สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 336 ในศาลา
ตอนที่ 336 ในศาลา
……….
เหมือนจริง
นี่คือคนที่ได้พบซินโย่วเป็นครั้งแรกต่างคิดเช่นเดียวกันอย่างมิได้นัดหมาย
“องค์หญิงเชิญทางนี้เพคะ”
ศาลายาวแบ่งออกเป็นโต๊ะเล็กเรียงรายสองด้าน ตรงกลางด้านปลายสุดตั้งติดกันสองตัว ตัวหนึ่งคือฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ อีกตัวหนึ่งคือไทเฮา ยามนี้ทั้งสองโต๊ะว่างเปล่า ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กับไทเฮายังไม่เสด็จ
ขันทีเดินนำทางองค์หญิงใหญ่เจาหยางตรงเข้ามาถึงโต๊ะตัวแรกรองจากไทเฮาแล้วก็หยุด “องค์หญิงเชิญพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางค่อยๆ ลงนั่ง ข่งฝูอายุน้อยไม่จำเป็นต้องแยกไปนั่งที่อื่น นางนั่งติดกับมารดา
ซิ่วอ๋องอยู่ในศาลาแล้ว นั่งโต๊ะตัวที่สองฝั่งซ้าย โต๊ะตัวแรกก็คือโต๊ะของพระสนมเสียนเฟยเสด็จแม่องค์ชายสามที่ดูแลวังหลังอยู่ตอนนี้ ตรงข้ามกับที่นั่งขององค์หญิงใหญ่เจาหยางพอดี
องค์ชายสามอายุสิบเอ็ดปี นั่งอยู่โต๊ะอีกตัวเพียงผู้เดียว ตำแหน่งข่งรุ่ยอยู่ระหว่างซิ่วอ๋องกับองค์ชายสาม เห็นได้ว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ให้ความสำคัญกับหลานชายมาก ถึงกับให้นั่งรวมกับองค์ชาย ส่วนองค์หญิงให้นั่งกับเสด็จแม่ของแต่ละพระองค์ แม้แต่องค์หญิงเสวียนก็เช่นกัน พระสนมที่มิได้ให้กำเนิดองค์ชายองค์หญิงก็จะนั่งห่างออกไป
“คุณหนูซินเชิญนั่ง”
ขันทีเดินนำซินโย่วไปยังโต๊ะที่ติดกับองค์หญิงใหญ่เจาหยาง สีหน้าทุกคนพลันแปรเปลี่ยน
จากนั้นก็มีธรรมเนียมที่มิได้ระบุไว้ สถานะในงานเลี้ยงยิ่งสูงจะยิ่งมาช้า ยามนี้พระสนมเสียนเฟยมาแล้ว ผู้อื่นในวังย่อมมากันแล้ว สำหรับโต๊ะตัวที่สองต่อจากไทเฮา แม้ว่าเป็นที่คาดเดา แต่พอได้เห็นซินโย่วเข้านั่ง ก็ยังรู้สึกว่าทำใจยอมรับได้ยากยิ่ง
ควรรู้ว่าลำดับการนั่งในงานเลี้ยงแสดงถึงสถานะ คุณหนูซินยังไม่ได้รับการบันทึกชื่อในสมุดรายนามราชวงศ์ ถึงกับนั่งติดกับองค์ชายใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว
หันไปมององค์หญิงเสวียนที่นั่งกับเสด็จแม่ของนาง คนไม่น้อยก็ยิ่งต้องทอดถอนใจ ได้ยินว่าคุณหนูซินอายุเท่ากับองค์หญิงเสวียน สถานะในพระทัยฮ่องเต้กลับแตกต่างราวกับฟ้ากับดิน
ไม่นานองค์หญิงเสวียนก็ต้องทนรับสายตาหลากหลายมองมา
เหมือนเสด็จพ่อจริง ปีที่แล้วได้พบ ‘คุณหนูโค่ว’ ที่จวนองค์หญิงใหญ่ นางคิดเพียงแต่ว่าเหมือนเสด็จอา
ได้ยินว่าคุณหนูซินโตกว่านางเล็กน้อย องค์หญิงพระองค์โตควรเป็นคุณหนูซิน…
คิดถึงตรงนี้ องค์หญิงเสวียนก็พลันรู้สึกอึดอัด มือที่กุมแก้วชาเริ่มกำแน่น
มือพระสนมลี่ผินที่วางบนโต๊ะแตะมือบุตรสาวเบาๆ
องค์หญิงเสวียนถอนสายตากลับ หลุบตาลงเงียบๆ พยายามทำตัวไร้ตัวตนอย่างที่สุด
