สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 315 ร่วมชมจันทร์
ตอนที่ 315 ร่วมชมจันทร์
สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือไม่ได้หยุดงานเนื่องในเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับจับขุนนางเข้าคุกมากยิ่งขึ้น คนของสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือเดินกันอยู่บนท้องถนนดังสายลมพัดผ่านรวดเร็ว ทำงานกันจนไม่ได้หยุดพัก
เฮ่อชิงเซียวได้รับราชโองการให้เข้าเฝ้า ก็รีบเข้าวัง
หลายวันนี้บรรดาขุนนางรวมตัวกันบ่อยครั้ง วันหนึ่งพบกันสองสามรอบก็ยังมี พระสุรเสียงฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เหมือนว่าผ่อนคลายมากขึ้น หลังถามถึงเรื่องคดีตามปกติ ก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่เรียกตัวเฮ่อชิงเซียวเข้าวัง
“ซินมู่ต้องเฝ้าสุสานมารดา ในยามปกติก็แล้วไป แต่วันนี้เป็นวันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง เงียบเหงาเกินไปจริงๆ เจ้าไปอยู่กับซินมู่หน่อย ความสัมพันธ์พวกเจ้าไม่เลว ไปเยี่ยมเขาแทนเราหน่อย”
เฮ่อชิงเซียวลังเลเล็กน้อย
ความลังเลนี้แน่นอนไม่ใช่ว่าไม่เต็มใจไปเยี่ยมซินโย่ว แต่เพราะคาดไม่ถึงกับท่าทีของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ต่อซินโย่ว
ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับคุณหนูซินมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ภาพจำของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ที่มีต่อองค์ชายทั้งหกและองค์หญิงทั้งสามในตอนนี้ ในใจพวกขุนนางและชนชั้นสูงต่างก็รู้สึกว่าพระองค์มิใช่บิดาผู้เมตตาอารีอันใด
คุณหนูซินกลับมีสถานะพิเศษในพระทัยฮ่องเต้…การค้นพบนี้ทำให้เฮ่อชิงเซียวรู้สึกดีใจแทนซินโย่ว
ในฐานะขุนนางใกล้ชิด เขารู้กระจ่างดีว่าการได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้นั้นสำคัญเพียงใด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับเข้าใจอาการลังเลของเฮ่อชิงเซียวผิด ตรัสสุรเสียงอ่อนโยนว่า “เรารู้ว่าสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือกำลังยุ่ง แต่จะยุ่งอย่างไรก็ไม่ต้องรีบให้เสร็จในวันนี้ เรารู้ว่าลำบากเจ้าแล้ว พอดีจะได้พักผ่อนสักหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ดังนั้นเฮ่อชิงเซียวจึงนำของพระราชทานของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ แต่งกายลำลองชุดพลิ้วยาวขี่ม้าเร็วตรงไปสุสานหลวง
อากาศในฤดูใบไม้ร่วงสดชื่น สุสานหลวงที่ตั้งอยู่ในหมู่เขาชานเมืองหลวงก็ยิ่งขับเน้นความเป็นฤดูใบไม้ร่วงให้โดดเด่น ซินโย่วสวมชุดสีอ่อนตัวหนาเล็กน้อย กำลังจุดธูปเซ่นไหว้ฮองเฮาซินและพวกน้าซย่าตามประเพณีปกติ ก่อนเดินออกจากประตูไป
รอบด้านเงียบสงัด ภาพที่เห็นก็คือป่าเขา มีต้นสนเป็นส่วนใหญ่ มองไกลออกไปก็เห็นหมู่เขาทับซ้อนเป็นเชิงชั้น เมฆขาวทั่วผืนฟ้า
ซินโย่วไม่เอ่ยอันใด เชียนเฟิงกับผิงอันเดินตามหลังนางดังเงา ส่วนเจ้าแปดกลับอดกลั้นจนเริ่มทนไม่ไหว แววตากลอกไปมาพลันสว่างวาบขึ้น “คุณชาย ท่านดู มีคนมา!”
ซินโย่วมองไปทีหนึ่งก็จำได้ “ใต้เท้าเฮ่อ”
“ใต้เท้าเฮ่อมาหรือ” เจ้าแปดชะโงกขึ้นพลางโบกมือ “เป็นใต้เท้าเฮ่อจริงด้วย!”
