สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 317 คำขอ
ตอนที่ 317 คำขอ
“หมอหลวงบอกว่ากระแทกศีรษะ ยากวิเคราะห์ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด เสด็จแม่อย่าได้เป็นห่วง ไม่แน่อีกไม่นานผิงเอ๋อร์ก็คงฟื้นแล้ว” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ปลอบพระทัยไทเฮา
ความจริงเขาได้ถามหมอหลวงมาแล้ว แม้บรรดาหมอหลวงเหล่านั้นหวังเพียง ‘ไม่ขอมีผลงาน ขอเพียงอย่าได้มีความผิด’ แต่ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ที่ตรัสถามจริงจังย่อมมีกล้าปิดบัง กล่าวอ้อมๆ ว่าหากเกินสองวันแล้วยังไม่ฟื้น เกรงว่าคงไม่ค่อยดีนัก
แต่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่กล้าบอกคำพูดนี้กับไทเฮา
แม้ปกติไทเฮาดูแล้วแข็งแรงเพียงใด แต่ก็อยู่ในวัยชราใกล้เจ็ดสิบแล้ว นับประสาอันใดกับเมื่อคืนต้องประสบเหตุให้ตกพระทัย
ไทเฮาพยักพระพักตร์ “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงตั้งชื่อผิงเอ๋อร์ได้ดี ผิงเอ๋อร์จะต้องปลอดภัย”
แต่คำว่า ‘ผิง’ ในชื่อ ‘เฉินผิง’ ของซิ่วอ๋องมาจาก ‘ผิงผิงอู๋ฉี’ แปลว่า ธรรมดาสามัญไร้ความโดดเด่น เพียงชื่อนี้ก็มองออกว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงตั้งชื่อให้บุตรชายคนโตแบบไม่ใส่พระทัยนัก แต่ยามนี้ไทเฮาตรัสว่า ‘ผิง’ จากคำว่า ‘ผิงอัน’ ที่แปลว่าปลอดภัยก็ไม่มีคนคัดค้าน
“ความกตัญญูของผิงเอ๋อร์เหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ” ไทเฮามองดูซิ่วอ๋องที่สลบไม่ได้สติก็ถอนหายใจ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เองก็เคร่งเครียด “เสด็จแม่ตรัสได้ถูกต้อง ครั้งนี้ดีที่มีผิงเอ๋อร์อยู่”
ไทเฮาถอนพระทัยหนักหน่วง “หากรู้เช่นนี้ให้ไม้ท่อนนั้นตกใส่ข้าเสียดีกว่า ข้าก็ใกล้จะเข้าโลงแล้ว เดิมก็อยู่ได้อีกไม่กี่ปี น่าสงสารผิงเอ๋อร์ยังไม่ได้วัยสวมกวน ยังไม่ได้แต่งภรรยา หากเป็นอันใดไป ข้าจะสบายใจได้อย่างไร!”
“เสด็จแม่อย่าได้กล่าวเช่นนี้ สุขภาพเสด็จแม่ต้องอยู่ได้ร้อยปีไร้ปัญหา ผิงเอ๋อร์ป้องกันภัยให้เสด็จแม่ได้ ก็ถือเป็นบุญวาสนาของเขา”
ได้ฟังคำปลอบพระทัยของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ไทเฮาก็รู้สึกสบายพระทัยขึ้นมาก
กินได้ดื่มได้ ถึงกับยังวิ่งได้ วาสนาเงินทองเสพสุขไม่มีหมดสิ้น ยังมีฮ่องเต้เป็นบุตรชายกตัญญู อย่าว่าแต่ใกล้เจ็ดสิบ ชีวิตเช่นนี้อยู่ถึงร้อยปีก็ไม่พอ แต่หากต้องใช้ชีวิตหลานชายมาแลก ในพระทัยไทเฮากลับรู้สึกไม่ค่อยดีนัก พอได้ยินบุตรชายเอ่ยเช่นนี้ก็สบายใจขึ้น
แน่นอนเรื่องที่ไทเฮาคิดหวังที่สุดก็ยังคงเป็นเรื่องที่อยากให้หลานชายฟื้นขึ้นมา
“เสด็จแม่ ข้าไปส่งเสด็จแม่ เมื่อคืนเสด็จแม่ตกพระทัย ต้องพักผ่อนให้ดีๆ”
ไทเฮารับคำแล้วก็ทอดพระเนตรมองซิ่วอ๋องทีหนึ่ง กำลังเตรียมจะหันกลับไปก็พลันหยุดชะงัก “ผิงเอ๋อร์?”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รีบมองไปทางซิ่วอ๋อง ก็เห็นเปลือกตาคนที่นอนอยู่บนเตียงขยับ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ผิงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าทำให้ย่าเป็นห่วงมาก” ไทเฮาเดินเข้าไปดึงมือซิ่วอ๋องมากุมไว้
ซิ่วอ๋องกะพริบตาสีหน้างุนงง
