สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 324 จำคนผิดแล้ว
ตอนที่ 324 จำคนผิดแล้ว
ตอนได้ยินเสียงเรียก ‘อาโย่ว’ จากมารดา จิตใจนางก็รู้สึกสงบอ่อนโยน ได้ยินจากใต้เท้าเฮ่อ จิตใจนางก็รู้สึกหวานล้ำและเฝื่อนขมผสมผสาน แต่พอได้ยินจากคนตรงหน้าผู้นี้ กลับรู้สึกต่อต้าน
ท่านแม่ทิ้งสถานะฮองเฮา สุดท้ายยังต้องตายเพราะสถานะนี้ ชายที่ไม่เคยอยู่ตอนนางเกิด ไม่เคยเลี้ยงดู นั่งครองบัลลังก์ของตน ยามนี้รับนางเป็นบุตรสาวอย่างสมเหตุสมผล ถึงกับเพราะการดำรงอยู่ของนาง จากนี้ไปเขาก็คงสบายใจนอนหลับสนิทมากยิ่งขึ้น และมีความรู้สึกผิดต่อท่านแม่มากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
เพียงแค่คิดถึงตรงนี้ ซินโย่วก็รู้สึกไม่ยุติธรรมต่อมารดานาง
“อาโย่ว?”
ซินโย่วมองไปทางฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ได้ฟังที่ทรงตรัสถามก็ทูลด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จากที่หม่อมฉันรู้มา คุณหนูโค่วมีทรัพย์สมบัติสี่แสนอยู่ในจวนรองเจ้ากรม การตายของคุณหนูโค่วเกี่ยวพันกับเงินก้อนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่สู้เปิดโรงทานในนามคุณหนูโค่ว ช่วยเหลือชาวบ้านประสบภัยและยากลำบาก ไม่เพียงสั่งสมบุญกุศลให้คุณหนูโค่วได้ แต่ยังช่วยเหลือราษฎรนับหมื่นแสนที่ตกระกำลำบากได้อีกด้วยเพคะ”
นางไม่มีสถานะคุณหนูโค่วแล้ว การจะไปทวงเงินจากจวนรองเจ้ากรมย่อมไร้เหตุผลเพียงพอ แต่เรื่องควรเอ่ยก็ต้องนำมาเอ่ยให้กระจ่าง ขอเพียงฮ่องเต้ตรัส จวนรองเจ้ากรมกินปูนร้อนท้อง เพื่อปกป้องจวนรองเจ้ากรม แม้ปวดร้าวใจเพียงใดก็ต้องคายเงินก้อนนี้ออกมา
คุณหนูโค่วตายเพราะสมบัติ จวนรองเจ้ากรมสูญเสียสมบัติก้อนนี้ไป สำหรับโค่วชิงชิงที่ตายอย่างน่าอนาถแล้ว น่าจะพึงพอใจผลลัพธ์เช่นนี้
ส่วนการจะทำให้จวนรองเจ้ากรมบ้านแตกสาแหรกขาด ซินโย่วลองคิดในมุมของโค่วชิงชิง ไม่แน่ใจว่าโค่วชิงชิงยินดีจะเห็น สำหรับนางแล้ว ก็ไม่คิดจะทำร้ายชีวิตคนมากนักเช่นกัน
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่อาจระงับสีพระพักตร์ตกพระทัย “สี่แสน?”
เหตุใดคุณหนูตัวเล็กๆ จึงมีเงินมากมายเพียงนี้
“ตัวเลขตรงๆ ก็คือหนึ่งล้าน หม่อมฉันนำกลับคืนมาให้โค่วชิงชิงได้หกแสนแล้ว ก่อนหน้านี้ที่นำไปบริจาคผู้ประสบภัยก็ด้วยเงินเหล่านี้”
“หนึ่งล้าน?” สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กระตุกเกร็ง
องค์หญิงใหญ่เจาหยางทนดูไม่ไหว กระซิบเตือนเบาๆ “เสด็จพี่…”
อย่าได้ทำเสียหน้าต่อบุตรีที่เพิ่งรับมาได้หรือไม่!
