สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 308 ความต้องการของไทเฮา
ตอนที่ 308 ความต้องการของไทเฮา
ไทเฮาตรัสเช่นนี้ออกมา ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็แอบขมวดพระขนง สีพระพักตร์องค์หญิงใหญ่เจาหยางเองก็ยิ่งเคร่งเครียด
ซินโย่วกลับทูลด้วยท่าทีสงบนิ่งมาก “มารดาเป็นเพียงมารดาบุญธรรมของกระหม่อม มิใช่มารดาแท้ๆ เดิมก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิต ก็ย่อมไม่เหมือนพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิต” ไทเฮาพยักพระพักตร์ ส่งสายพระเนตรมองบุตรชาย โทสะรุนแรงตอนเสด็จมาก็คลายลงไปมาก เห็นชัดว่าคำพูดซินโย่วทำให้พอพระทัยมาก
ไทเฮาพอพระทัย ในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับรู้สึกไม่พอพระทัย
แต่ไรมาเสด็จแม่ไม่ลงรอยกับซินซิน คนเราเกลียดผู้ใดก็เกลียดของอันเป็นของคนผู้นั้น ไม่ยินดีที่เห็นบุตรชายของเขากับซินซินกลับมาเป็นเรื่องที่คาดไว้แล้ว มู่เอ๋อร์บอกว่าเป็นเพียงบุตรบุญธรรมซินซิน แม้จะปลอบพระทัยเสด็จแม่ได้ แต่กลับทำให้แผนการวันหน้าของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ราบรื่น
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลัวไทเฮาจะหาเรื่องซินโย่วอีก จึงตรัสพระสุรเสียงนิ่งเรียบขึ้นว่า “พวกเจ้าเดินทางรอนแรมมาไกล ก็คงเหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“กระหม่อมทูลลา”
ไทเฮามองดูชายหนุ่มที่เปื้อนฝุ่นมอมแมมไปทั้งตัวด้วยแววตาเยียบเย็น ก่อนที่จะไปหยุดสายตาที่องค์หญิงใหญ่เจาหยาง “ข้าจำได้ว่าเจ้าสนิทกับซินซื่อมาตลอด ในเมื่อบุตรบุญธรรมนางกลับมาแล้ว เจ้าก็ไปเป็นเพื่อนคุยให้มากหน่อยสิ”
มุมปากองค์หญิงใหญ่เจาหยางกระตุกทีหนึ่ง
นางอยู่ต่อก็เพราะอยากรู้ว่ามารดาจะพูดอันใดกับพี่ชาย มู่เอ๋อร์จะได้ไม่เสียเปรียบโดยไม่รู้ตัว คิดไม่ถึงท่านแม่ยังอ้างพี่สะใภ้ขับไล่นางอย่างสมเหตุสมผล
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงเป็นห่วงว่าสองแม่ลูกจะมีเรื่องกัน ก็ตรัสว่า “เจาหยาง เจ้าเองก็กลับไปได้แล้ว เรารู้แล้ว มู่เอ๋อร์ไม่อยู่เมืองหลวงหลายวันนี้ เจ้าเองก็นอนไม่ค่อยหลับ”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางย่อกายคำนับออกจากตำหนักไป
พอบุตรีไปแล้ว ไทเฮาก็ตรัสคำพูดที่อัดแน่นสั่งสมไว้ออกมาทันที “ฮ่องเต้ โลงศพซินซื่อกลับวัง ทรงคิดจัดการเช่นไร”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้ว่าช้าเร็วไทเฮาย่อมตรัสถามเรื่องนี้ ในพระทัยได้แต่ถอนพระปัสสาสะ “ซินซินเป็นภรรยาข้า ย่อมต้องฝังในสุสานหลวง”
ไทเฮากริ้วหนัก “ภรรยาอันใด ตั้งแต่นางที่เป็นถึงฮองเฮาหนีออกจากวังไป ทำให้เจ้าที่เป็นถึงฮ่องเต้ต้องโดนหัวเราะเยาะ นางไม่คู่ควรเป็นภรรยาเจ้า!”
