สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 311 ชิงเซียวไว้ใจได้มาก
ตอนที่ 311 ชิงเซียวไว้ใจได้มาก
ใต้เท้าเติ้งเพิ่งถูกกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินนำตัวไป ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสถามเรื่องการฝังพระศพฮองเฮาซิน ฝ่ายสนับสนุนแอบเลื่อมใสฮ่องเต้ที่คว้าโอกาสนี้ไว้ได้ทันที ขุนนางใหญ่ที่คัดค้านแม้โมโหก็ไม่กล้าเอ่ย
ฮ่องเต้ทรงใช้เรื่องใต้เท้าเติ้งมาข่มขวัญหรือนี่!
แต่ฮ่องเต้ก็ช่างคว้าโอกาสได้ประจวบเหมาะจริง โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่อยากถูกใต้เท้าเติ้งลากลงน้ำไปด้วย เรื่องฝังพระศพฮองเฮาซินเรียบร้อยตามพระทัยฮ่องเต้ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางที่ไม่อาจเปิดเผยได้
เช่นหากต้องโดนโบยหนึ่งร้อยไม้เพราะใต้เท้าเติ้ง ตอนนี้แสดงท่าทีดีสักหน่อย บางทีอาจเหลือแค่ห้าสิบไม้
เรื่องหารือจากนี้ก็ราบรื่นดังคาด ฮองเฮาซินได้ฝังในสุสานหลวงเป็นที่แน่นอนแล้ว ยังกำหนดรายละเอียดต่างๆ ไว้ครบถ้วน
ความจริงตอนใต้เท้าเติ้งถูกกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินนำตัวออกจากวัง สีหน้าคนไม่น้อยเหมือนไม่รู้สึกอันใดในเรื่องนี้ แต่ในใจแล่นตามไปนานแล้ว
หน่วยงานต่างๆ นอกวังได้ยินเรื่องนี้ ต่างก็พากันตื่นตระหนกไม่สบายใจ
คนระดับใต้เท้าเติ้งก้าวเข้าไปในกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน เกรงว่าวงการขุนนางคงต้องสั่นสะเทือนครั้งใหญ่แล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่สนพระทัยเรื่องสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดในราชสำนักในตอนนี้ พอหารือกับบรรดาขุนนางเสร็จ ก็ให้คนไปตามซินโย่วเข้าวัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีก็รายงานว่าซินไต้จ้าวมาถึงแล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รอจนร้อนพระทัยก็พลันอารมณ์ดีทันที
ไม่นานชายหนุ่มในชุดสีอ่อนไว้ทุกข์ก็เดินเข้ามาถวายบังคม
“ลุกขึ้น เอาเก้าอี้ให้ซินไต้จ้าว”
ขันทียกเก้าอี้ออกมาวางข้างกายซินโย่ว
ซินโย่วขอบพระทัยก่อนจะลงนั่ง รอฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถาม
“มาจากวังตากอากาศหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อวานหลังซินโย่วเข้าเมืองมาก็ไม่ได้กลับไปจวนที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระราชทาน แต่ตรงไปพักที่วังตากอากาศ
สำหรับนาง สถานที่ท่านแม่อยู่จึงจะเป็นบ้าน
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งทอดพระเนตรมองชายหนุ่มนิ่งเงียบตรงหน้าพลางถอนพระปัสสาสะ “เราเพิ่งได้ยินผู้บัญชาการสำนักเจิ้นฝู่ซือเฮ่อบอกว่า เจ้าเกือบถูกงูพิษฉกที่วัดร้าง”
ยังไม่ใช่งูพิษธรรมดา แต่เป็นงูไป๋เจี๋ย!
