สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 334 แพะ
ตอนที่ 334 แพะ
……….
ท่ามกลางสายตาหลายคู่จ้องมอง ซินโย่วเอ่ยเสียงดังก้อง “ทุกคนทำได้ดีมาก เหนือความคาดหมายของข้า!”
กลุ่มคนที่เดิมสงบอยู่ก็พากันส่งเสียงดังกระหึ่มขึ้นมา
“ได้ยินไหม คุณหนูบอกว่าพวกเราทำได้ดีเหนือความคาดหมายของนาง!”
“พรุ่งนี้จะไม่ร้องโอดครวญว่าลำบากอีกแล้ว!”
…
“เงียบหน่อย!” หัวหน้าหกคำรามดัง
ซินโย่วยิ้มโบกมือ “คืนนี้ข้าเลี้ยงเนื้อตุ๋นทุกคนไม่จำกัด กินให้เต็มที่”
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้อง
ในขบวนมีเสียงไร้เดียงสาสักหน่อยดังขึ้น “คุณหนู รอท่านมาครั้งหน้า พวกเราจะทำได้ดียิ่งกว่านี้!”
“ถูกต้อง!” หลายคนส่งเสียงรับตาม
หัวหน้าหกมองไปทางนั้นทีหนึ่ง ยิ้มอธิบายว่า “เด็กนั่นชื่อเจ้าถั่วลิสง ท่านอย่าเห็นว่าเขาตัวใหญ่ ความจริงยังไม่ถึงสิบสี่”
“ให้ทุกคนไปทำงานของตนเองกันได้แล้ว”
หัวหน้าหกตะโกนดังขึ้น คนที่มารวมตัวกันที่ว่างก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจากไปยังอดหันมามองไม่ได้ อยากมองดูซินโย่วอีกสักทีสองที
“คุณหนู พวกเราเข้าไปคุยด้านในกันเถอะ…” หัวหน้าหกชะงัก สายตาเหลือบไปเห็นเชียนเฟิงดึงตัวทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินมาหนึ่งคน หันไปเห็นผิงอันก็ดึงตัวทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินมาอีกหนึ่งคน
นี่เกิดอันใดขึ้น?
ในที่สุดซินโย่วก็มีเวลาว่างมองไปทางเชลยทั้งสองคน
พอเห็นก็มีภาพหนึ่งปรากฏขึ้น
ในภาพที่เห็นสองคนตรงหน้ากำลังโดนลงโทษ และที่ดึงดูดสายตาซินโย่วที่สุดกลับไม่ใช่พวกเขาทั้งสองคน แต่เป็นสีหน้าคนที่นั่งมองดูพวกเขาโดนลงโทษด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
นี่คือใบหน้าที่คุ้นเคย…ผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเฝิงเหนียน
ภาพจางลงรวดเร็ว ซินโย่วมองดูชายแต่งกายแบบชาวบ้านธรรมดาสองคน แน่ใจว่าพวกเขาคือทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน
“นำตัวไปคุยในห้อง”
ซินโย่วเอ่ยสั่งการ หัวหน้าหกนำทางทุกคนเข้าไปในโถงประชุม
ซินโย่วนั่งลงแล้วก็มองทั้งสองคนที่ถูกผลักลงกับพื้น “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดสะกดรอยตามข้า”
องครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายสบตากัน แววตาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
ถึงกับถูกพบนานแล้วหรือนี่
“คุณหนูถามพวกเจ้าอยู่ ตอบสิ!” เจ้าแปดเตะไปทีหนึ่ง
เรื่องพวกนี้เขาถนัดกว่าพวกทื่อเป็นท่อนไม้เช่นเชียนเฟิงกับผิงอัน
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินโดนเตะไปสองที แววตาก็กรุ่นไปด้วยโทสะ ก้มหน้าร้องขอชีวิต “พวกเราเห็นคนทางนี้ส่งเสียงดังกึกก้องจึงได้นึกอยากรู้…”
“เพียงแค่นึกอยากรู้?” ซินโย่วยิ้ม “แล้วพวกเจ้าเป็นใคร”
“นายพรานผ่านทางมา”
“นายพรานผ่านทางมา? บ้านอยู่ที่ใด”
ทั้งสองคนชะงัก
พวกเขานับว่าเป็นมือฉมังด้านสะกดรอยตาม แต่ไรมาไม่เคยตกอยู่ในสภาพโกหกไม่ออกเช่นนี้มาก่อน ถามละเอียดจริง!