ตอนยังอยู่คิดอยากทำอันใดก็กระทำตามอำเภอใจ เหิมเกริมไร้ความยำเกรง ตายไปแล้วยังได้รับเกียรติ ได้ฝังในสุสานหลวง นางยึดครองเรื่องดีๆ ไปหมดสิ้นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“เสด็จแม่อย่าได้กริ้ว” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงลูบหลังปลอบพระทัยไทเฮา
ไทเฮาสีพระพักตร์บึ้งตึง “ฮ่องเต้ทรงรับปากก่อนว่าจะไม่อนุญาตให้ซินซื่อฝังในสุสานหลวง ข้าก็จะไม่โมโหแล้ว”
“เสด็จแม่ ซินซินหนีออกจากวังไปก็เพราะบุตรชายผิดคำมั่นก่อน…”
“ผิดคำมั่นอันใด” พอตรัสถึงเรื่องนี้ พระอารมณ์ไทเฮายิ่งรุนแรงขึ้น “ทรงเป็นฮ่องเต้ นางไม่มีบุตร หรือว่าจะให้ตระกูลเฉินเราไร้สิ้นทายาท ทรงเสี่ยงชีวิตจนได้ครอบครองแผ่นดินนี้ สุดท้ายมอบให้บุตรชายผู้อื่นไปครอง? ข้าด้อยประสบการณ์ ไม่รู้หนังสือ แต่ก็รู้ว่าหากปล่อยให้ทรงทำเช่นนี้ วันหน้าไปถึงปรภพก็จะไม่มีหน้าพบบิดาฮ่องเต้…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยิ้มเฝื่อน “เสด็จแม่ ซินซินไม่ใช่ว่าให้กำเนิดไม่ได้ ตอนนางไปจากวังหลวง นางตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่าแล้ว”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
ตอนนั้นหากเขายืนยันอีกสักระยะหนึ่ง ต้านทานแรงกดดันจากเสด็จแม่กับบรรดาขุนนางเอาไว้ ก็คงไม่เป็นเช่นตอนนี้
“นางให้กำเนิดได้แล้วอย่างไร เจ้าเป็นถึงฮ่องเต้ ต้องมีนางเพียงผู้เดียวหรือ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่คิดคุยเรื่องนี้ต่อ “ไม่ใช่ว่าข้าเชื่อฟังเสด็จแม่แล้วหรือ แต่อย่างไรข้ากับซินซินก็เป็นคู่สามีภรรยาผ่านการสมรส คิดถึงว่านางต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไม่อาจเข้าฝังในสุสานหลวงได้ ในใจก็รู้สึกเสียใจ กล่าวกับเสด็จแม่ตามตรง หัวใจข้าไม่ค่อยดีมาหลายวันแล้ว”
ไทเฮาทรงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “ให้หมอหลวงมาตรวจแล้วหรือยัง”
“ตรวจแล้ว เพราะออกศึกในวัยหนุ่มทำให้เสียสุขภาพ พออายุมากขึ้น โรคเล็กน้อยก็ถามหา”
“โรคหัวใจไม่อาจปล่อยปละละเลย ให้หมอหลวงมาตรวจอีกรอบ ให้วางแผนการรักษา…” ไทเฮาพลันลืมเรื่องฮองเฮาซินไปเสียสนิท บ่นสุขภาพบุตรชายไม่หยุด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อดทนฟังจบ ก็ตรัสพระสุรเสียงอ่อนลง “แต่พอนึกถึงว่าโลงศพซินซินยังตั้งอยู่นอกวัง ในใจบุตรชายก็ยากจะสงบลงได้ เสด็จแม่ ทรงรับปากเถอะ”
ไทเฮาเม้มพระโอษฐ์แน่น สีพระพักตร์เปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุด สุดท้ายก็สงสารสุขภาพบุตรชาย เลือกถอยก้าวหนึ่ง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับปากข้า อย่าได้อยู่ๆ บอกว่าซินมู่เป็นบุตรชายของเจ้ากับซินซื่อ ข้ารับไม่ได้”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนแย้มสรวลพยักพระพักตร์ “เสด็จแม่วางใจ ซินมู่เองก็บอกแล้ว ว่าซินซินเป็นมารดาบุญธรรม”
บุตรชายรับปากแล้ว ไทเฮาจึงกลับไปอย่างพอพระทัย
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ค่อยๆ ลงประทับ สีพระพักตร์ไร้รอยยิ้ม
เขาไม่ใช่ฮ่องเต้หนุ่มที่สั่นคลอนง่ายดายเหมือนเมื่อหลายปีก่อนอีกแล้ว แม้เป็นมารดา ก็ไม่อาจขัดขวางแผนการของเขาได้