ไทเฮาพระทัยดีขึ้นมาก ยามนี้จึงใส่ใจซิ่วอ๋องอย่างแท้จริง “ผิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังจำย่าได้หรือไม่”
ได้ยินว่าคนสมองกระทบกระเทือนจะจำคนไม่ได้
แววตาซิ่วอ๋องค่อยๆ กระจ่างใสเป็นปกติ “เสด็จย่า…”
เห็นเขาดิ้นรนจะลุกขึ้นถวายคำนับ ไทเฮาก็รีบกดตัวเขาไว้ “อย่าขยับ ระวังบาดแผลที่ศีรษะ”
ซิ่วอ๋องชะงักก่อนมองไปทางฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “เสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์ “ฟื้นแล้วหรือ”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วเรียบง่ายอย่างมาก แต่ซิ่วอ๋องที่เคยชินกับความเย็นชาของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ กลับรับรู้ได้ถึงความห่วงใยอยู่ไม่น้อย
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามอีก
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเป็นห่วง หม่อมฉันรู้สึกว่ายังดีอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมวดพระขนง “นี่มิใช่เวลามาแสร้งทำเข้มแข็ง แท้จริงเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็แค่ปวดศีรษะนิดหน่อย มึนงงเล็กน้อย…” ซิ่วอ๋องน้ำเสียงค่อยๆ ผ่อนลง
“ให้หมอหลวงตรวจอีกที”
ที่นี่เดิมก็มีหมอหลวงอยู่ พอฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับสั่ง หมอหลวงสองสามคนก็รีบเข้ามาล้อมตรวจอาการ สุดท้ายผลักคนหนึ่งออกมากราบทูล “ท่านอ๋องฟื้นขึ้นมาได้ รอดูอาการอีกสักวันหนึ่ง หากไม่มีอันใดแล้วก็ไม่มีปัญหาใหญ่ แต่อย่างไรก็บาดเจ็บที่ศีรษะ ระยะเวลาอันสั้นนี้ไม่ควรขยับไปไหนมาไหน…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ฟังก็ทรงกำชับซิ่วอ๋อง “เจ้าพักผ่อนให้สบายใจ เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องคิดมาก”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” ซิ่วอ๋องหยุดไปครู่หนึ่งก่อนมองไปทางไทเฮา “ขอบพระทัยเสด็จย่า”
ไทเฮาดึงมือซิ่วอ๋องมากุมพลางตรัสด้วยสีพระพักตร์เมตตา “เด็กโง่ ต้องข้าขอบคุณเจ้ามากกว่า เมื่อคืนนี้หากไม่ได้เจ้าปกป้องไว้ ย่ายังไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง…”
เห็นอารมณ์ไทเฮายังคงไม่สงบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตัดบทขึ้น “เสด็จแม่ ผิงเอ๋อร์ยังคงมึนงงอยู่ ให้เขาพักผ่อนให้ดีๆ ดีกว่า”
“เสด็จย่า เสด็จพ่อ ค่อยๆ เดินพ่ะย่ะค่ะ”
พอเห็นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ประคองไทเฮาจากไป ซิ่วอ๋องก็ขยับริมฝีปากเอ่ยว่า “น้ำ…”
ไม่นานทั้งราชสำนักและวังหลังก็รู้ว่าซิ่วอ๋องฟื้นแล้ว แต่อยู่รักษาตัวในวังต่อ ขุนนางไม่สะดวกมาเยี่ยมอาการในวัง ทว่าทุกคนก็ส่งของบำรุงไปที่จวนซิ่วอ๋องกันแล้ว พระสนมวังหลังที่มีตำแหน่งต่างมาเยี่ยมซิ่วอ๋องที่ตำหนักข้าง ไม่จำเป็นต้องพบกับซิ่วอ๋อง เพียงแค่สนทนากับพระสนมอันผินเสด็จแม่ของซิ่วอ๋องสองสามคำก็บรรลุการเยี่ยมอาการแล้ว
ตอนซิ่วอ๋องสลบไป พระสนมอันผินมีเพียงความเป็นห่วง ตอนนี้ฟื้นแล้ว ต้องมารับมือกับพระสนมนางในที่มาเยี่ยมเยือนหลายคน รับรู้ถึงแววตาอิจฉาของพวกนาง บ้างก็เด่นชัด บ้างก็เก็บซ่อน พระสนมอันผินก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ยามนี้รู้สึกดีใจหลังต้องตกอยู่ในสภาพย่ำแย่มานาน
