สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 342 กรณีพิเศษ
ตอนที่ 342 กรณีพิเศษ
……….
นี่คือครั้งแรกที่ฮ่องเต้ให้ขุนนางมากมายชมการลงทัณฑ์
บรรดาขุนนางรู้สึกถึงความหวาดกลัวขึ้นมาทันที รู้สึกว่าไม่ควรก้าวล่วงพระราชอำนาจ ยังรู้สึกถึงการถูกลบหลู่เกียรติ ในยามนี้ได้เห็นพวกขุนนางที่ปรึกษาหลิวทั้งสามคนถูกถอดกางเกงโบยจนเลือดผสมเนื้อหนังปริแตกปะปนไปหมดอย่างไร้ศักดิ์ศรีด้วยตาตนเอง ก็แทบทนรับไม่ไหว
สายลมฤดูใบไม้ร่วงหวีดหวิว พัดกระทบผู้คนเย็นเยียบ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรบรรดาขุนนางทุกคนด้วยสายพระเนตรเยียบเย็นยิ่งกว่า
การปกครองไม่อาจขาดขุนนางบุ๋นก็จริง แต่ทว่าทุกสามปีจะจัดการสอบฤดูใบไม้ผลิคัดเลือกขุนนางบุ๋นโดดเด่นรอบหนึ่ง คิดว่าราชสำนักไม่มีคนเหล่านี้ก็จะหยุดชะงักหรือ
น่าขัน เขายังไม่เคยเห็นว่าตำแหน่งใดเลื่อนขึ้น ถูกปลด ลากลับบ้านเกิด หัวหลุดจากบ่า จากนั้นหาคนมาแทนไม่ได้
เวลาผ่านไปเชื่องช้าและรวดเร็ว เสียงร้องเจ็บปวดพวกขุนนางที่ปรึกษาหลิวสามคนค่อยๆ แผ่วลง แต่เสียงโบยกลับไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
ไม้โบยไม่เพียงแต่ฟาดลงบนบั้นท้ายพวกขุนนางที่ปรึกษาหลิวสามคน แต่ยังฟาดลงบนหัวใจบรรดาขุนนาง
ในที่สุดการโบยห้าสิบไม้ก็จบลง ทั้งสามคนเริ่มหายใจรวยรินแล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยังรู้สึกว่าไม่พอ รับสั่งเยียบเย็น “นำเจ้าสามคนนี้ไปขังคุก”
บรรดาขุนนางได้ฟังต่างก็นิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวออกมาขอร้องแทน
ทั้งสามคนเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต ไม่นานก็ถูกลากออกไป ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สะบัดพระฉลองกลับตำหนักบรรทม
ผู้ชมการลงทัณฑ์ยังมีขุนนางอีกสี่คนที่ก้าวออกมาสนับสนุนก่อนหน้านี้ ได้เห็นการโบยนี้แล้ว ความรู้สึกเหมือนโดนรังแกของทั้งสี่ก็กลับกลายเป็นรู้สึกหวาดกลัวหมดสิ้น
เกือบไปแล้ว หากตอนนั้นพวกเขาพูดมากอีกคำ ก็จะมีจุดจบแบบพวกขุนนางที่ปรึกษาหลิวทั้งสามคน
บรรดาขุนนางเดินออกไปตามทางด้วยบรรยากาศกดดันอย่างที่สุด มีคนอยากวิพากษ์วิจารณ์กับสหายข้างกาย แต่พอคิดจะอ้าปากก็กลับอ้าไม่ออก
จนกระทั่งออกนอกวังหลวงมาไกลแล้วจึงได้พากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น
“คิดไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทจะกริ้วถึงเพียงนี้”
ในใจขุนนางส่วนใหญ่ ความจริงก็เห็นด้วยกับคำพูดขุนนางที่ปรึกษาหลิว
ก็มิใช่ช่วงสงครามกลียุคที่ไม่อาจดำรงธรรมเนียม ตอนนั้นมีขุนนางหญิงก็แล้วไป แต่ตอนนี้จะให้สตรีมาร่วมวงขุนนางได้อย่างไร
แต่ฮ่องเต้ลงมือโบยจริงนะ ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อยด้วย
แม้สวมชุดขุนนางเดินตามท้องถนนแลดูทรงเกียรติ แต่ขุนนางที่พูดกันอยู่ต่างรู้สึกบั้นท้ายหนาวเหน็บ พากันรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิต
“ความจริง…” ขุนนางผู้หนึ่งลังเลเล็กน้อย
“ความจริงอันใด”
“ฝ่าบาทเองก็มิได้สนับสนุนให้หญิงสาวเข้ารับราชการไม่ใช่หรือ แต่นั่นไม่ใช่เพราะเป็นซินไต้จ้าวหรือ”
ซินไต้จ้าวเป็นบุตรีฮ่องเต้ มีบิดาคนไหนได้ยินคนกล่าวว่าร่วมงานกับบุตรีตนเป็นการลบหลู่เกียรติตนแล้วจะยังดีอกดีใจอยู่ได้ “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง”
“กล่าวเช่นนี้ ก็เป็นเพียงกรณีพิเศษ?” แววตาขุนนางที่ได้ยินคำพูดนี้ก็พลันสว่างวาบ
หากเป็นเพียงกรณีพิเศษ เขาก็ยอมรับได้!