“อ้อ เรารู้แล้วควรทำเช่นไร” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระเนตรจ้องมองซินโย่ว “เจาหยาง เจ้าเกล้าผมแต่งตัวให้อาโย่วหน่อย”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางพยักหน้า เดินเข้าไปดึงมือซินโย่ว “ตามข้ามา”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ค่อยเรียกตัวรองเจ้ากรมต้วนสองแม่ลูกเข้ามา
“รองเจ้ากรมต้วนกลับไปควรเอ่ยเช่นไร”
รองเจ้ากรมต้วนคาดเดาความหมายของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ออก เอ่ยอย่างระมัดระวังท่าทีว่า “ก็บอกว่าชิงชิงป่วยจากไปแล้ว…”
“เหลวไหล!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นพวกความคิดดื้อรั้น “หากโค่วชิงชิงป่วยตายไปตอนนี้ จะอธิบายเรื่องซินมู่กลายเป็นซินโย่วอย่างไร”
เขาต้องการแต่งตั้งอาโย่วเป็นองค์หญิง ไม่ทรงคิดจะปิดบังสถานะนางไว้ จวนรองเจ้ากรมไม่เอ่ยให้กระจ่างว่าจำคนผิด คนทั่วไปก็จะเข้าใจผิดว่าเขาแย่งหลานสาวขุนนางมาเป็นบุตรสาวตนเอง จะทำอย่างไรเล่า
รองเจ้ากรมต้วนพลันเข้าใจแล้ว “พวกกระหม่อมจำคนผิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์ตรัสพระสุรเสียงนิ่งเรียบ “นายหญิงผู้เฒ่าต้วนเดินทางมาลำบากท่านแล้ว รองเจ้ากรมต้วนกลับไปกับมารดาได้แล้ว”
“กระหม่อมทูลลา”
รองเจ้ากรมต้วนทูลลาออกมาราวกับฝันไป จะกระทั่งขันทีที่นำเขาออกมาเอ่ยน้ำเสียงเบายิ่งว่า “ข้าน้อยได้ยินว่าคุณหนูโค่วทิ้งสมบัติไว้สี่แสน ทางจวนท่านต้องการนำมาสร้างกุศลเพื่อเสริมกุศลให้คุณหนูโค่ว ข้าน้อยเลื่อมใสในความใจกว้างของใต้เท้าต้วนจริงๆ”
รองเจ้ากรมต้วนชะงักกึก ยามอยู่ต่อหน้าขันทีที่สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก็ได้แต่ฝืนฉีกยิ้มที่ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าร่ำไห้ออกมา “ละอายใจยิ่งๆ”
เส้นทางขากลับ ในใจรองเจ้ากรมต้วนราวกับถูกคมมีดกรีด อารมณ์นายหญิงผู้เฒ่าเองไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร
“กล่าวเช่นนี้ ชิงชิงจากไปนานแล้ว สมบัติที่เหลือยังต้องบริจาค?”
รองเจ้ากรมต้วนถอนหายใจหนักหน่วง “เห็นชัดว่าเป็นความต้องการของนังเด็กนั่น หากพวกเราไม่ยินยอมทำตาม อย่าว่าแต่สมบัติสี่แสน เกรงว่าชีวิตตระกูลเราก็คงยากรักษาไว้ได้!”
“นังเด็กนั่นโหดร้ายมาก!” นายหญิงผู้เฒ่าพึมพำ “มิน่าชิงชิงเป็นเด็กเชื่อฟังเพียงนั้น ตั้งแต่ตกหน้าผา กลับมาก็เปลี่ยนเป็นคนปากคอเราะราย แยกเขี้ยวกางเล็บ ที่แท้กลายเป็นอีกคนไปแล้ว…”
“ท่านแม่อย่าพูดอีกเลย ท่านอย่าลืมสถานะนางตอนนี้”
นายหญิงผู้เฒ่านิ่งอึ้งไปทันที หลังจากรู้สึกคาดไม่ถึงแล้วก็เริ่มมีความรู้สึกอื่นๆ ประดังเข้ามา “นางเป็นองค์หญิงจริงหรือ”
“ท่านแม่ไม่เห็นหรือ นางแทบจะเคาะพิมพ์ออกมาจากฝ่าบาทเลยทีเดียว”
เหมือนเช่นนั้น ทันทีที่สลัดสถานะคุณหนูนอกจวนรองเจ้ากรมออก ผู้ใดก็ไม่อาจสงสัยความสัมพันธ์ความเป็นบิดาบุตรีระหว่างนางกับฮ่องเต้
นายหญิงผู้เฒ่ารู้ว่าสมบัติสี่แสนรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว ในใจก็ปวดร้าวจนหายใจแทบไม่ออก
ตอนสองแม่ลูกกลับถึงจวนรองเจ้ากรมด้วยอารมณ์หนักอึ้ง ก็เป็นเวลาอาหารเที่ยงพอดี
พอทุกคนในจวนรองเจ้ากรมต้วนมารวมตัวกัน ก็ให้บ่าวออกไปก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องจะแจ้งเรื่องหนึ่ง”
