สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 348 ทูลฟ้อง
ตอนที่ 348 ทูลฟ้อง
……….
หลิวโจวจำได้ว่าซินโย่วเยาะจังซวี่ว่าจะไปฟ้องผู้ใหญ่ที่บ้าน นี่มิใช่หมายความว่าหนุ่มสาวแก้ปัญหาขัดแย้งกันด้วยตนเองหรือ
หากเป็นเขา เขาก็จะทำเช่นนี้ จะได้ไม่ให้ผู้ใหญ่ที่บ้านรู้ จะได้ไม่โดนด่าเพิ่ม
ผู้ดูแลร้านหูอายุมากแล้ว ในมุมมองผู้ใหญ่กลับไม่คิดเช่นนี้ “ท่านเจ้าของร้านทำถูกต้องแล้ว สถานะคุณชายจังไม่ธรรมดา วันนี้มีเรื่องทะเลาะวิวาท และยังมีผู้คนเห็นกันมากมายเช่นนี้…”
หลิวโจวอดแย้งไม่ได้ “โดนอัดน่วม”
นี่ใช่มีเรื่องทะเลาะวิวาทหรือ เห็นชัดว่าเจ้าของร้านลงไม้ลงมืออัดเขาน่วมอยู่ฝ่ายเดียว
ผู้ดูแลร้านหูเหล่มองเขาทีหนึ่ง “ขอเพียงลงไม้ลงมือก็คือมีเรื่องทะเลาะวิวาท สรุปว่าเรื่องนี้ช้าเร็วก็ย่อมไปถึงหูผู้ใหญ่ในบ้าน ถึงตอนนั้นผู้ใหญ่ฝ่ายเขาไปทวงความเป็นธรรม หากฮ่องเต้ไม่ทรงรู้เรื่องอันใด จะไม่เป็นผลดีต่อเจ้าของร้าน”
“ท่านผู้ดูแลร้านคิดได้รอบคอบมาก” หลิวโจวพยักหน้า เริ่มรู้สึกเห็นใจแฝงความรู้สึกดูแคลนต่อจังซวี่ที่ถูกอัดจนน่วมปูดเป็นหัวสุกรก็ยังไม่กลับบ้านไปฟ้อง
เจ้าโง่นี่ห่างไกลกับเจ้าของร้านจริงแท้
ซินโย่วตรงไปวังหลวง องครักษ์เฝ้าประตูจำใบหน้านี้ได้จึงปล่อยให้นางเข้าไป
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสไว้ว่า ซินโย่วเข้าวังได้เหมือนองค์หญิงใหญ่เจาหยาง แน่นอนว่าจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้หรือไม่ ยังต้องรอเข้าไปกราบทูลก่อน
ซินโย่วรอไม่นานก็มีคนมานำเข้าไป
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้สึกอารมณ์ดีเพราะซินโย่วมาหาเขาด้วยตนเอง แต่พอเห็นนางก็อดขมวดพระขนงไม่ได้ “อาโย่วไปพบเจอเรื่องใดมาหรือ”
ซินโย่วเลิกงานก็ถอดชุดขุนนางสีเขียวออกเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงธรรมดาไปร้านหนังสือชิงซง ยามนี้เห็นได้ชัดว่าตัวเสื้อนางมีรอยยับ ผมเผ้ารุ่ยร่ายอยู่เล็กน้อย
ดูแล้วเหมือนมีเหตุกระชากลากถูกับผู้ใดมา
ซินโย่วหลุบตาลง “มีเรื่องลงไม้ลงมือทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นมาเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดว่าฟังผิด “ลงไม้ลงมือ?”
