สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 332 หนึ่งไม่มีสอง
ตอนที่ 332 หนึ่งไม่มีสอง
……….
ตอนเดินเข้าไป หัวหน้าหกดึงเจ้าแปดไว้
“เป็นอันใดไปหรือ พี่หก?”
“คุณชายซิน…เป็นคุณหนูจริงหรือ”
เจ้าแปดฝืนยิ้มเฝื่อน “จริง แต่ข้าก็เหมือนพี่หก อีกสักครู่จะได้พบคุณชายซินแต่งกายเป็นสตรีครั้งแรก”
หัวหน้าหกถอนหายใจหนักหน่วง “เรื่องราวกะทันหันจริง”
หัวหน้าค่ายเมฆาดำพวกเขา…อ้อ หัวหน้าโรงนาอูอวิ๋นกลายเป็นหญิงสาวแล้ว
ในใจรู้สึกสับสนอย่างมาก
“คุณหนูเชิญพวกเจ้าเข้าไปด้านใน” เสี่ยวเหลียนยืนอยู่หน้าประตู เผยรอยยิ้มหวานให้หัวหน้าหกกับเจ้าแปด
ภายใต้รอยยิ้มหวานนี้คือคำเตือนให้ระวัง
สาวใช้แทบจะอยากลงใต้ไปกับ ‘คุณชายซิน’ ผู้คุ้มกันสองคนที่องค์หญิงใหญ่เจาหยางมอบให้ซินโย่ว และโจรภูเขาสองคนที่ติดตามรับใช้ ล้วนไม่กล้ามองข้ามนาง
นางเป็นคนที่คุณหนูให้ความสำคัญที่สุด!
หัวหน้าหกกับเจ้าแปดถูกรอยยิ้มหวานกระแทกโดนใจพร้อมกัน ก้าวเข้าไปด้วยใจเลื่อนลอย จากนั้นก็เห็นสาวน้อยที่นั่งอยู่กลางห้อง จึงรีบพากันคุกเข่าลงอย่างว่องไว
“คารวะคุณหนู!” ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกันเสียงดังก้อง ไม่ว่าน้ำเสียงหรือท่าทางคุกเข่าล้วนแสดงให้เห็นถึงความเคารพอย่างสูงสุด
เสี่ยวเหลียนยืนอยู่ข้างๆ เบิกตาโตมองจ้อง
เจ้าสองคนนี้เป็นงานยิ่งนัก!
นี่เสี่ยวเหลียนเข้าใจผิดหรือ
พอหัวหน้าหกกับเจ้าแปดเห็นซินโย่ว ไม่ต้องรอให้คนเตือนก็ลงคุกเข่า ไม่ใช่เพราะฉลาด แต่เพราะตกใจ
คุณหนูท่านนี้เหมือนกับฮ่องเต้ที่ได้เห็นตอนวันที่พวกเขาเข้าเมืองหลวงมาวันนั้นมาก ผู้ใดเห็นแล้วจะไม่รีบคุกเข่ากัน!
“ลุกขึ้น ไม่ต้องมากพิธี” ซินโย่วยิ้มเอ่ย
หัวหน้าหกกับเจ้าแปดพากันลุกขึ้น เหลือบมองซินโย่วด้วยสีหน้าระมัดระวัง
“เป็นอันใดไปหรือ” ซินโย่วเลิกคิ้ว
หัวหน้าหกแอบหยิกขาตนเองระงับความตื่นเต้น ตอบว่า “ข้าน้อยก็แค่นึกอยากรู้ คุณหนูต่างจากยามปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย”
เสี่ยวเหลียนแสยะยิ้มกว้างกล่าวว่า “แน่นอนว่าเพราะคุณหนูเรามีฝีมือแปลงโฉมขั้นสุดยอด ไม่เช่นนั้นจะหวีผมสองสามทีก็กลายเป็นชายได้หรือ”
แม้ว่าครั้งแรกที่นางเห็นคุณหนูแปลงโฉมแล้วอ้าปากค้างเช่นกัน แต่สองคนนี้ไม่รู้เรื่องนี้
“ทางโรงนาเป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนปรับตัวได้ดีหรือไม่”
“ปรับตัวได้ดี พี่น้องทุกคนล้วนมีงานทำ มีอาหารกินอิ่มท้อง ฝึกซ้อมทุกวันไม่มีขี้เกียจ ชีวิตมั่นคงกว่าเมื่อก่อนมาก…” พอได้ฟังซินโย่วถามถึงเรื่องสำคัญ หัวหน้าหกก็ค่อยๆ ลืมความตื่นเต้น
ซินโย่วอมยิ้มได้ฟังจบ ก็ชมอย่างเต็มที่ “ก็เพราะพี่หกทำงานเป็นหลักได้ดี จึงทำให้คนมากมายเช่นนี้ดำรงชีวิตสงบสุขได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้…”
เสี่ยวเหลียนแอบขมวดคิ้ว
ดังคาดหัวหน้าหกที่ท่าทางรอบคอบ ก็คือคู่แข่งน่ากลัวของนาง!