ตำหนักเฉียนชิงกง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถามซุนเหยียน “องค์หญิงใหญ่มาแล้วหรือ”
ซุนเหยียนกระจ่างใจดีว่า ฮ่องเต้ทรงถามถึงองค์หญิงใหญ่ แต่ความจริงถามถึงซินโย่ว รีบทูลว่า “องค์หญิงใหญ่เพิ่งเสด็จมาถึงพ่ะย่ะค่ะ”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สบายพระทัย “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
ในยามนี้เอง ขันทีก็เข้ามาทูลรายงาน “ฝ่าบาท มีขันทีมาจากตำหนักฉือหนิงกงพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามาได้”
ไม่นานขันทีข้างพระวรกายไทเฮาผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา ถวายบังคมแล้วก็ทูลว่า “ไทเฮาประชวรเล็กน้อย รับสั่งให้บ่าวมากราบทูลฝ่าบาท งานเลี้ยงในวังวันนี้ก็คงไม่เสด็จแล้วพ่.ะย่ะค่ะ”
พอฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยิน แม้คาดเดาว่าที่ไทเฮาไม่สบายเป็นเพียงคำกล่าวอ้าง แต่กลับจำต้องเสด็จตำหนักฉือหนิงกง
“เสด็จแม่ไม่สบายตรงไหน ตามหมอหลวงมาตรวจแล้วหรือยัง”
ไทเฮาเอนพระวรกายอยู่บนเก้าอี้นอน ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบ “ปวดหัวนิดหน่อย โรคเก่ากำเริบ ไม่ต้องตามหมอหลวงหรอก”
“ให้หมอหลวงมาตรวจสักหน่อยจะได้วางใจ”
“ตรวจอีกก็เหมือนเดิม ก็เอาแต่เตือนให้ทำใจให้สบาย”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แย้มสรวล “เสด็จแม่ก็ต้องกังวลพระทัยให้น้อยลง”
ไทเฮาเหลือบมองฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทีหนึ่ง “ข้าเองก็อยากกังวลให้น้อยลง แต่หนึ่งปีมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นไม่หยุด…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับฟังไทเฮาตรัสอยู่นาน ในที่สุดพอไทเฮาตรัสว่า “งานเลี้ยงจะเริ่มแล้วกระมัง ฮ่องเต้อย่าได้เอาแต่อยู่กับข้าที่นี่ รีบไปเถอะ”
“เช่นนั้นเสด็จแม่พักผ่อนให้ดี รอให้งานเลี้ยงจบ จะมาเยี่ยมเสด็จแม่อีกครั้ง”
ความเอาใจใส่ของบุตรชายทำให้ไทเฮาสบายพระทัยไม่น้อย “ไม่ต้องแล้ว ฮ่องเต้ทรงงานมาทั้งวัน งานเลี้ยงเลิกแล้วก็กลับตำหนักบรรทมพักผ่อนให้ดี”
ทางศาลายาว ไม่เห็นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กับไทเฮาเสด็จเสียที บรรยากาศก็เริ่มอึดอัดเล็กน้อย
องค์หญิงใหญ่เจาหยางกับบรรดาพระสนมวังหลังไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่ ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้แต่ถามคำตอบคำกับพระสนมเสียนเฟย
เดิมบรรดาพระสนมที่นั่งสงบเสงี่ยมดำรงธรรมเนียมก็เริ่มส่งเสียงคุยกันขึ้นมาเบาๆ สายตาแอบเหลือบมองไปทางซินโย่วเป็นระยะ
“อาโย่ว”
ซินโย่วเหลือบสายตาขึ้นสบกับซิ่วอ๋อง “ซิ่วอ๋องมีอันใดหรือเพคะ”
เสียงคุยกันเบาๆ พลันหยุดชะงักลง ความสนใจของทุกคนต่างมองมาทางพวกเขา
