม่ได้
จังซวี่กลับถึงจวนตระกูลจังได้รู้ว่าฮ่องเต้รับสั่งให้เขาลาออก สติสัมปชัญญะก็ขาดผึง “ท่านปู่ ท่านอย่าห้ามข้า ข้าจะต้องไปจัดการนังเด็กนั่นให้ตาย!”
“พอได้แล้ว!” จังโส่วฝู่มองสภาพคลุ้มคลั่งของหลานชาย คับแค้นใจที่เขาไร้ความสามารถ “หากเจ้ามีความสามารถทำให้นางตายได้ จะโดนนางทำจนเป็นเช่นนี้หรือ”
จังซวี่ได้แต่ค้อนตาคว่ำ “นางลงมือก่อนได้เปรียบ ใช้น้ำชาสาดใส่ข้า ถือโอกาสตอนที่ข้าหรี่ตาอัดใส่หน้าข้าไม่หยุด…”
“เจ้ารักษาตัวให้ดีเถอะ ไม่อนุญาตให้ก่อเรื่องอีก” จังโส่วฝู่ถอนหายใจ
“ท่านปู่ นางแล่นไปทูลฟ้องฮ่องเต้ก่อน นี่มันอันใดกัน” จังซวี่แทบไม่อยากเชื่อ
“เจ้าจะไปถกเหตุผลเรื่องนี้กับฮ่องเต้ให้ได้หรืออย่างไร ซวี่เอ๋อร์ เจ้าอย่าลืมสถานะแท้จริงของนาง”
“นางไม่มีแม้แต่ตำแหน่งองค์หญิง” จังซวี่ไม่ยอมแพ้
“แม้นางไม่มีตำแหน่งองค์หญิง แต่ก็เข้าออกนอกวังได้อย่างอิสระ เป็นขุนนางในราชสำนักอีกด้วย ยังมีขุนนางมากมายสูญเสียตำแหน่งไปเพราะนาง นางก็คือองค์หญิงที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานแท้จริง วันหน้าไม่อนุญาตให้ไปหาเรื่องนางอีก!”
จังโส่วฝู่เอ่ยเตือนหลานชายเสร็จก็เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ฮูหยินโส่วฝู่ปาดน้ำตาอย่างปวดใจ “ซวี่เอ๋อร์ เจ้าต้องฟังคำท่านปู่นะ วันหน้าอย่าไปปะทะกับคุณหนูซินผู้นั้นอีก”
“หลานทนไม่ไหว!”
“โทสะได้แต่ทำลายสุขภาพตนเอง ซวี่เอ๋อร์มองในแง่มุมที่ดี วันหน้าทุกเดือนก็ไม่ต้องสอบแล้ว”
จังซวี่อึ้งไปเล็กน้อย สีหน้าดีขึ้นไม่น้อยอย่างไม่รู้ตัว
หากกล่าวเช่นนี้ คล้ายว่าก็มิได้โมโหมากนักแล้ว
ค่ำคืนสงัดดึกดื่น จังอวี้เฉินเข้าจวนตระกูลจังทางประตูข้าง หารือความลับกับจังโส่วฝู่ในห้องหนังสือ
“ท่านลุงรอง นี่คือสิ่งที่นังเด็กนั่นเขียนอยู่” จังอวี้เฉินหยิบกระดาษยับย่นออกมาส่งให้
จังโส่วฝู่รับไปแล้วก็อาศัยแสงตะเกียงอ่านข้อความในกระดาษ แววตาเริ่มเยียบเย็น
“ท่านลุงรอง เนื้อหาในกระดาษนี้แม้จะไม่มาก แต่มองออกว่าเป็นความคิดที่ฮองเฮาซินเสนอในตอนนั้นจริง”
“ใช่”
“ท่านลุงรอง ลงมือเถอะ” แสงตะเกียงสาดส่องใบหน้าครึ่งหนึ่งของจังอวี้เฉิน อีกครึ่งหนึ่งดำมืด
จังโส่วฝู่บีบกระดาษไม่กล่าวอันใด
“วันนี้ซวี่เอ๋อร์ถูกนางจัดการจนเป็นเช่นนั้น ฮ่องเต้ทรงมีท่าทีอย่างไร” จังอวี้เฉินย่อมรู้ปฏิกิริยาฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “ฮ่องเต้ตำหนิท่าน ยังทรงให้ซวี่เอ๋อร์ลาออก ท่านยังมองไม่เห็นอิทธิพลของนังเด็กนั่นที่ส่งผลต่อฮ่องเต้อีกหรือ”
เดิมเขาไม่คิดลงมือรวดเร็วเช่นนี้ องค์ชายกลายเป็นองค์หญิง ตามหลักแล้วไม่มีภัยคุกคามแม้แต่น้อย ย่อมมิควรเสี่ยงภัยเพราะหญิงสาวคนหนึ่ง
แต่หญิงสาวผู้นี้กลับไม่ดำรงตนดังปกติทั่วไป
นางถึงกับจะดำเนินการเรื่องที่ฮองเฮาซินยังดำเนินการไม่สำเร็จ และนางยังถึงกับเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้
จังอวี้เฉินรู้ว่าจังโส่วฝู่ยังไม่คิดตัดสินใจ จึงไม่ได้มาหารือในทันทีที่ได้กระดาษกองนี้มา แต่พอจังซวี่เกิดเรื่อง ก็รู้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะโน้มน้าวลุงของตนเอง
“ท่านลุงรอง ขอเพียงนังเด็กนั่นตายไป ความกังวลของพวกเราก็จะหมดไปเช่นกัน ยามตัดไม่ตัดให้ขาด ย่อมก่อเกิดภัยร้ายตามมาภายหลัง!”