ขุนนางอื่นๆ ก็รู้สึกเช่นกัน “แค็ก ๆ เรื่องใดๆ ก็ล้วนมีกรณีพิเศษ”
ฮ่องเต้ยังคงให้ความสำคัญต่อพวกเขา!
คิดเข้าข้างตนเองก็ดี ยอมรับจากใจส่วนลึกก็ช่าง บรรดาขุนนางนับว่าหาเหตุผลที่ไม่คัดค้านได้แล้ว
ไม่เช่นนั้นจะให้ทำอย่างไรเล่า สูญสิ้นตำแหน่ง โดนโบยบั้นท้ายต่อหน้าทุกคน โบยเสร็จยังถูกส่งไปจำคุก?
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อยู่ตำหนักบรรทม รับฟังผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเฝิงเหนียนทูลรายงานถึงปฏิกิริยาบรรดาขุนนางส่วนหนึ่ง ก็สบถสุรเสียงเยียบเย็น
ดังคาด ลงมือโบยไปยกหนึ่งก็จะสงบเสงี่ยมขึ้น
ส่วนพวกขุนนางที่ปรึกษาหลิวทั้งสามคนที่ถูกจำคุกจะเป็นหรือตาย ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็คร้านจะถามถึง
คิดว่าเขาเป็นพระโพธิสัตว์หรือ ในเมื่อคิดเชือดไก่ให้ลิงดู เขาก็จะไม่ใจอ่อน
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งคนไปเชิญซินไต้จ้าวเข้าวัง”
ซุนเหยียนเหลือบมองเล็กน้อย
ฮ่องเต้พระทัยแข็งจริง โบยขุนนางคัดค้านเสร็จ ก็รีบเรียกตัวซินไต้จ้าวเข้าวัง ไม่คิดถึงจิตใจบรรดาขุนนางแม้แต่น้อย
ไม่ ฮ่องเต้กำลังสุมน้ำค้างแข็งลงไปในจิตใจที่เต็มไปด้วยกองหิมะเหน็บหนาวของบรรดาขุนนาง กระหน่ำซ้ำเติมอีกที
แต่ในฐานะขันที ซุนเหยียนย่อมมีจุดยืนต่างจากบรรดาขุนนาง เขายินดีที่เห็นคนเหล่านี้ประสบเคราะห์ รีบไปจัดการอย่างดีใจ
ซินโย่วได้รับราชโองการเรียกตัวเข้าเฝ้าขณะกำลังอ่านหนังสืออยู่
พอนางออกไป ก็มีคนรีบผลุบเข้ามาในโถงตะวันตก “ทุกท่านได้ยินมาแล้วหรือยัง ประชุมตอนเช้ามีใต้เท้าสามท่านโดนโบย ใต้เท้าสี่ท่านถูกปลด…”
คำพูดนี้มาจากบรรดาขุนนางที่ได้ไปชมการลงทัณฑ์และกลับถึงที่ทำการของแต่ละคน ข่าวแพร่ออกไปรวดเร็ว
“ถุย ถุย เมื่อวานทุกคนยังตกใจที่คุณหนูซินไปสำนักฮั่นหลินย่วน วันนี้ก็เกิดเรื่องใต้เท้าหลายคนโดนโบยและบรรดาขุนนางที่ต้องไปชมการลงทัณฑ์…”
คนที่อยากรู้เรื่องคุณหนูซินก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ซินโย่วออกจากสำนักฮั่นหลินย่วนก้าวเข้าไปในพระราชวังชั้นใน ขณะเดินผ่านตำหนักเฉียนชิงกง ทำความเข้าใจกับเรื่องราวในการประชุมตอนเช้าได้ไม่น้อย
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทำให้ซินโย่วลุกขึ้น สีพระพักตร์มิได้เยียบเย็นเย็นชาเหมือนก่อนนี้แม้แต่น้อย “อาโย่วเหตุใดคิดกลับไปสำนักฮั่นหลินย่วนอีก”
“หม่อมฉันไม่ใช่ซูไต้จ้าวหรือเพคะ พอดีกำลังคิดเขียนบทความ หม่อมฉันชอบทำงานในสำนักฮั่นหลิน ย่วนเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นึกสนพระทัยขึ้นมา “อ้อ อาโย่วอยากเขียนอันใดหรือ”
หรือจะเป็นนิยายเช่นพวก ‘วาดหนัง’ ‘บันทึกตะวันตก’?