แค่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงคิดถึงผลหลังถูกฉก ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา และยังรู้สึกถึงไฟโทสะลุกโชน
ซินโย่วไม่ได้ปฏิเสธ “เกือบถูกงูฉก ตอนนั้นงูพิษมาถึงลำคอกระหม่อมแล้ว โชคดีที่ใต้เท้าเฮ่อช่วยเหลือได้ทัน สกัดมันเอาไว้ได้”
“เราก็บอกแล้วว่าชิงเซียวไว้ใจได้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แย้มสรวลรู้สึกว่าโชคดีและทอดถอนพระทัย
ดูท่ามู่เอ๋อร์กับเฮ่อชิงเซียวสนิทกันไม่เลว ตอนนี้เฮ่อชิงเซียวทำงานให้เขา วันหน้าก็จะได้ทำงานให้มู่เอ๋อร์ต่อได้
อืม ใช้คนไม่ควรใช้หนักจนเกินไป ควรให้ผลประโยชน์ตอบแทนบ้าง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดแล้วก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมา รอให้งานศพซินซินผ่านไปก่อน จะได้ถามเฮ่อชิงเซียวเรื่องแต่งงาน อายุเสวียนเอ๋อร์ก็ได้วัยเหมาะสมพอดี
เสวียนเอ๋อร์เป็นองค์หญิงพระองค์โต เฉินเสวียนอายุเท่ากับซินโย่ว ปีนี้สิบเจ็ดปีแล้ว นอกจากนาง ในวังยังมีองค์หญิงแฝดน้อยอีกสอง ซึ่งอายุยังน้อย
หากกล่าวถึงท่าทีของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ต่อซิ่วอ๋องบุตรชายคนโต ก็คงเป็นความโกรธเกรี้ยวที่ซิ่วอ๋องสองแม่ลูกเป็นชนวนเหตุทำให้ฮองเฮาซินโมโหหนีจากไป แต่กับเฉินเสวียนบุตรสาวคนโตของนั้นมีแต่ความเย็นชาให้ ไม่ชอบแต่ก็ไม่รังเกียจ จึงไม่ได้ให้ความสนพระทัยนางมากนัก
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย ไม่เอ่ยอันใดต่อ
หลักการที่ว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไปย่อมไม่ดีนั้นนางเข้าใจดี ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ก็ยิ่งต้องเป็นเช่นนี้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ใส่พระทัยซินโย่วมากกว่า เริ่มเล่าถึงเรื่องที่หารือวันนี้ “กำหนดการพิธีศพเรียบร้อยแล้ว เราได้ให้สำนักโหรหลวงหาฤกษ์มงคลแล้ว จะได้ให้ท่านแม่เจ้าได้ฝังลงดินสงบสุขตลอดไป”
ซินโย่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ทูลว่า “ฝ่าบาท รอท่านแม่ฝังแล้ว กระหม่อมอยากไปอยู่เป็นเพื่อนนางที่สุสานหลวงสักระยะหนึ่ง”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งอึ้งไปทันที ปฏิกิริยาแรกก็คือทรงคิดกล่อมให้ซินโย่วเปลี่ยนใจ แต่วาจากลับไม่อาจตรัสออกมาได้
เห็นชัดว่าเด็กคนนี้มีความคับแค้นในใจ ไม่ยินดียอมรับเขา สิ่งที่เขาต้องทำก็คือค่อยๆ คลายความตึงเครียดระหว่างพ่อลูก อย่าได้เอะอะก็ปฏิเสธความต้องการของเขา เช่นนั้นจะปรับใจให้ดีขึ้นได้อย่างไร
“เจ้ามีใจกตัญญู เราดีใจมาก”
ได้ยินรับสั่งฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ซินโย่วก็ผ่อนคลายลง
ตัวละครเช่นโจวทงหรือหวังเผิงที่โผล่ออกมา มาจนตัวกลางประสานงานเช่นจ้าวหลางจงหรือถงจู่ซื่อ ก่อนตรวจสอบไปพบรองเจ้ากรมเผยและใต้เท้าเติ้ง เห็นได้ชัดว่านี่คือกลุ่มอิทธิพลขุนนางยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่ง ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ สายสัมพันธ์เกี่ยวเนื่อง ส่วนรวมไปถึงส่วนตัว เกรงว่าสถานะเช่นรองเจ้ากรมเผยและใต้เท้าเติ้งสุดท้ายก็คงเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่มีรองเจ้ากรมเผยหรือใต้เท้าเติ้ง ก็ยังอาจมีคนเช่นรองเจ้ากรมเผยและใต้เท้าเติ้งอีกมาก เรื่องนี้มิใช่ความแค้นส่วนบุคคล แต่เรื่องที่ท่านแม่ต้องการทำนั้นไปแตะต้องผลประโยชน์เงินทองของกลุ่มอิทธิพลเข้า