“ไม่พูดก็ไม่เป็นไร ข้ามีสหายเป็นเจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ไว้เข้าเมืองแล้วส่งพวกเจ้าไปสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ ให้เขาช่วยถามดู”
พอได้ยินว่าจะถูกส่งไปสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ สององครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินก็ตาเหลือก
แม้พวกเขาไม่ใช่คนสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ แต่ก็รู้ความน่ากลัวของสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ หากเข้าไปจริงก็คงไม่อาจทานทนการสอบสวนได้ เรื่องราวก็จะใหญ่โตบานปลายไปด้วย
ทหารองครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งในนั้นพยายามฝืนยิ้ม “เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว พวกเราเป็นคนของกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน”
“อ๋อ?” ซินโย่วเลิกคิ้วแปลกใจ
พวกหัวหน้าหกเองก็มีสีหน้าตกใจ แต่พวกเขาตกใจจริงๆ
“พวกเราสองคนรับคำสั่งปฏิบัติการลับ ผ่านมาทางนี้เห็นการเคลื่อนไหว จึงได้เข้ามาสืบดูด้วยความเคยชิน…”
เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับว่ารับคำสั่งเฝิงเหนียนมาสะกดรอยนางอย่างเด็ดขาด เช่นนั้นที่รอพวกเขาอยู่เบื้องหน้าก็คือเส้นทางแห่งความตายเท่านั้น
ซินโย่วมองทั้งสองคนด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา
พอดีผ่านทางมาจึงมาสืบดูเป็นวาจาภูตผีแท้จริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าสองคนนี้มาสืบเป็นความคิดของเฝิงเหนียนเองหรือว่าเพราะคนผู้นั้นสั่งการ
แต่ไม่ว่าแบบใด ในเมื่อพบแล้ว ไม่ใช้ประโยชน์ก็ย่อมน่าเสียดาย
“พี่หก เรื่องที่รับปากรับประทานอาหารกับทุกคนค่ำนี้ ไปจัดการหน่อย ข้ามีธุระทางนี้ ขอกลับเข้าเมืองก่อน”
หัวหน้าหกรีบเอ่ยว่า “คุณหนูไปทำงานของท่านเถอะ ทางโรงนาข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย”
ตอนกลับไปมีรถม้าเพิ่มมาอีกคัน ให้เชียนเฟิงรับหน้าที่คุมตัวคนจากกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายไป
พอเข้าเมือง ซินโย่วก็ตรงเข้าวังหลวง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กำลังคิดตามเฝิงเหนียนมาซักถามการเคลื่อนไหวของบุตรีสักหน่อย ก็ได้ยินขันทีรายงานว่าคุณหนูซินขอเข้าเฝ้า
“รีบให้เข้ามา”
ไม่นานซินโย่วก็ตามขันทีเข้ามา
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นได้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แย้มสรวลตรัสเรียกซินโย่วให้ลุกขึ้น แต่พอเห็นนางขมวดคิ้ว ก็รีบหุบรอยแย้มสรวล “อาโย่วไปพบเจอเรื่องใดมาหรือ”
“พบเจอเรื่องหนึ่งจริงๆ ไม่รู้ว่าจัดการอย่างไรจึงจะเหมาะสมเพคะ”
“เรื่องใดหรือ”
“เช้านี้หม่อมฉันไปเซ่นไหว้คุณหนูโค่วกับฟางหมัวมัว…อ้อ ฟางหมัวมัวก็คือแม่นมของคุณหนูโค่ว พอเสร็จงานก็คิดถึงโรงนาที่ฝ่าบาทพระราชทานให้หม่อมฉันว่าอยู่ไม่ไกลนัก จึงอยากไปดูสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจับคนสะกดรอยตามหม่อมฉันได้สองคน”
“มีเรื่องเช่นนี้หรือ” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว
คงมิใช่คนที่เฝิงเหนียนจัดไปสืบเรื่องอาโย่วกระมัง
