สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 323 ข้าคือซินโย่ว
ตอนที่ 323 ข้าคือซินโย่ว
เส้นผมดำขลับทิ้งตัวรวดเร็ว ขับเน้นใบหน้าขาวละเอียดให้ยิ่งกระจ่างใส
สาวน้อยดวงตาดำขลับราวหยกดำ มองมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ผงะลุกขึ้น ชี้นางตรัสว่า “เจ้า…นี่มันเรื่องอันใดกัน เจ้าปลอมตัวเป็นมู่เอ๋อร์?”
องค์หญิงใหญ่เจาหยาง มองดวงหน้านั้นกับวงพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อย่างตกตะลึง ในใจก็ดังฟ้าพลิกแผ่นดินตลบ
นางคิดมาตลอดว่าคุณหนูโค่วหน้าตาคล้ายนางหลายส่วน แต่มาถึงยามนี้จึงได้ตกใจที่รู้สึกว่าคุณหนูโค่วเหมือนกับเสด็จพี่เช่นนี้
ไม่ถูกต้อง เหตุใดเมื่อก่อนไม่ได้รู้สึกรุนแรงเพียงนี้
องค์หญิงใหญ่เจาหยางจ้องมองซินโย่วตาไม่กะพริบ
ใบหน้าคุณหนูโค่ว แต่สาวน้อยตรงหน้าคิ้วยาวตวัดขึ้น ดวงตาคมกริบ คล้ายดังหยกงามอ่อนละมุน เผยให้เห็นความคมกริบที่ซ่อนอยู่ภายใน
เห็นชัดว่ายังคงเป็นโครงใบหน้าเดิม แต่กลับทำให้คนรู้สึกเปลี่ยนไปเป็นอีกคน
หากว่าองค์หญิงใหญ่เจาหยางยังวิเคราะห์ได้มีสติ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับไร้สติสิ้นเชิง
เขาก้าวเข้าไปจ้องมองซินโย่วเขม็ง “เหตุใดเจ้าปลอมตัวเป็นซินมู่”
ยามเผชิญหน้ากับคำถามที่แฝงอารมณ์คุกรุ่นของฮ่องเต้ ซินโย่วยังคงสงบนิ่ง “บนโลกนี้ไม่มีซินมู่ หม่อมฉันชื่อว่าซินโย่วเพคะ”
“เหลวไหล เห็นชัดว่าเจ้าก็คือคุณหนูโค่ว!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สุรเสียงดุดัน
ในตำหนักไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง มีเพียงเสียงตอบรับนิ่งสงบของสาวน้อย “เดือนห้าปีที่แล้ว คุณหนูโค่วตายใต้หุบเขาเชียนอิงแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่อาจสงบพระสติได้อีก “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ใช่คุณหนูโค่ว และไม่ใช่ซินมู่?”
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย “หลังจากท่านแม่เกิดเรื่อง หม่อมฉันเดินทางเข้าเมืองหลวงเพียงลำพัง ไม่ทันระวังลื่นตกเนินเขา ได้สองสามีภรรยาช่วยชีวิตไว้ ไม่นานนายท่านรองตระกูลต้วนก็มาพบหม่อมฉัน บอกว่าหม่อมฉันก็คือโค่วชิงชิงคุณหนูนอกแห่งจวนรองเจ้ากรม…”
ซินโย่วเล่ามาถึงวันนี้ที่ได้รับพระราชโองการ “คุณหนูโค่วไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว พระราชทานสมรสให้นางกับซิ่วอ๋อง ก็ได้แต่ให้หม่อมฉันนำมาคืนฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ฟังก็เบิกพระเนตรอ้าพระโอษฐ์ค้าง ไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้ “เหลวไหล จวนรองเจ้ากรมจะจดจำคุณหนูนอกที่อยู่จวนตนมานานปีผิดคนได้อย่างไร”
ซินโย่วหลุบตาลง “เรื่องราวเป็นเช่นนี้จริงเพคะ”
“เรียกตัวรองเจ้ากรมต้วน เดี๋ยวก่อน เรียกตัวรองเจ้ากรมต้วนและนายหญิงผู้เฒ่าตระกูลต้วนเข้าวังมาพร้อมกัน!”