แต่ท่านแม่อายุมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าปะทะแข็งกร้าว ค่อยๆ ก้าวไปสู่แผนการของเขาที่ละก้าวก็พอ อย่างไรเขาก็ยังหนุ่ม มีเวลาและความอดทนมากพอ
ก้าวแรกก็คือทำให้ซินซินได้เข้าฝังในสุสานหลวงในฐานะฮองเฮาก่อน
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสด็จเข้ามาในห้องทรงอักษร หยิบภาพวาดจากช่องเก็บของออกมาคลี่ช้าๆ ภาพตรงหน้าก็คือชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มมีเรียวตาหงส์คู่หนึ่งเฉกเช่นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ สง่าราศีสูงศักดิ์
มหาขันทีซุนเหยียนเฝ้ามองอยู่ด้านข้าง เห็นภาพนี้จนรู้สึกชินแล้ว
หากฮ่องเต้ไม่ได้ทรงทอดพระเนตรดูภาพวาดซินไต้จ้าววันละครั้งสองครั้ง แม้แต่เขาเองก็คงไม่ชินแล้ว
“ซุนเหยียน เจ้าว่าเหตุใดผู้อื่นมองไม่ออกว่าซินมู่เหมือนเรามาก”
ซุนเหยียนมุมปากสั่นไหวเล็กน้อย ในใจคิดว่าฮว่าไต้จ้าวต้องการวาดให้พระองค์พอพระทัย จึงได้วาดขัดกับความคิด พระองค์ทรงเชื่อว่าซินไต้จ้าวหน้าตาเช่นนี้จริงหรือ
“ไร้แววตา” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แค่นพระสุรเสียงเยียบเย็น สั่งการขันทีให้เรียกคนจากสำนักราชวังเข้าวังมาหารือเรื่องพิธีพระศพฮองเฮาซิน
ทุกคนที่ลงใต้ครั้งนี้แยกย้ายกันกลับบ้าน ไป๋อิงเพิ่งลงจากหลังม้า ก็พบว่าขุนพลไป๋มายืนรออยู่หน้าประตู
นางรีบวิ่งเข้าไปเอ่ยว่า “ท่านแม่ เหตุใดไม่พักอยู่ในห้อง”
“ได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว ข้าทนรออยู่แต่ในห้องไม่ไหว” ขุนพลไป๋มองประเมินไป๋อิง เห็นบุตรสาวสบายดี ก็ถามถึงซินโย่ว “คุณชายซินสบายดีไหม”
“ตกน้ำล้มป่วยไปหลายวัน ตอนนี้หายดีแล้ว…” เอ่ยถึงชายหนุ่มที่ไม่ว่ายามใดล้วนดำรงท่าทีสงบนิ่งผู้นั้นแล้ว แววตาไป๋อิงก็เต็มไปด้วยความชื่นชม
สองแม่ลูกเข้าไปในห้องแล้ว ขุนพลไป๋ก็ถามเรื่องมากมายเกี่ยวกับการลงใต้ครั้งนี้
ไป๋อิงเล่าทีละเรื่อง ก่อนจะลังเลเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้ารู้สึกว่าช่างยากนักที่จะมองให้เห็นถึงความคิดส่วนลึกของซิ่วอ๋อง
“อย่างไรหรือ”
ไป๋อิงเล่าเรื่องในวัดร้าง ก่อนจะเอ่ยอย่างสงสัยว่า “หากคุณชายซินเกิดเรื่อง เห็นชัดว่าซิ่วอ๋องได้ประโยชน์ที่สุด แต่ความรู้สึกข้า เหมือนไม่ใช่ฝีมือเขา ซิ่วอ๋องยังให้ความสนิทสนมกับคุณชายซินมาก…”
“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าคิดอย่างไรต่อซิ่วอ๋อง”
“ข้า…” ในห้วงความคิดของไป๋อิงมีภาพใบหน้าซิ่วอ๋องผุดขึ้นมา นางค่อยๆ ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
หากหมายถึงแค่ให้อยู่ร่วมกับซิ่วอ๋อง ก็ยากจะนึกรังเกียจเขากระมัง
ความคิดนี้ ไป๋อิงไม่กล้ากล่าวกับมารดาตน
ขุนพลไป๋ตบหลังมือบุตรสาว “เจ้าไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ไปคารวะพระศพฮองเฮากับแม่”
“อืม”
เฮ่อชิงเซียวออกจากวังหลวงก็กลับไปจวนฉางเล่อโหวก่อน
เดินทางรอนแรมติดกันมาหลายวัน การอาบน้ำให้ดีๆ สักหน่อยกลายเป็นเรื่องเสียเวลา สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือมีงานมากมายรอเขาอยู่ เขาต้องอาบน้ำชำระฝุ่นตามร่างกายก่อนค่อยว่ากัน
ขบวนเคลื่อนเข้าเมืองหลวงมาอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ จวนฉางเล่อโหวย่อมได้ยินข่าวมาแล้ว น้ากุ้ยไปชะเง้อรอคอยอยู่หน้าจวนเช่นกัน