ความตกใจของหัวหน้าหกตอนเข้าเมืองมาและรู้ว่าคุณชายกลายเป็นคุณหนูจางหายไปแล้ว เหลือเพียงแค่รอยยิ้มเซ่อซ่า
คุณหนูแล้วจะมีอันใด คุณหนูหน้าตาเหมือนฮ่องเต้ วันหน้าอย่างไรเขาย่อมต้องได้ดี
ให้หัวหน้าหกอยู่กินอาหารกลางวันแล้ว เขาจึงค่อยอำลาซินโย่วกลับโรงนา
“อยู่ข้างกายคุณหนูก็ต้องมีไหวพริบสักหน่อย อย่าได้ทำให้ค่ายเมฆาดำเราเสียหน้า อ้อ เสียหน้าโรงนาอูอวิ๋นเรา” พอออกจากจวนตระกูลซิน หัวหน้าหกก็กำชับเจ้าแปดที่ออกมาส่งเขา
เจ้าแปดตบหน้าอกเต็มแรง “พี่หกวางใจได้”
หัวหน้าหกมองดูเจ้าแปดยิ้มกว้างก็แอบนึกอิจฉา
เจ้าหน้าเหม็นนี่โชคดีจริง ได้อยู่รับใช้ข้างกายคุณหนูทุกวัน ไม่เหมือนเขาต้องดูแลชาวโรงนาสองร้อยกว่า จำต้องไปเฝ้าโรงนา แต่จะให้อยู่รับใช้ข้างกายคุณหนูก็มีสองเรื่องที่อันตรายเกินไป หนึ่ง ทำความผิดเล็กน้อยก็อาจมีโทษถึงชีวิต สอง ข้างกายคุณหนูแข่งขันสูงเกินไป
“ไปละ” หัวหน้าหกรับบังเหียนม้าที่เจ้าแปดส่งมาแล้วก็ขี่ม้าจากไป
หลังพักกลางวัน ซินโย่วก็พาเสี่ยวเหลียนขึ้นรถม้า เชียนเฟิง ผิงอันและเจ้าแปดเดินอยู่ข้างรถม้า ตรงไปยังร้านหนังสือชิงซง
ในรถม้า แววตาเสี่ยวเหลียนมีแต่ความอยากรู้ “ไม่รู้ว่าพวกผู้ดูแลร้านหูได้เห็นคุณหนูจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”
“น่าจะตกใจกันไปแล้ว” เอ่ยถึงพวกผู้ดูแลร้านหู น้ำเสียงซินโย่วผ่อนคลายอย่างมาก แต่พอคิดถึงว่าจะต้องพบกับฟางหมัวมัว ในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย
เดาว่าใกล้ถึงแล้ว เสี่ยวเหลียนเลิกมุมม่านขึ้นมองออกไป “คุณหนู มีคนเข้าออกร้านหนังสือกันไม่น้อย”
ดังนั้นรถม้าจึงไปจอดที่หน้าประตูเรือนตะวันออก
หลิวโจวเพิ่งส่งลูกค้าที่มาซื้อหนังสือกลับไปท่านหนึ่ง ก็หันมาเหลือบเห็นเสี่ยวเหลียนที่กำลังกวักมือเรียกเขาอยู่ที่ประตูหลังของโถงร้าน ก็ขยี้ตาให้แน่ใจว่าไม่ได้มองพลาด ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“เสี่ยวเหลียน มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
เสี่ยวเหลียนบุ้ยใบ้ไปด้านหลัง “คุณหนูมาแล้ว รอพวกเจ้าอยู่ที่โถงบุปผา”
“ข้าจะไปตามผู้ดูแลร้านเดี๋ยวนี้”
หลิวโจวรีบวิ่งกลับ “ผู้ดูแลร้าน คุณหนูมา”
ผู้ดูแลร้านหูผุดลุกขึ้นทันที ในยามนี้ในโถงร้านหนังสือไม่มีลูกค้าพอดี จึงสั่งความกับจูเสี่ยวเยวี่ย “พวกเจ้าเฝ้าร้านหนังสือไว้ก่อน”
จูเสี่ยวเยวี่ยเหลือบมองเสี่ยวเหลียน อดพยักหน้าอย่างตื่นเต้นไม่ได้ “ผู้ดูแลร้าน ท่านไปเถอะ ที่นี่มีข้ากับสือโถว…”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจวจูงมือกันวิ่งไปแล้ว
จูเสี่ยวเยวี่ย “…”
ผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจววิ่งมาถึงโถงบุปผา มองซินโย่วที่อมยิ้มมุมปากอย่างลังเล
เห็นชัดว่ายังเป็นเจ้าของร้านพวกเขาคนเดิม!
