สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 309 ไม่เชื่อว่าบังเอิญ
ตอนที่ 309 ไม่เชื่อว่าบังเอิญ
“ท่านโหว!” พ่อบ้านในจวนโหวที่ยืนอยู่ข้างน้ากุ้ยเห็นชายหนุ่มขี่ม้ามา ก็ส่งเสียงตื่นเต้นดีใจขึ้น
น้ากุ้ยก้าวเข้ามากะพริบตากลั้นน้ำตาที่จะไหลออกมาเอาไว้
ข่าวสารจากทางใต้ต่างๆ นานาพร้อมกับรายงานด่วนมาถึงเมืองหลวง จิตใจนางก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย ได้ยินว่าท่านโหวกับคุณชายซินได้ทำประโยชน์ยิ่งใหญ่เพื่อประชาและแผ่นดิน ดีใจเป็นเรื่องจริง แต่ในส่วนลึกของจิตใจนางแล้ว ความจริงไม่ทำประโยชน์ยิ่งใหญ่ก็ไม่เป็นไร ปลอดภัยกลับมาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เฮ่อชิงเซียวกระโดดลงจากหลังม้า รีบก้าวไปหาน้ากุ้ย
“ท่านโหวกลับมาแล้ว” น้ากุ้ยยิ้ม ความกดดันเคร่งเครียดสั่งสมมาหลายวันด้วยความเป็นห่วงก็เริ่มกลายเป็นความปวดใจระคนสงสาร
“น้ากุ้ยผอมลง” เฮ่อชิงเซียวมองออกว่าน้ากุ้ยเซียวลง ในใจก็รู้สึกผิด
“ท่านโหวยังไม่ได้กินข้าวกระมัง แค่ต้มน้ำก็เสร็จแล้ว รีบไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตา เสร็จแล้วค่อยมากินอะไรสักหน่อยก่อน”
“ขอบคุณน้ากุ้ย”
เฮ่อชิงเซียวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็มายังโถงบุปผา
โต๊ะอาหารในโถงบุปผาวางเต็มไปด้วยจานอาหาร กวาดตามองทีหนึ่ง มีอาหารอย่างน้อยก็สิบกว่าอย่าง เป็ดนึ่ง ชาหลงจิ่งผัดกุ้ง เนื้อกระต่ายผัดเผ็ดหวาน น้ำแกงหน่อไม้ขาหมูหมัก…
อาหารแต่ละอย่างปริมาณไม่มาก แต่สีสันกลิ่นรสล้วนสุดยอด
เฮ่อชิงเซียวไม่ใช่คนที่เห็นแก่กิน แต่ก็ยังอดกินคำโตไม่ได้ กินหมดเกลี้ยงเร็วดังพายุหอบแล้วก็บ้วนปากล้างมือ เตรียมตัวไปสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ
“ท่านโหวยังจะออกไปอีกหรือ”
“ข้าไปที่ทำการหน่อย จัดการงานที่สั่งสมไว้สักหน่อย”
ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องในวัดร้าง ดูว่าสืบไปถึงขั้นใดแล้ว
น้ากุ้ยรู้ว่ากล่อมไม่สำเร็จ ในใจได้แต่ทอดถอนใจ
หากท่านโหวแต่งภรรยาก็คงดี ฮูหยินท่านโหวคงจะกล่อมท่านโหวให้ทะนุถนอมร่างกายได้
“ท่านโหว โลงพระศพฮองเฮาตั้งอยู่ที่ใด บ่าวอยากไปไหว้สักหน่อย”
“อยู่ที่วังตากอากาศ รอพรุ่งนี้ข้าไปกับน้ากุ้ย”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ท่านโหวมีงานมากมายต้องทำ บ่าวไปเองก็ได้” น้ากุ้ยปฏิเสธ เร่งให้เฮ่อชิงเซียวรีบไปรีบกลับ
เฮ่อชิงเซียวรีบไปสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือทันที
“ใต้เท้ากลับมาแล้ว” พอเดินเข้าไปในที่ทำการก็มีเสียงทักทายตลอดทาง
เฮ่อชิงเซียวเข้ามาในห้องโถงทำงาน ก็ถามหวงเฉิงว่า “สืบได้ความอย่างไรบ้าง”
“เรียนใต้เท้า หลังตรวจสอบพบว่าโจวหมิงไม่มีอันใดน่าสงสัย เพียงแค่ค่อนข้างละโมบเงินทองจึงได้ถูกหวังเผิงหลอก เฉียนต้าเองก็ตรวจไม่พบเรื่องผิดปกติ น่าจะถูกหวังเผิงนำมาอ้างไปอย่างนั้น หวังเผิงรับหน้าที่แทนอาเขาเมื่อห้าปีก่อน อาของเขามีบุตรชายหนึ่ง บุตรสาวหนึ่ง บุตรสาวแต่งงานแล้ว บุตรชายยังศึกษาอยู่ในสำนักศึกษา…”