ซินโย่วพยักหน้า
“มีเรื่องกับผู้ใด เหตุใดต้องลงไม้ลงมือ แล้วชนะไหม” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามคำถามเป็นชุด แม้กริ้วเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกว่าแปลกใหม่ดี
แน่นอนว่าที่ทรงกริ้วมิใช่เพราะซินโย่ว แต่เพราะคนที่กล้าลงไม้ลงมือกับบุตรสาวตน ส่วนเรื่องความแปลกใหม่นั้น นี่เป็นเพราะฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่เคยสัมผัสการประสบความรู้สึกเช่นนี้ในฐานะบิดามาก่อน
แม้องค์ชายทั้งหกมีความคิดหวังอันใด ก็ไม่ตรงไปลงมือตรงๆ บางทีอาจเคยเกิดเหตุ แต่ทว่าจะไม่มีเรื่องมาถึงเขา องค์หญิงทั้งสามยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ต่อหน้าเขาพูดจาเบาหวิวแทบไร้เสียง
อาโย่วถึงกับลงไม้ลงมือทะเลาะวิวาท
หลังจากรู้สึกแปลกใหม่แล้วก็เริ่มรู้สึกภูมิใจ
ตอนเขาเป็นเด็กก็มีเรื่องทะเลาะวิวาททุกวัน ดังคาดในบรรดาบุตรชายหญิงมากมาย อาโย่วเหมือนเขาที่สุด
“วันนี้ตอนเลิกงาน หม่อมฉันไปร้านหนังสือ จังซวี่มาหาหม่อมฉัน…”
“จังซวี่? หลานชายจังโส่วฝู่หรือ”
จังโส่วฝู่เป็นขุนนางเก่าแก่มาตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ บุตรชายจากไปเร็ว เหลือเพียงหลานชายคนเดียว ดังนั้นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จึงพอจดจำได้
“เป็นเขาเพคะ”
“เหตุใดเขาไปหาเจ้า”
“เขาเป็นเพื่อนสนิทกับไต้เจ๋อ จวนกู้ชางป๋อเกิดเรื่อง ไต้เจ๋อถูกเนรเทศ เขาคิดว่าเพราะฝีมือหม่อมฉัน ดังนั้นจึงมาคิดบัญชีกับหม่อมฉันเพคะ”
“ไร้เหตุผลสิ้นดี!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ฟังก็กริ้วหนัก
เจ้าเด็กนี่มันตัวอันใด กล้ากลับดำเป็นขาว บังอาจมาก!
ซินโย่วเม้มปาก เผยท่าทางอัดอั้นตันใจเหมือนโดนรังแก “ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขายังไประบายอารมณ์กับต้วนอวิ๋นหลางหลานชายคนรองของรองเจ้ากรมต้วน แอบลอบทำร้ายต้วนอวิ๋นหลาง…”
ได้ฟังซินโย่วเล่าว่าต้วนอวิ๋นหลางเดินอยู่กลางถนนก็โดนคนคลุมกระสอบทุบตี ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่รู้สึกตกพระทัยกับนิสัยวางอำนาจของจังซวี่ แต่ตกใจกับความโง่เง่าของเขา “จังซวี่ยอมรับแล้ว?”
เรื่องไร้หลักฐานประเภทนี้ หากไม่ยอมรับ ผู้อื่นก็ทำอันใดไม่ได้ จังโส่วฝู่เองก็เป็นคนฉลาด เหตุใดหลานชายคนเดียวถึงได้โง่เง่าเพียงนี้
“เขายอมรับเองเพคะ” ซินโย่วยกมือปาดน้ำตา เอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็น “คิดถึงว่าปู่เขาเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก หม่อมฉัน หม่อมฉันเองก็ไม่อยากมีเรื่องให้เสียหน้านัก แต่เขายอมรับต่อหน้าหม่อมฉันอย่างไม่ปิดบังว่าลงมือกับคุณชายรองต้วน เห็นหม่อมฉันโมโหยังหัวเราะเยาะหม่อมฉัน ว่ามีใจพันผูกกับคุณชายรองต้วนแล้วใช่หรือไม่…”
“บัดซบ!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตวาดพระสุรเสียงดุดัน แววพระเนตรฉายรัศมีพิฆาต
ในฐานะปฐมฮ่องเต้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่คิดว่าหนุ่มสาวมีเรื่องลงไม้ลงมือกันจะร้ายแรงอันใด ขอเพียงบุตรสาวไม่เสียเปรียบ ไว้เรียกจังโส่วฝู่เข้าวังมาพูดสักหน่อยก็ปล่อยผ่านไป แต่พอได้ยินช่วงท้ายก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปเช่นนี้ได้
คุณชายเสเพลคนหนึ่งกล้าทำให้ชื่อเสียงบุตรสาวเขาแปดเปื้อน
บิดาที่ไหนจะทนไหว
“เรียกตัวจังโส่วฝู่เข้าวัง!”