“ผู้ดูแลร้าน หลิวโจว ไม่ได้พบกันหลายวัน”
อย่างไรผู้ดูแลร้านหูก็ผ่านประสบการณ์มามากกว่า จึงตั้งสติได้ก่อน คำนับซินโย่วนอบน้อม “ข้าน้อยคารวะท่านเจ้าของร้าน”
หลิวโจวเองก็รีบคำนับตาม
ซินโย่วมองท่าทางแตกตื่นของทั้งสองคนออก จึงเข้าไปประคองผู้ดูแลร้านหูขึ้น “ร้านหนังสือนี้ข้ายังดูแลต่อ ทุกอย่างเหมือนเดิม” เอ่ยถึงตรงนี้ นางก็ชี้มาที่ใบหน้าตนเอง เอ่ยเสียงเบาหวิว “เจ้าของร้านเช่นข้าหน้าตายังคงไม่เปลี่ยนนะ”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา หลิวโจวก็ถอนหายใจเฮือก ผ่อนคลายลงทันที “ท่านเจ้าของร้าน ท่านก็คือคุณชายซินจริงหรือ”
“พวกเจ้าคงได้ยินมาแล้ว”
หลิวโจวถูมือไปมา “ก็ได้ยินมาแล้ว รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเรื่องเท็จ แต่ยังคงรู้สึกว่ายากจะเชื่อว่าท่านก็คือคุณชายซินได้ คงมิใช่…”
ซินโย่วรู้ว่าหลิวโจวคิดถามอันใด เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “พวกเจ้าเรียกข้าว่าเจ้าของร้านก็พอ หรือเรียกว่าคุณหนูซิน”
หลิวโจวสบตากับผู้ดูแลร้านหู พยักหน้าแสดงท่าทีว่าเข้าใจแล้ว
“นี่คือเชียนเฟิงกับผิงอัน ผู้คุ้มกันประจำตัวข้า นี่คือเจ้าแปด มาจากค่ายเมฆาดำ วันหน้าทุกคนก็ทำตัวให้สนิทสนมกันไว้ มารู้จักกันหน่อย”
เชียนเฟิงกับผิงอันประสานมือคำนับผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจว
เจ้าแปดหัวเราะคิกคักแสดงความเป็นมิตร “ข้าอายุน้อย พบเห็นโลกมาน้อย ขอผู้ดูแลร้านกับพี่หลิวดูแลข้าให้มากๆ สักหน่อย”
“ดูแลกันและกันๆ” ผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจวเองก็หัวเราะเบาๆ ในใจรู้สึกว่าโจรภูเขาที่ไหนเห็นโลกมาน้อย อย่ามาหลอกคนดีอย่างพวกเขานะ
ยามนี้ได้รู้จักกันแล้ว ซินโย่วก็เอ่ยว่า “หลิวโจว เจ้าพาพวกเจ้าแปดไปเดินรอบร้านหนังสือ ข้าไปเรือนหลังสักครู่”
ซินโย่วพาเสี่ยวเหลียนเดินเข้าไปที่พักฟางหมัวมัว ฟางหมัวมัวกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้หินในลาน
“ฟางหมัวมัว” เสี่ยวเหลียนส่งเสียงเรียก
ฟางหมัวมัวตั้งสติได้ก็มองซินโย่วทีหนึ่ง พลันลุกขึ้นรีบก้าวเข้ามา “คุณหนู…”
พอส่งเสียงเรียกออกไป นางก็พลันชะงักงัน มองใบหน้าซินโย่วพร้อมกับน้ำตาไหลริน
ซินโย่วเองก็หยุดชะงักอยู่หน้าประตูลาน ก่อนจะเดินเข้าไป ส่งเสียงเรียกอย่างลังเลเล็กน้อย “ฟางหมัวมัว”
ชินโย่วจะถือว่านางเป็น ‘แม่นม’ ต่อเพื่อทำให้ฟางหมัวมัวไม่เศร้าใจมากนักก็ได้ แต่ฟางหมัวมัวเป็นแม่นมของโค่วชิงชิงเพียงผู้เดียว มาถึงตอนนี้ นางไม่อาจทำไม่รู้สึกรู้สาอยู่กับคนที่หวังดีต่อโค่วชิงชิงอย่างแท้จริงได้อีก
ชิงชิงเหมือนกับนาง ล้วนมีเพียงหนึ่งเดียวบนโลกนี้ ไม่อาจมีตัวแทนได้
……….