หวงเฉิงเล่าเรื่องครอบครัวอาของหวังเผิงอย่างละเอียด หยุดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “ครอบครัวพวกเขาภายนอกดูปกติ แต่สืบลึกลงไปก็จะพบว่าการกินอยู่และเสื้อผ้าไม่เหมาะสมกับรายได้…ใต้เท้ายังจำจู่ซื่อแซ่ถงจากกรมขุนนางได้หรือไม่”
เฮ่อชิงเซียวตั้งสติได้ทันที “ถงจู่ซื่อมีความเกี่ยวข้องกับอาของหวังเผิงหรือ”
ตอนแรกผู้หญิงตระกูลโจวและตระกูลจี้ถูกส่งเข้าสำนักทาสหลวง ถงจู่ซื่อจากกรมขุนนางท่านนี้คิดซื้อตัวจี้ไฉ่หลันกับโจวหนิงเยวี่ย ดังนั้นจึงตกเป็นเป้าจับตาดูของกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน
ดังนั้นเฮ่อชิงเซียวจึงสั่งการให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินอย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น ให้จับตาดูอยู่ตลอด
“ทุกวันถงจู่ซื่อพบปะผู้ใดบ้าง คนที่รับหน้าที่จับตาดูเขามีจดบันทึกไว้หมด ก่อนหน้านี้เขาได้พบกับอาของหวังเผิงครั้งหนึ่ง เดิมก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก แต่เพราะเรื่องหวังเผิงจึงสืบไปถึงอาของเขา…”
จากมุมมองของคนที่จับตาดูถงจู่ซื่อเป็นไปไม่ได้ที่เขาพบปะคนคนหนึ่งแล้วก็จะรู้สึกถึงปัญหาแล้วเริ่มสืบเชิงลึก อาของหวังเผิงเป็นหนึ่งในคนที่เขาไปมาหาสู่สนิทสนม แต่ก็ไม่อาจมุ่งความสนใจไปยังทุกคนที่พบปะกับเขาในทันที แต่ตอนทั้งสองคนกลายเป็นเป้าจับตาของกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน เช่นนั้นก็บังเอิญเกินไปแล้ว
แต่ไรมากองกำลังองครักษ์จิ่นหลินไม่เคยเชื่อเรื่องบังเอิญ
“ข้าน้อยเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงไปบ้านอาของหวังเผิงจับกุมเขา อาของเขาตายไปแล้ว บอกว่าเป็นโรคปัจจุบันทันด่วน แต่ความจริงน่าจะถูกฆ่าปิดปาก”
“แล้วทางถงจู่ซื่อเล่า” เฮ่อชิงเซียวไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการตายของอาของหวังเผิง
หวังเผิงใช้งูพิษปองร้ายคุณหนูซินล้มเหลว อิทธิพลเบื้องหลังย่อมต้องปิดปากคนที่ถูกเปิดโปง ดูท่าพออาของหวังเผิงตายไป เบาะแสก็จะขาดไปด้วย
เพียงแต่น่าเสียดายพวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่ากองกำลังองครักษ์จิ่นหลินจะจับดูถงจู่ซื่อมานานแล้ว
สถานการณ์ตอนนี้ก็คือ ทางนั้นคิดว่าเรื่องนี้จบลงที่อาของหวังเผิง ไม่รู้ว่าถงจู่ซื่อได้เปิดเผยตัวตนต่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินแล้ว และกำลังรอการสั่งการขั้นต่อไปของเฮ่อชิงเซียว
“ถงจู่ซื่อดูแล้วปกติดีทุกอย่าง ยามนี้ยังทำงานอยู่ในที่ทำการ”
เฮ่อชิงเซียวสีหน้าสงบนิ่ง แววตาส่วนลึกเผยกลิ่นอายเยียบเย็น “อย่าได้ทำให้เขารู้ตัว รอระหว่างทางที่เขากลับบ้าน นำตัวเขามากองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน”
ถงจู่ซื่อเหมือนกับตงเซิงก่อนหน้านี้ เห็นชัดว่าเป็นเพียงหมากตัวน้อยของฝ่ายนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะจับปลาตัวใหญ่สักตัวผ่านทางถงจู่ซื่อได้หรือไม่
สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือดูแล้วสงบนิ่งไร้คลื่นลม ตอนนี้ขุนนางและชนชั้นสูงกำลังจับตามองโจรภูเขาสองร้อยคนที่ซินโย่วพากลับมา
“โจรภูเขาสองร้อยกว่าเข้าเมืองมาเช่นนี้ กองบัญชาการปัญจทิศรักษาเมืองหลวงไร้น้ำยาหรือ” มีขุนนางผู้หนึ่งกำลังโมโหจัด