ส่วนนางสองมือว่างเปล่า อิทธิพลน้อยนิด เดินมาถึงก้าวนี้ได้ก็นับว่าทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่แล้ว หากจะก้าวเดินต่อไปอีก ก็ต้องอาศัยกำลังจากภายนอกแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือชื่อเสียงในหมู่ราษฎร และอีกหนึ่งที่สำคัญยิ่งก็คือการได้รับความสำคัญจากคนตรงหน้า
เรื่องที่นางต้องการไปรับโลงศพท่านแม่ด้วยตนเอง ต้องการจัดการที่พักพิงให้โจรภูเขาสองร้อยกว่าคน แล้วก็ยังเรื่องทูลขอไปเฝ้าสุสานในวันนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลองเชิงประเมินน้ำหนักของนางในจิตใจคนผู้นี้ จะได้สะดวกต่อการทำงานในวันหน้า
แต่โบราณกาลมาทุกยุคสมัย ความโปรดปรานจากฮ่องเต้ล้วนเป็นพลังที่ไม่อาจมองข้าม ในเมื่อเลือกจะมาสู่หลุมน้ำวนกับกลุ่มอิทธิพลนี้แล้ว ก็ต้องต่อต้านให้ถึงที่สุด แก้แค้นให้ท่านแม่ ทำให้ความปรารถนาของท่านแม่เป็นจริง นางจะไม่วางตนสูงส่ง จนยอมสละกระบี่คมกริบเล่มนี้ทิ้ง
“เจ้าเกือบถูกงูพิษฉกในวัด เราจะสั่งการให้ผู้บัญชาการเฮ่อตรวจสอบให้ดี ไม่มีทางปล่อยคนที่เกี่ยวข้องไปอย่างเด็ดขาด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
พอซินโย่วออกไป ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็นวดระหว่างพระขนงคลายความอ่อนล้า ออกจากตำหนักบรรทมไปยังตำหนักพระสนมลี่ผิน
พระสนมลี่ผินเป็นเสด็จแม่องค์หญิงเสวียนอยู่ในวังหลังแบบไร้ตัวตนเช่นเดียวกับพระสนมอันผินเสด็จแม่ซิ่วอ๋อง ไม่สิ เงียบเชียบยิ่งกว่าพระสนมอันผิน แม้ว่าวังหลังรู้ว่าซิ่วอ๋องไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แต่อย่างไรก็เป็นโอรสองค์โต หากยังไม่แต่งตั้งรัชทายาท แม้โอกาสมีเพียงน้อยนิด แต่ก็ถือว่ายังมีโอกาส ตอนนี้ชิ่งอ๋องถูกปลด ความเป็นไปได้น้อยนิดในใจทุกคนก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย
ส่วนพระสนมลี่ผิน นางกับพระสนมอันผินเป็นนางสนมที่ได้รับตัวเข้ามาอยู่อี๋หยวนในตอนนั้นพร้อมกัน หลังจากฮองเฮาซินออกจากวังหลังไป ก็ถูกฮ่องเต้รังเกียจทอดทิ้ง ทว่านางสู้พระสนมอันผินที่ให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ไม่ได้ และก็ยังสู้พระสนมที่รับเข้าวังมาใหม่ไม่ได้เช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ยังได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้บ้าง
พระสนมลี่ผินได้ยินฮ่องเต้เสด็จ ถึงกับตั้งตัวไม่ทัน จนกระทั่งเงาร่างสีเหลืองสว่างมาหยุดตรงหน้าจึงได้ลนลานลงถวายบังคม
“ลุกขึ้นเถอะ” แม้ว่าไม่ค่อยได้มาตำหนักพระสนมลี่ผิน แต่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ประทับลงตามสบาย ยกน้ำชาที่นางกำนัลนำเข้ามาอย่างระมัดระวังขึ้น
พระสนมลี่ผินลุกขึ้นยืน ตื่นเต้นจนไม่รู้ควรเอ่ยอันใด
“พระสนมลี่ผินก็นั่งสิ”
เรียก ‘พระสนมที่รัก’ ไม่ออก ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เรียกขานสนมวังหลังง่ายมาก ทรงเรียกทุกคนด้วยตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง
พระสนมลี่ผินลงนั่งด้วยใจที่เต้นโครมคราม แอบคาดเดาจุดประสงค์ที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสด็จมา
“เสวียนเอ๋อร์ล่ะ”
ต่างจากองค์ชายที่ได้วัยแล้วก็จะออกจากตำหนักเสด็จแม่ตนเอง ย้ายออกไปพักส่วนตัว องค์หญิงสามพระองค์ในวังล้วนพักกับเสด็จแม่ตนเอง
พระสนมลี่ผินพลันเข้าใจทันทีว่า ฮ่องเต้คิดจะพบบุตรสาว จึงได้รีบให้นางกำนัลไปเชิญองค์หญิงเสวียนมา
ไม่นานสาวน้อยร่างบางอรชรก็ก้าวเข้ามารวดเร็ว
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” องค์หญิงเสวียนคำนับนอบน้อม ในใจตึงเครียดยิ่งกว่าพระสนมลี่ผิน
“ลุกขึ้นพูด”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองประเมินบุตรสาวคนโตที่หลุบตาลงตรงหน้าพร้อมเผยรอยแย้มสรวลเล็กน้อย