ยามนี้เอง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่สนพระทัยเรื่องใดอีกแล้ว คิดเพียงทำความเข้าใจเรื่องราวให้กระจ่าง
นายหญิงผู้เฒ่าได้รับราชโองการเรียกตัวเข้าเฝ้าก็งุนงงอย่างมาก กระซิบถามบุตรชาย “เข้าวังไปขอบพระทัย ไม่ใช่ต้องรอให้พวกเราทูลขอก่อนหรือ”
เหตุใดคนในวังตรงมานำพวกเขาไป
รองเจ้ากรมต้วนฝืนปลอบใจมารดา “ถึงตอนนั้นก็รู้เอง”
สองแม่ลูกรีบเข้าวังคุกเข่าคำนับ
“ลุกขึ้นได้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สุรเสียงร้อนพระทัย
รองเจ้ากรมต้วนประคองนายหญิงผู้เฒ่าขึ้นมาแล้วก็มองไปทางซินโย่วที่ยืนอยู่ไม่ไกล สีหน้าตกใจ
“นายหญิงผู้เฒ่ามีอันใดต้องการพูดไหม” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถาม
นายหญิงผู้เฒ่านิ่งอึ้งไปทันทีไม่กล้าทูลตอบ แต่ก็ไม่กล้าไม่ทูลตอบฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “หม่อมฉันได้เห็นหลานสาวที่นี่ ก็เลยตกใจอยู่บ้างเพคะ”
“ตกใจอันใด” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามอีก
นายหญิงผู้เฒ่าน้ำเสียงลังเล “หลานสาวหม่อมฉันอยู่ที่บ้าน เหตุใดจึงได้…”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ประหลาดใจ “นายหญิงผู้เฒ่าแน่ใจว่านี่คือหลานสาวเจ้า ไม่ได้มองผิด?”
“หม่อมฉันมีหลานสาวเพียงคนเดียว แม้ว่าสายตาฝ้าฟางแล้ว แต่ย่อมจดจำได้เพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สายพระเนตรเคร่งเครียด มองไปทางรองเจ้ากรมต้วน “รองเจ้ากรมต้วนว่าอย่างไร”
ทางรองเจ้ากรมต้วนรับรู้เรื่องซินโย่วมาก่อนหน้านี้แล้ว “กระหม่อมเองก็สงสัย เหตุใดหลานสาวจึงได้มาอยู่ในวังได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรมองซินโย่วลุ่มลึกทีหนึ่ง เชื่อคำพูดของนางไปเกินครึ่งแล้ว
หลังจากเชื่อคำพูดซินโย่วแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ทอดพระเนตรมองนางอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
เห็นชัดว่าเด็กคนนี้ราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกันกับเขา!
“พวกเจ้าจำคนผิดแล้ว” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พลันเงียบลง
แม้ว่าจากบุตรชายกลายเป็นบุตรสาว ยากจะไม่รู้สึกผิดหวัง แต่พอได้เห็นใบหน้าที่คล้ายกับตนเองนี้แล้ว ความรู้สึกตื้นตันทางสายโลหิตสืบทอดก็พลันรุนแรงเป็นพิเศษ ความรู้สึกที่เขาไม่ได้รับรู้จากบุตรชายหญิงคนอื่นๆ ของเขา
นี่คือบุตรีของเขากับซินซิน
“จำคนผิด?” นายหญิงผู้เฒ่าไม่กล้าโต้ตอบฮ่องเต้ แต่ก็ยากจะยอมรับได้ “นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร…”
“ซินโย่ว เจ้าเป็นคนพูด”
ซินโย่วพูดกระชับเล่าเรื่องจบ สบตากับรองเจ้ากรมต้วนที่แสร้งทำตกใจกับนายหญิงผู้เฒ่าที่ตกใจจริง ก็เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “คุณหนูโค่วไม่อยู่นานแล้ว ปีที่แล้วคนที่นายท่านรองต้วนรับออกจากหมู่บ้านในหุบเขาก็คือข้า มิใช่โค่วชิงชิง”
“ชิงชิง เจ้าเลอะเลือนใช่หรือไม่…” นายหญิงผู้เฒ่ายังคงไม่อยากเชื่อ
เห็นสีพระพักตร์เคร่งเครียดของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ รองเจ้ากรมต้วนก็รีบอธิบายแทนมารดาตน “เหมือนกันจริงๆ ทำเอาแทบไม่อยากจะเชื่อพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่รอรองเจ้ากรมต้วนสองแม่ลูกเข้าวัง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ตรัสถามซินโย่วเรื่องเกี่ยวกับซินไต้จ้าวไม่น้อย โดยเฉพาะคำพูดที่เขาพูดกับซินไต้จ้าว หากมิใช่ตัวซินไต้จ้าวเอง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้