แต่ก็มีขุนนางอีกผู้หนึ่งยิ้มเฝื่อน “ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไร กองบัญชาการปัญจทิศรักษาเมืองหลวงจับกุมคนต่อหน้าฮ่องเต้หรือ”
“จับกุม? เกรงว่าทุกท่านคงยังไม่ได้ยินมากระมัง ฮ่องเต้พระราชทานที่นาห้าร้อยหมู่ให้ซินไต้จ้าวเอาไว้จัดการที่พักให้โจรภูเขาพวกนี้”
“นี่ นี่ก็ช่าง…” ขุนนางอ้าปากคิดด่าแต่ก็ตั้งสติได้ว่า ไม่อาจด่าฮ่องเต้ต่อหน้าทุกคน ได้แต่รีบหุบปากทันที
พอประชุมท้องพระโรงวันรุ่งขึ้น ขุนนางหลายคนก็ออกมาคัดค้านการปฏิบัติต่อโจรภูเขาพวกนี้เช่นนี้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ฟังจบ ก็ตรัสถามขุนนางที่คัดค้านด้วยพระสุรเสียงเยียบเย็น “ความเห็นพวกท่าน คือควรข้ามแม่น้ำเสร็จก็รื้อสะพานทิ้ง เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลหรือ”
ยามเผชิญกับการย้อนถามของฮ่องเต้ บรรดาขุนนางได้แต่แอบกระตุกมุมปากเบาๆ
ฮ่องเต้ลำเอียงเข้าข้างซินไต้จ้าวอย่างเห็นได้ชัด ใช้สำนวนติดกันถึงสามสำนวน…
“คุณธรรมนำมาใช้กับคนปกติทั่วไป ไม่ใช่กับโจรภูเขาไร้ขื่อไร้แป…”
“ผู้ใดกำหนดว่าคุณธรรมนำมาใช้อย่างไร เราไม่เอาเรื่องในอดีตของโจรพวกนี้ คนที่เดินทางผิดก็ยังมีโอกาสกลับตัว วันหน้าหากพบเจอเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือเช่นนี้อีก พวกเขาก็จะให้ความร่วมมืออย่างดี ไม่ใช่คิดแต่ว่าค่ายเมฆาดำถูกหลอกใช้แล้วฆ่าทิ้งดังลาลากโม่เสร็จก็ถูกฆ่า ต่อต้านทางการด้วยชีวิต”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรดูบรรดาขุนนางที่สีหน้าแตกต่างกันไปด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย ตรัสย้ำทีละคำ “โจรพวกนี้ปราบกบฏ มีความชอบ ความชอบชดใช้ความผิด ให้อยู่ชานเมืองหลวงเป็นชาวบ้านสงบเสงี่ยมมีอันใดไม่ดี”
ยังมีขุนนางที่ยังไม่ยอมแพ้ทูลอย่างใส่อารมณ์ว่า “อย่างไรพวกเขาก็เป็นโจรภูเขา เห็นแก่ปราบกบฏมีความชอบ ไม่ถือสาเรื่องที่ผ่านมาก็เพราะพระเมตตาของฝ่าบาท แต่จะคู่ควรกับที่นาพระราชทานของฝ่าบาทได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองดูขุนนางที่กล่าวทีหนึ่งด้วยความรู้สึกเหมือนมองพวกเบาปัญญา ตรัสพระสุรเสียงนิ่งเรียบ “ซินมู่ ซินไต้จ้าวได้ช่วยราชสำนักแก้ปัญหาทหารกบฏ ยังช่วยราษฎรมากมายรอดพ้นจากอุทกภัย ความชอบใหญ่หลวงนี้ พระราชทานที่นาไม่คู่ควรหรือ เราพระราชทานที่นาให้เขาไปแล้ว ขอเพียงไม่ทำผิดกฎหมาย จะนำไปใช้อย่างไรก็เรื่องของเขา”
มีขุนนางยังคิดทูลต่อ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เริ่มพระพักตร์เคร่งเครียด “วีรบุรุษไม่ถามที่มา[1] เรื่องนี้ไม่ต้องหารือกันอีก เลิกประชุม!”
ขุนนางส่วนใหญ่ต่างก็พากันเดินออกไปตามธรรมเนียม มีแต่ขุนนางใหญ่เช่นเสนาบดีกรมพิธีการอยู่ต่อ ไปหารือที่ตำหนักเฉียนชิงกงต่อ
ขุนนางใหญ่เหล่านี้สบตากันไปมา เริ่มคาดเดาเรื่องที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ต้องการหารือ
ทรงคิดจะเสนอเรื่องฝังพระศพฮองเฮาซินในสุสานหลวง!
[1]สำนวนหมายถึง คนเราแม้ชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่ก็พยายามเพื่อความสำเร็จจนเป็นวีรชนได้