จังโส่วฝู่ได้รับราชโองการก็ตรงเข้าวังอย่างเร่งด่วน “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
ในฐานะขุนนางในคณะมนตรี อาจถูกเรียกตัวมาหารือราชกิจได้ทุกเมื่อ เดิมจังโส่วฝู่ไม่ได้คิดมาก แต่พอเหลือบเห็นสีพระพักตร์เยียบเย็นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ในใจก็อดกระตุกไม่ได้
พื้นที่ใดเกิดเหตุภัยร้ายจลาจลหรือ หรือว่าใต้เท้าเติ้งซัดทอดมาถึงเขา
เรื่องแรกเป็นเรื่องของแผ่นดิน เขาไม่ได้กลัวมาก แต่หากเป็นเรื่องหลัง…
ไม่น่านะ ระยะนี้เขาสงบเสงี่ยมดี และยังเตือนสติบรรดาสหายขุนนางพวกเดียวกันว่าให้ระวังคำพูดและการกระทำแล้วด้วย
“ลุกขึ้นได้”
จังโส่วฝู่ลุกขึ้นแล้วก็พบว่าซินโย่วก็อยู่ด้วย
การค้นพบนี้ทำให้ในใจเขาขมวดตึงขึ้นมาทันที
พวกขุนนางที่ปรึกษาหลิวสามคนโดนโบย ตอนนี้ยังถูกจำคุก เห็นได้ว่าฮ่องเต้โปรดปรานบุตรสาวมาก หากวันนี้เข้าวังมาเกี่ยวข้องกับซินโย่ว เกรงว่าก็คงยุ่งยากแล้ว
“ขุนนางจังรู้ไหมว่าเหตุใดเราเรียกตัวท่านเข้าวัง”
“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงตบพนักเก้าอี้ที่ประทับ “วันนี้หลายชายท่านมาหาเรื่องซินไต้จ้าว พูดจาดูหมิ่น แม้ซินไต้จ้าวตำแหน่งต่ำต้อยอยู่สักหน่อย แต่ก็เป็นขุนนางราชสำนัก เป็นหน้าตาของเรา ขุนนางจัง ท่านต้องดูแลสั่งสอนหลานชายท่านให้ดีสักหน่อยแล้ว”
จังโส่วฝู่ได้ยิน ในใจก็แอบก่นด่าจังซวี่ไม่ได้ เจ้าตัวบัดซบ นอกจากหาเรื่องให้เขาแล้วก็มีแต่หาเรื่องเท่านั้น!
จังโส่วฝู่รู้จักนิสัยหลานชายตนดีมาก ไม่ได้รู้สึกสงสัยดำรัสฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แม้แต่น้อย
กลับไปจะต้องสั่งสอนเจ้าลูกกระต่ายสักยก คนเขามาฟ้องฮ่องเต้แล้ว ทำเอาหน้าตาแก่ๆ ของเขาเสียหมดแล้ว
“กระหม่อมอบรมสั่งสอนไม่ดี รอให้กระหม่อมกลับไปจะต้องอบรมสั่งสอนเขาให้ดี” จังโส่วฝู่รีบลงคุกเข่า
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่พอพระทัย “หลานชายท่านเป็นบุรุษ ทั้งยังเป็นนักเรียนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน แต่กลับไปหาเรื่องหญิงสาว ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ขุนนางจังพาหลานชายกลับบ้านไปอบรมด้วยตนเองดีกว่า รอให้รู้ความค่อยส่งไปสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนก็ไม่สาย”
จังโส่วฝู่สีหน้าย่ำแย่
พระดำรัสฮ่องเต้ตรัสได้น่าฟัง แต่ความจริงก็คือบังคับให้หลานเขาลาออก
สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนรับบุตรหลานขุนนางเป็นหลัก สหายร่วมชั้นเรียนที่ชาติกำเนิดและอายุใกล้เคียงกัน ผูกพันลึกซึ้งมาแต่เล็ก วันหน้าเข้ามาเป็นขุนนางก็จะช่วยเหลือกันและกันได้
เป็นถึงหลานชายโส่วฝู่ ต้องมาถูกบีบให้ลาออก กล่าวได้ว่าขายหน้าหมดสิ้นแล้ว
แต่จังโส่วฝู่ก็ไม่มีความกล้าพอจะขัดรับสั่ง พยายามอดกลั้นความอัดแน่นในใจก่อนทูลขอบพระทัย
“ซุนเหยียน เจ้าไปสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนกับจังโส่วฝู่ แล้วก็ส่งคนไปบอกเมิ่งจี้จิ่วด้วย”
จังโส่วฝู่ได้ยินก็ยิ่งอัดอั้นแทบกระอัก
หลานชายถูกให้ออกก็ขายหน้าพอแล้ว ยังต้องมีขันทีไปเฝ้าดู
“จังโส่วฝู่ เชิญ”
ยามนี้เมิ่งจี้จิ่วอยู่บ้านแล้ว ตอนได้รับรายงานจากในวังก็รีบกลับไปสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน
“จังซวี่มีเรื่องลงไม้ลงมือกับคุณหนูซิน ต้องกลับไปเรียนกับจังโส่วฝู่ที่บ้าน?” ได้ฟังซุนเหยียนบอกจุดประสงค์ที่มากระจ่างแล้ว เมิ่งจี้จิ่วก็พยายามระงับความประหลาดใจระคนยินดี สั่งการให้คนไปตามตัวจังซวี่มา
อยากไล่คุณชายเสเพลออกนานแล้ว ฮ่องเต้ทรงพระปรีชายิ่งแล้ว