ขณะที่พูดคุยกัน คนหนึ่ง ม้าหนึ่ง ก็เข้ามาใกล้
ซินโย่วรีบก้าวเข้าไป ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัว “ใต้เท้าเฮ่อ ท่านมาได้อย่างไร”
เฮ่อชิงเซียวมาคนเดียว ถือของก้าวเข้ามาเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงคิดถึงซินไต้จ้าว ให้ข้านำของเหล่านี้มา”
ของพระราชทานไม่ได้สูงค่ามากมายอันใด แต่สำคัญที่ของกินหนึ่งในสองกล่องที่เฮ่อชิงเซียวนำมามีผลไม้สดเต็มกล่อง อีกกล่องก็คือขนมไหว้พระจันทร์ พร้อมกับโคมงดงามอีกหนึ่งคู่
ซินโย่วส่งเสียงเรียกเจ้าแปด เจ้าแปดรีบเข้ารับของไปวางให้เรียบร้อย
เฮ่อชิงเซียวไปจุดธูปเคารพพระศพฮองเฮาซินก่อนเดินเข้าไปในสุสานหลวงกับซินโย่ว
สุสานหลวงใหญ่มาก ว่างเปล่าและเงียบสงบมาก สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโบกชายเสื้อผู้คนอย่างไม่คิดเกรงใจ ใบไม้ร่วงปลิดปลิวล่องลอยกลางสายลม
เฮ่อชิงเซียวมองดูคนที่เดินอยู่ข้างกาย
หนึ่งเดือนมานี้ เขายุ่งกับเรื่องในสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองคนหลังจากพบกันครานั้น คุณหนูซินดูแล้วนิ่งสงบมากขึ้น คล้ายว่าน้ำพุที่ไหลแรงตั้งแต่ฤดูร้อนไหลมาถึงฤดูใบไม้ผลินี้ ค่อยๆ ลดทอนความรุ่มร้อนในใจลงไปทีละน้อย
“ซินไต้จ้าวไม่นำคนมามากอีกหน่อย” ทั้งสองคนเดินเคียงกัน น้ำเสียงเฮ่อชิงเซียวสุภาพเป็นทางการน้อยลงยามไม่มีพวกเชียนเฟิงอยู่ด้วย
“เดิมสุสานหลวงก็มีทหารอารักขา งานต่างๆ ก็มีคนดูแลโดยเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องนำคนมามากมาย” ซินโย่วค่อยๆ ปัดใบไม้ที่ปลิวตกใส่แขนเสื้อออกเบาๆ “ใต้เท้าเฮ่อจะกลับเมื่อใด”
เฮ่อชิงเซียวชะงักแล้วก็เอ่ยว่า “พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ”
ซินโย่วมองอย่างคาดไม่ถึง “ใต้เท้าเฮ่อจะพักที่นี่หรือ”
เฮ่อชิงเซียวพยายามทำเหมือนไม่มีเรื่องอันใด “ฝ่าบาทให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนซินไต้จ้าวฉลองเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงเสร็จค่อยกลับไป”
เดิมนางอยากถามว่าเป็นเพียงเพราะรับสั่งของฝ่าบาทเท่านั้นหรือ แต่พอคิดว่าสองคนที่ไม่อาจให้คำมั่นสัญญาต่อกันและกันได้ ถามคำถามนี้ช่างไร้ความหมายเกินไปแล้ว
“คนมากชมจันทร์ครึกครื้นสักหน่อย เพียงแต่ต้องขอให้ใต้เท้าเฮ่ออดทนสักหน่อย กินเจเป็นเพื่อนข้าไปด้วย”
เฮ่อชิงเซียวยิ้มกล่าวว่า “เดิมข้าเองก็กินเจ”
ซินโย่วถามถึงคดีใต้เท้าเติ้งว่าต่อจากนั้นเกิดอันใดขึ้น
“คดีนี้เกี่ยวพันถึงคนสองสามร้อยคน ยังขยายลุกลามออกไปในวงกว้าง…”
ซินโย่วตั้งใจฟังจบก็ถามว่า “เกี่ยวกับตราประทับ ‘จวิน’ เติ้งฉงจิ่งว่าอย่างไร”
“เขาไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจน” เฮ่อชิงเซียวหยุดไปก่อนจะสำทับอีกประโยคว่า “หลังลงทัณฑ์ก็ยังคงยืนยัน จากการยอมรับรวดเร็วของเติ้งฉงจิ่งก่อนหน้านี้ว่าใช้งูพิษทำร้ายเจ้าแล้ว เขาไม่ใช่พวกปากแข็งไม่ยอมจำนน”
“ก็หมายความว่า เติ้งฉงจิ่งไม่ใช่คนที่อยู่สายเดียวกับโจวทง”