นายท่านรองต้วนเหวินไป่กับนายหญิงบ้านสองจูซื่อแอบสบตากันเงียบๆ
เพิ่งพระราชทานสมรสพระราชโองการ นายหญิงผู้เฒ่ากับพี่ใหญ่ก็ถูกเรียกตัวเข้าวัง หรือว่าเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงอันใด
“น้องรอง”
ต้วนเหวินไป่คาดไม่ถึงว่าจะถูกเอ่ยถึง “พี่ใหญ่ เชิญท่านว่ามาได้”
“ปีที่แล้วคนที่เจ้านำกลับมาไม่ใช่ชิงชิง”
รองเจ้ากรมต้วนเหนื่อยใจจนไม่คิดปูพื้นเรื่องราว พูดออกไปคำเดียวดังสายฟ้าฟาด
ต้วนเหวินไป่ได้ฟังนิ่งอึ้งไปทันที “พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร ข้าฟังแล้วไม่เข้าใจ”
รองเจ้ากรมต้วนกวาดตามองสีหน้าแตกต่างของทุกคนทีหนึ่ง ก็เอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “เด็กสาวที่น้องรองพากลับมา สถานะแท้จริงของนางก็คือองค์หญิงของฮ่องเต้กับฮองเฮาซิน ก็คือคุณชายซินที่ระยะนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในราชสำนักไม่น้อยผู้นั้น”
“นี่ นี่เป็นไปได้อย่างไร” ต้วนเหวินไป่มองไปทางนายหญิงผู้เฒ่าด้วยสัญชาตญาณ
“ท่านลุง ท่านกำลังพูดอันใดอยู่ เหตุใดน้องชิงกลายเป็นองค์หญิงได้”
รองเจ้ากรมต้วนน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “นางไม่ใช่น้องชิงเจ้า เพราะหน้าตาเหมือนน้องชิงเจ้า จึงได้จำผิดคน”
ต้วนอวิ๋นหลางยากจะยอมรับข่าวนี้ได้ “จะมีคนที่หน้าตาเหมือนกันเช่นนี้ได้อย่างไร”
นายหญิงผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นว่า “ใต้หล้ากว้างใหญ่ เรื่องประหลาดมากมาย”
“แล้ว แล้วน้องชิงเล่า”
ต้วนอวิ๋นหลิงที่ยืนอยู่มุมห้องใบหน้าถอดสี ได้ยินคำถามต้วนอวิ๋นหลางก็อดหลั่งน้ำตาไม่ได้
พี่รองยังถามคำถามโง่เง่าอันใดอีก พี่ชิงไม่อยู่แล้ว…
ต้วนอวิ๋นหลิงคิดถึงพี่ชิงที่ว่านอนสอนง่าย นางไม่มีทางหลุดรอดจากฝีมือท่านแม่ใหญ่ได้อย่างแน่นอน คงสิ้นลมไปเงียบๆ ที่ใต้หน้าผานั่นนานแล้ว นางอดตัวสั่นเทาไม่ได้ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุด
เกราะหนาที่สร้างขึ้นเพราะความกล้าหาญและวาจาให้กำลังใจของซินโย่วก็พลันพังทลายลง ทำให้นางเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
ดังนั้นคนที่อ่อนแอยากจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต พี่ชิงกระทำเรื่องเก่งกาจมากมายเช่นนั้น ก็เพราะเดิมนางก็มิใช่พี่ชิงคนเดิม
“ร้องไห้ทำไมกัน!” นายหญิงผู้เฒ่าเหลือบมองต้วนอวิ๋นหลิงที่กำลังร้องไห้พลางส่งเสียงดุ
ต้วนอวิ๋นหลิงก้มหน้าลง แอบเช็ดน้ำตาเงียบๆ
“สรุป พวกเราจำคนผิด วันหน้าไม่ให้พูดจาเหลวไหลอีก”
“ข้าไม่เชื่อ…” ต้วนอวิ๋นหลางหันหลังวิ่งออกจากจวนรองเจ้ากรม ไปถึงหน้าประตูร้านหนังสือชิงซงอย่างไม่รู้ตัว
หลิวโจวเห็นต้วนอวิ๋นหลางก็เข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “คุณชาย ท่านมาคนเดียวหรือ”
คนงานมองไปด้านหลังก็อดถามไม่ได้ “คุณชาย เจ้าของร้านเราระยะนี้เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าของร้านไม่ได้มาร้านหนังสือนายแล้ว”
ต้วนอวิ๋นหลางตั้งสติได้ก็มองใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มของหลิวโจว ภูตผีดลใจให้ถามขึ้นว่า “เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าของร้านพวกเจ้าเป็นใคร”
……………………………………………………………………..