“ยังคิดอยู่เพคะ”
“อย่างนี้หรือ เจ้าค่อยๆ คิด เราให้หัวหน้าเซี่ยจัดห้องส่วนตัวให้เจ้า จะได้ไม่โดนรบกวน” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสไปตามสถานการณ์
เดิมเขาเอ่ยกับหัวหน้าเซี่ยไปแล้ว ในเมื่ออาโย่วชอบดำรงตำแหน่งไต้จ้าวต่อไปก็ไม่เป็นไร แต่ทว่าอยู่ร่วมโถงเดียวกับผู้ชายพวกนั้นทุกวัน ไม่ค่อยเหมาะจริง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสจบก็เตรียมคำพูดยามซินโย่วคัดค้าน
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องเพคะ เช่นนั้นกระหม่อมกลับไปจะไปพบหัวหน้าเซี่ย มีสถานที่เหมาะสมก็จะรีบย้ายไปเพคะ”
ถึงกับไม่คัดค้าน
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พลันปรับตัวไม่ทัน เห็นสีหน้าซินโย่วมิได้มีความไม่พอใจ รอยแย้มสรวลก็ยิ่งกว้าง “เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนรู้ธรรมเนียม เจ้าทำงานในสำนักฮั่นหลินย่วนให้สบายใจ หากมีคนพูดจาเหลวไหล เราจะออกหน้าให้เจ้าเอง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ให้ซินโย่วอยู่คุยอีกครู่หนึ่งจึงปล่อยนางกลับไป
ซินโย่วกลับถึงสำนักฮั่นหลินย่วน ก็ไปหาหัวหน้าเซี่ย “ระหว่างโถงไต้จ้าวตะวันตกกับตะวันออกมีห้องว่างห้องหนึ่ง ข้าน้อยอยากย้ายไปที่นั่น”
หัวหน้าเซี่ยย่อมไม่คัดค้าน จัดคนตามซินโย่วไปเก็บข้าวของ
ณ โถงไต้จ้าวตะวันตก
พวกฮว่าไต้จ้าวรีบเข้ามาช่วยเหลือ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว พวกโถงตะวันออกก็ชะโงกหน้ากันออกมาดู ลังเลเป็นนานก็มิได้เข้ามาร่วมวง
ในความคิดพวกเขา นี่คือการแสดงความไม่พอใจกับการร่วมวงขุนนางกับสตรี พวกในโถงตะวันตกช่างไร้ศักดิ์ศรีจริง
จนกระทั่งเก็บของเสร็จ ซินโย่วก็เรียกพวกฮว่าไต้จ้าวทั้งสี่มาเอ่ยว่า “วันนี้เลิกงาน หากไม่รีบกลับบ้าน ข้าเลี้ยงสุราทุกท่านที่หอเฟิงเว่ย”
คนในโถงตะวันออกต่างหูผึ่งทันที
เฟิง…เฟิงอะไรนะ
ฉือไต้จ้าวรับปากอย่างไม่ลังเล “วันนี้ไม่มีงานอันใด”
ความจริงไม่ว่าวันใดก็ไม่มีงานอันใด
ร่วมวงขุนนางกับสตรีไม่เหมาะหรือ นี่คือหอเฟิงเว่ยเชียวนะ!
ตอนเลิกงาน หลายคนในโถงตะวันออกแอบเดินออกมามองจากทางด้านหลัง เห็นซินโย่วพาไต้จ้าวหลายคนในโถงตะวันตกเข้าไปในร้านอาหารใหญ่อันดับต้นๆ ในเมืองหลวง
“ไปแล้วจริงหรือ” ไต้จ้าวสูงวัยในโถงตะวันออกท่านหนึ่งน้ำตารื้น
เขาอายุปูนนี้แล้วยังไม่เคยไปหอเฟิงเว่ยเลยนะ
ในใจผู้อื่นยากยอมรับได้เช่นกัน
ไม่เอ่ยถึงเรื่องซินไต้จ้าวจะอย่างไร เพียงแค่พวกชาวป่าชาวดอยในโถงตะวันตกนั่น อยู่ๆ คล้ายดั่งมีชีวิตชีวากันขึ้นมาแล้ว?