ซินโย่วเหลือบสายตาขึ้นเล็กน้อย แววตาไม่เข้าใจและอัดอั้นตันใจ “ยิ่งคิดไม่ถึงว่าพวกเขาถึงกับเป็นคนของกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน บอกว่าผ่านทางมา นึกอยากรู้จึงได้มาดู”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กระตุกมุมพระโอษฐ์
อาโย่วเชื่อคำอ้างนี้สิแปลก
ดังคาดได้ยินซินโย่วเอ่ยต่อว่า “หม่อมฉันไม่ค่อยเชื่อ แต่ได้ยินว่ากองกำลังองครักษ์จิ่นหลินมักมีภารกิจลับ หม่อมฉันจึงไม่คิดบังคับให้พวกเขาพูดออกมา คิดไปคิดมาจึงได้แต่มาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ”
“เจ้าพวกบัดซบ!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สีพระพักตร์ดำคล้ำ รับสั่งขันทีว่า “เรียกตัวผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเฝิงเหนียนเข้าวัง”
รออยู่ไม่นาน เฝิงเหนียนก็รีบเร่งมาถึง พอเห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กับซินโย่วอยู่ด้วย ในใจก็เริ่มเต้นโครมคราม
“วันนี้อาโย่วไปโรงนาชานเมือง พบว่ามีคนสองคนสะกดรอยนาง ยอมรับว่าเป็นของกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน เฝิงเหนียน เจ้ารู้ไหมว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ม่านตาเฝิงเหนียนกระตุกเกร็ง
คนของเขาถูกจับได้หรือ เหตุใดจึงโง่เง่าเพียงนี้
แล้วฮ่องเต้ยังผลักทุกอย่างมาให้เขาคนเดียว จะให้เขาแบกรับไว้คนเดียวหรือ
ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในชั่วแวบหนึ่ง เฝิงเหนียนรีบก้มหน้ารับผิด “กระหม่อมตัดสินใจโดยพลการ จัดคนไปคอยจับตาดูพวกโจรภูเขา ทำให้คุณหนูซินเข้าใจผิด ขอฝ่าบาทลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตบโต๊ะดัง “เฝิงเหนียน เจ้าบังอาจมาก!”
“กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฝิงเหนียนรับผิดได้ว่องไวยิ่ง
ซินโย่วเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยว่า “ผู้บัญชาการเฝิงทำเช่นนี้ ข้าพอเข้าใจได้ เพียงแต่พวกเขาตอนนี้เป็นคนของข้า หวังว่าใต้เท้าเฝิงจะมีความไว้ใจมากขึ้นอีกสักหน่อย ไม่ใช่เอาแต่มองว่าพวกเขาเป็นโจรภูเขา”
เห็นเฝิงเหนียนรับผิดว่องไว ซินโย่วก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้เป็นรับสั่งของฮ่องเต้ หากนางยังคงเอาเรื่องต่อไป กลับจะทำให้เฝิงเหนียนที่ยอมแบกรับความผิดนี้ได้ประโยชน์ไป
นางเลือกที่จะปล่อยผ่านไป อย่างน้อยภาพการทำงานผิดพลาดก็จะสลักลึกในความทรงจำของฮ่องเต้ นับว่าได้ระบายอารมณ์ให้ใต้เท้าเฮ่อกับนางได้บ้าง
นางไม่มีวันลืมเหตุการณ์ตอนนั้นที่เหลิ่งสือจากสำนักหนานเจิ้นฝู่ซือลงทัณฑ์นาง เขาเป็นคนของเฝิงเหนียน
“ในเมื่อเป็นลูกน้องของใต้เท้าเฝิง เช่นนั้นข้าจะให้คนส่งพวกเขากลับกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน” ซินโย่วท่าทางใจกว้างไม่ถือสา “ฝ่าบาท เรื่องกระจ่างแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาเพคะ”
“ได้ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
ซินโย่วไม่ได้เอาเรื่องไม่ปล่อย ทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ผ่อนคลายความตึงเครียดลง พอนางออกไปแล้ว ก็ทอดพระเนตรไปทางเฝิงเหนียนด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียด
……….