ซิ่วอ๋องคล้ายว่าไม่รู้สึกตัว มือเรียวยาวดังหยกยกจอกน้ำชากระเบื้องสีขาวมันวาว พูดเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้เจ้ากลับไปอยู่จวนตระกูลซินแล้วหรือ”
“เพคะ”
“เช่นนั้นจบงานเลี้ยง ข้าไปส่งเจ้า จะได้ทำความรู้จักสถานที่ไว้”
ซินโย่วจ้องมองซิ่วอ๋องครู่หนึ่ง เห็นรอยยิ้มบางจากแววตาอีกฝ่าย ก็มิได้แสดงความห่วงใยมากเกินไป และก็มิได้เยียบเย็นมากเกินไป แต่ทำให้รู้สึกสบายดังสายลมวสันต์
ดวงตาหลายคู่จ้องมองมา ซินโย่วปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “พองานเลี้ยงเลิก หม่อมฉันก็จะกลับไปร้านหนังสือชิงซง วันหน้าค่อยเชิญซิ่วอ๋องมาสนทนากัน”
ซิ่วอ๋องไม่ได้มีความรู้สึกเสียหน้ายามถูกปฏิเสธแม้แต่น้อย “ได้ เช่นนั้นข้ารอเทียบเชิญจากน้องหญิงซิน”
ซิ่วอ๋องเรียกขานเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน ทำให้หลายคนตกตะลึงไม่น้อย
หากยังคงเป็นคุณชายซิน ซิ่วอ๋องแสดงท่าทีสนิทสนมอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ในสายตาผู้อื่นก็คือรอยยิ้มซ่อนมีด ตอนนี้คนคิดเช่นนี้น้อยลงแล้ว สาเหตุก็ง่ายดายอย่างมาก คุณชายซินกลายเป็นคุณหนูซิน ไม่ได้มีสถานะคุกคามใดๆ ต่อซิ่วอ๋องแม้แต่น้อยอีกแล้ว
ดูท่าข่าวลือเป็นจริง หลังจากลงใต้ องค์ชายใหญ่ให้การยอมรับน้องสาวผู้นี้มาก
แต่ดูท่าแล้ว คุณหนูซินมีท่าทีธรรมดาต่อองค์ชายใหญ่
ขณะที่ในใจทุกคนคิดกันไปต่างๆ นานา น้ำเสียงไร้เดียงสาหนึ่งก็ดังขึ้น “ร้านหนังสือที่วางขาย ‘บันทึกตะวันตก’ ร้านนั้นหรือ”
ซินโย่วได้ยินก็หันไปมอง
ผู้ที่เอ่ยก็คือองค์ชายสาม
องค์ชายสามยังคงมีท่าทางแบบเด็กๆ ตัวเล็กๆ ครองโต๊ะตัวหนึ่งผู้เดียว ริมฝีปากแดง ฟันขาว ใบหน้ามีความคล้ายฮ่องเต้ซิงหยวนตี้หลายส่วน
สีหน้าซินโย่วเป็นปกติ แต่ทันใดนั้นม่านตาก็หดเกร็ง
ในภาพที่เห็นองค์ชายสามหยิบของชิ้นหนึ่งจากจานผลไม้เข้าปาก ไม่นานสีหน้าก็เจ็บปวดขึ้นมา ลุกขึ้นยืนปัดจานชามบนโต๊ะล้มระเนระนาด จากนั้นก็มีคนมากมายเข้ามารุมล้อม
ภาพหายไป สถานการณ์องค์ชายสามไม่กระจ่างชัด
แพขนตาซินโย่วสั่นไหว ยิ้มให้องค์ชายสามที่มีสีหน้าอยากรู้ เอ่ยว่า “เพคะ ร้านหนังสือชิงซงขาย ‘บันทึกตะวันตก’ ชอบ ‘บันทึกตะวันตก’ หรือเพคะ”
“ชอบ ข้าชอบซุนหงอคงที่สุด…”
พระสนมเสียนเฟยเอ่ยตัดบทบุตรชาย “อิ้วเอ๋อร์”
องค์ชายสามได้แต่หุบปาก
“อิ้วเอ๋อร์ยังเป็นเด็กน้อย เสียมารยาทต่อคุณหนูซินแล้ว”
“ไม่หรอกเพคะ มีคนชอบนิยายท่านซงหลิง หม่อมฉันดีใจมาก”
องค์ชายสามได้ยินก็มองซินโย่วด้วยแววตาเป็นมิตรมากยิ่งขึ้น
ซินโย่วคิดอย่างรวดเร็ว แท้จริงเกิดอันใดขึ้นกับองค์ชายสาม มีคนวางยาในอาหาร หรือว่ากินอาหารติดคอ
ในยามนี้เอง เสียงรายงานก็ดังก้องขึ้น “ฮ่องเต้เสด็จ…”
ทุกคนในศาลารีบลุกขึ้นคำนับ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก้าวเข้าไปประทับ กวาดสายพระเนตรมองไปรอบๆ ก่อนหยุดลงที่ซินโย่ว “ลุกขึ้นเถิด ทุกคนนั่งได้”
……….