ในตำหนักกันเฉวียนกง
ขันทีรายงานต่อพระสนมเสียนเฟยถึงสภาพอาการของซิ่วอ๋องวันนี้
ตำแหน่งฮองเฮาว่างเว้นมาหลายปี เมื่อก่อนพระสนมซูเฟยเสด็จแม่ชิ่งอ๋องเป็นผู้ดูแล ต่อมาพระสนมซูเฟยเกิดเรื่อง อำนาจดูแลวังหลังจึงตกมาอยู่ในมือของพระสนมเสียนเฟยเสด็จแม่องค์ชายสาม ซิ่วอ๋องพักรักษาตัวในวัง พระสนมเสียนเฟยไม่กล้าดูแลบกพร่อง นอกจากไปเยี่ยมด้วยตนเองแล้ว ยังต้องสนใจสถานการณ์ทางนั้นอยู่ตลอดเวลา
“กล่าวเช่นนี้ วันนี้ซิ่วอ๋องก็จะกลับไปพักรักษาตัวที่จวนอ๋องแล้ว” พระสนมเสียนเฟยได้ยินข่าวใหม่นี้ก็เผยรอยยิ้มบาง
“พระสนมเองก็เบาพระทัยได้แล้วเพคะ” ฟางเฉี่ยวนางกำนัลคนสนิทเบ้ปาก เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ดูท่าทางได้ใจของพระสนมอันผินนั่น…”
พระสนมเสียนเฟยหันขวับมองนางทีหนึ่ง “อย่าปากมาก”
“บ่าวก็แค่ทนดูไม่ได้เพคะ”
“วิสัยคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น”
“พระสนมพระทัยกว้างไม่เคยเปลี่ยนเลยเพคะ” ฟางเฉี่ยวเอ่ยชมคำหนึ่ง
พระสนมเสียนเฟยยิ้มไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ
ความเมตตาของฮ่องเต้ ความรักของไทเฮายังรอเขาอยู่ ไม่ใจกว้างได้อย่างไร
นางอยู่วังหลังมาหลายปีเช่นนี้ย่อมมองกระจ่างนานแล้ว ในวังหลวงกว้างใหญ่นี้ ผู้ที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยแท้จริงมิใช่องค์ชายหรือองค์หญิง และยิ่งไม่ใช่บรรดาสนมเช่นพวกนาง แต่เป็นไทเฮา
แต่เรื่องนี้ก็มิแปลก เรื่องราวปล่อยให้ยุงกินตนให้อิ่ม หรือแต่งกายเป็นเด็กแม้วัยชราเพื่อเอาใจให้บิดามารดายิ้มได้ เรื่องราวกตัญญูซาบซึ้งกินใจนี้ล้วนมีไว้สำหรับบิดามารดา แต่ไม่เคยได้ยินว่ากระทำกับภรรยาและบุตรเช่นนี้
ณ ตำหนักข้างยามนี้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เสด็จมาพร้อมกับไทเฮา
“ได้ฟังหมอหลวงบอกว่าเจ้าจะกลับจวนได้แล้ว ย่าก็คลายความกังวลในใจลงได้จริงๆ เสียที”
หลายวันมานี้ ไทเฮาพระทัยสงบนิ่งเป็นปกติดังเดิมแล้ว ยิ่งมองหลานชายคนโตที่ก็ยิ่งพึงพระทัย จึงได้ตรัสถามซิ่วอ๋องว่าต้องการสิ่งใด
ซิ่วอ๋องรีบปฏิเสธ “ช่วยเสด็จย่าถือเป็นวาสนาของหม่อมฉัน จะขอรับรางวัลได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หากเจ้าปฏิเสธ ย่ากลับยิ่งไม่สบายใจ” ไทเฮาตรัสดุ
“ในเมื่อเสด็จย่าคิดประทานให้เจ้า เจ้าก็ว่ามาเถอะ”
ซิ่วอ๋องหลุบตาลง ใบหน้าที่เดิมซีดขาวเพราะได้รับบาดเจ็บกลับแดงระเรื่อ ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยว่า “ผู้ใหญ่มอบให้มิกล้าปฏิเสธ ในเมื่อเสด็จย่ารับสั่งถาม เช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอเอ่ยแล้ว”
“เจ้าว่ามา” ไทเฮายิ้มเมตตา
เห็นปฏิกิริยาของซิ่วอ๋อง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เริ่มอยากรู้ว่าเขาต้องการสิ่งใด
คงไม่ได้คิดต้องการตำแหน่งรัชทายาทกระมัง…ความคิดนี้แวบขึ้นมาในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ แต่ก็อดหลุดยิ้มเยาะออกมาไม่ได้
ย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้ต้องการจริง ก็ไม่มีผู้ใดโง่เขลาเอ่ยออกมา
“หม่อมฉันอยาก…” ซิ่วอ๋องหน้าแดงใกล้สุก ทำให้ยิ่งแลดูรูปงามขึ้นอีกสองส่วน “หม่อมฉันอยากขอแต่งคุณหนูโค่วเป็นภรรยาพ่ะย่ะค่ะ”