โจวทงเป็นเพียงหมากระดับล่างของกลุ่มที่สังหารฮองเฮาซิน จนกระทั่งสืบไปพบรองเจ้ากรมเผย และเพราะรองเจ้ากรมเผยถูกลงโทษ เบาะแสจึงได้ถูกตัดตอน
“ไม่รีบ ช้าเร็วย่อมน้ำลดตอผุด” เฮ่อชิงเซียวเอ่ยเช่นนี้มิใช่การปลอบใจเพียงอย่างเดียว
ฮ่องเต้ทรงให้เขาตรวจสอบขุนนางเก่าแก่อย่างละเอียด คล้ายว่าตระกูลใหญ่ที่มีรากฐานหยั่งลึกทางใต้เหล่านี้เป็นพวกที่มิได้ติดตามออกศึกกับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มาตั้งแต่ต้น แต่ส่วนใหญ่เพราะเห็นว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขยายอิทธิพลยิ่งใหญ่จึงได้มาขอสวามิภักดิ์ พวกเขาย่อมมีความคิดเห็นทางการปกครองที่ไม่ตรงกัน หรือมีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน หรืออาจมีความแค้นส่วนตัวกัน แต่ก็มีผลประโยชน์ร่วมกัน
ผลประโยชน์นี้ไม่ใช่เรื่องที่คิดสลัดทิ้งก็จะสลัดทิ้งได้ อีกทั้งเบื้องหลังยังมีรากฐานกิจการตระกูลร้อยกว่าปี และบุตรหลานร่วมวงศ์ตระกูลอีกไม่รู้มากมายเพียงใด
ตอนนี้คุณหนูซินก็คือศัตรูร่วมกันของพวกเขา ขอเพียงคุณหนูซินยังโลดแล่นอยู่ในราชสำนัก พวกเขาก็ไม่มีทางวางตนสงบเสงี่ยม
ไม่นานก็ถึงยามค่ำคืน สุสานหลวงเงียบสงัดต่างจากสีสันแดงเขียวสดใสของหมู่ผกาชื่นบานในวังหลวง แม้แต่จันทราก็ยังให้ความรู้สึกเยียบเย็นกว่าสักหน่อย
ซินโย่วไหว้พระจันทร์พลางส่งเสียงเรียกพวกเจ้าแปดมากินขนมไหว้พระจันทร์ด้วยกัน นั่งอยู่บนแท่นสูงร่วมกับเฮ่อชิงเซียวชมจันทร์เงียบๆ
จันทราเดียวดาย สาดส่องพื้นน้ำค้างแข็ง
เฮ่อชิงเซียวแอบมองคนข้างๆ ที่เงยหน้ามองดวงจันทร์ทีหนึ่ง คล้ายนึกถึงวันนั้น ตอนนางเป็นไข้และพึมพำถึงบทกวีวรรคนั้น น่าเสียดาย ค่ำคืนเงียบสงบ[1] ไร้คนเคียงข้าง
ความจริงไม่ใช่เช่นนี้ อย่างน้อยยามนี้ เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ พวกเขาก็ได้ร่วมชมจันทร์
เฮ่อชิงเซียวจับกุมคนไม่หยุดติดต่อกันมาหลายวัน การสอบสวนต่อเนื่องก่อให้เกิดอารมณ์ด้านลบอัดแน่น ยามนี้ค่อยๆ สลายไป เหลือเพียงความสุขใจและพึงพอใจ
สายลมเริ่มพัดแรงจนชุดของทั้งสองคนปลิวสะบัด รับรู้ได้ถึงความเย็นสบายท่ามกลางหมู่เขา
“เริ่มเย็นแล้ว กลับไปพักในห้องก่อนเถอะ” แม้ปรารถนาให้เวลาหยุดเดิน ณ ยามนี้ แต่สติของเฮ่อชิงเซียวกลับไม่ยินดีให้เขาทำเช่นนี้
ซินโย่วไม่ได้ดื่มสุรา ไม่ได้เป็นไข้ มีสติสัมปชัญญะไม่น้อยไปกว่าชายข้างกาย “อืม ควรไปพักผ่อนแล้ว”
ส่วนเฮ่อชิงเซียวพักที่ใด ที่นี่มีห้องว่างมากมาย ซินโย่วสั่งการให้เจ้าแปดไปจัดการแล้วก็ไม่ได้ถามอีก
เช้าวันต่อมา ซินโย่วไปส่งเฮ่อชิงเซียว เจ้าหน้าที่ดูแลสุสานหลวงก็ตามทุกคนออกมาส่งอย่างนอบน้อม เดินมาได้ไม่ไกลนักก็เห็นคนขี่ม้าทะยานมา
เฮ่อชิงเซียวขมวดคิ้วเรียวดาบเล็กน้อย ผู้ที่มาก็คือกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน มาเช้าและเร่งรีบเช่นนี้ ดูท่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
[1] ชิงเซียวแปลว่าค่ำคืนเงียบสงบ