ส่วนซินโย่วเองก็ตอบได้หมด เพียงพอจะบ่งบอกว่านางก็คือซินไต้จ้าว
หากตอนนี้นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลต้วนยังคิดว่านี่คือหลานสาวนาง นางคิดทำให้บุตรสาวเขาจบสิ้นหรือ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามเยียบเย็นว่า “รองเจ้ากรมต้วน ตอนซินไต้จ้าวลงใต้ สถานการณ์จวนเจ้าเป็นอย่างไร”
รองเจ้ากรมต้วนรีบคุกเข่า “ทูลฝ่าบาท ตอนนั้นชิงชิงแอบออกไป ทิ้งคำพูดไว้ว่าจะออกไปท่องเที่ยว กระหม่อมคิดว่านางเป็นคุณหนู ทำตัวเหลวไหลเช่นนี้แพร่ออกไปย่อมไม่งาม จึงเก็บเรื่องเงียบไว้…”
รองเจ้ากรมต้วนรู้ดีว่า ไม่อาจยอมรับเด็ดขาดว่าเขารู้ว่าหลานสาวคือซินไต้จ้าวมานานแล้ว ไม่เช่นนั้นก็จะมีโทษหลอกลวงเบื้องสูง สถานเบาก็คือตัดศีรษะเขาคนเดียว สถานหนักก็คือประหารทั้งตระกูล
หลังฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ฟังที่ซินโย่วกับรองเจ้ากรมต้วนล้วนกล่าวเหมือนกัน ก็ย่อมได้แต่เชื่อเช่นนี้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ส่งสัญญาณให้คนในวังนำรองเจ้ากรมต้วนสองแม่ลูกไปตำหนักข้างก่อน จากนั้นหันมามองซินโย่วอีกครั้งด้วยแววพระเนตรอ่อนโยนขึ้น
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า เจ้าชื่อซินโย่ว”
“คำว่า ‘ซิน’ จากคำว่า ‘ซินฉิน (ขยัน)’ คำว่า ‘โย่ว’ จากคำว่า ‘โย่วจื่อ( ส้มโอ)’”
“ชื่อนี้ดีจริง” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้เก่งโคลงกลอนบทกวี ย่อมไม่อาจกล่าวเป็นรูปธรรมว่าดีอย่างไร แต่รอยแย้มสรวลมุมพระโอษฐ์กลับไม่อาจปิดบัง
องค์หญิงใหญ่เจาหยางเองก็มีรอยยิ้มบนพระพักตร์
เดิมนางก็ชื่นชมคุณหนูโค่วอยู่แล้ว ตอนนี้พบว่าคุณหนูที่ชื่นชอบเป็นบุตรีพี่สะใภ้ นางย่อมดีใจ
โดยเฉพาะการที่ซินมู่หน้าตาไม่เหมือนพี่ชายและก็ไม่เหมือนพี่สะใภ้ ยังกล่าวว่าเป็นบุตรบุญธรรม ตอนนี้หันกลับมามองดูอาโย่วที่เหมือนกับเสด็จพี่เช่นนี้ ย่อมเป็นบุตรีของพี่สะใภ้อย่างไม่ต้องสงสัย
“กล่าวเช่นนี้ จวนรองเจ้ากรมก็นับว่าดูแลเจ้ามาระยะหนึ่ง” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พึมพำ
ซินโย่วน้ำเสียงเยียบเย็น “หากคุณหนูโค่วยังไม่พลัดตกเขา อาจรู้สึกขอบคุณจวนรองเจ้ากรม”
คำพูดนี้แสดงท่าทีนางกระจ่างชัด
เดิมฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดตอบแทนจวนรองเจ้ากรมแทนบุตรีสักหน่อย แต่พอได้ฟังนางกล่าวเช่นนี้ ก็ขมวดพระขนงทันที “เราเองก็ได้ยินข่าวมาบ้าง คิดไม่ถึงว่าจวนรองเจ้ากรมใช้ไม่ได้จริงๆ ไม่แน่ต้วนเหวินซงอาจรู้สถานะเจ้านานแล้ว แต่ตั้งใจหลอกลวงเบื้องสูง…”
ซินโย่วรีบเอ่ยว่า “รองเจ้ากรมต้วนไม่รู้จริงๆ เพคะ เพียงแต่หม่อมฉันเห็นใจชะตากรรมคุณหนูโค่ว จึงคิดทวงความยุติธรรมคืนให้นางเพคะ”
หากพูดต่อไปอีก คนผู้นี้ก็คงจะเปลี่ยนจากบำเหน็จจวนรองเจ้ากรมเป็นประหารทั้งตระกูลเป็นแน่
“อาโย่วคิดว่าควรจัดการจวนรองเจ้ากรมอย่างไรจึงเหมาะสม”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสเรียก ‘อาโย่ว’ ทำให้สีหน้าซินโย่วแปรเปลี่ยนเล็กน้อย