สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 307 ให้ข้าดูหน่อย
ตอนที่ 307 ให้ข้าดูหน่อย
ราษฎรบนท้องถนนเห็นขบวนยาวค่อยๆ เคลื่อนมาช้าๆ ก็ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ครึกครื้น
“นี่คือขบวนรับโลงพระศพฮองเฮากลับเมืองหลวงหรือ ฮ่องเต้ถึงกับเสด็จออกมารับด้วยพระองค์เอง…”
“พวกเจ้าดู ร่มหมื่นราษฎร์!”
“ไหนกัน เหตุใดมีร่มหมื่นราษฎร์”
“เจ้าไม่รู้หรือ ตอนคุณชายซินไปรับโลงพระศพฮองเฮาซินกลับเมืองหลวงด้วยตนเอง ผ่านอำเภอไป๋อวิ๋นประสบเหตุการณ์อุทกภัย โชคดีที่คุณชายซินช่วยเหลือ ชาวบ้านสองหมู่บ้านจึงไม่ได้ถูกน้ำไหลบ่ากวาดไป สร้างบารมียิ่งใหญ่ ร่มหมื่นราษฎร์คู่เดียวจะมีอันใดกัน”
“ข้ายังได้ยินว่าคุณชายซินทุ่มเทแรงกายปราบโจร สังหารรังโจรปล้นฆ่าทิ้ง…ได้ยินมาจากไหนอย่างนั้นหรือ ก็พ่อค้าแซ่ต้วนที่ลงใต้ไปทำการค้าเกือบถูกโจรภูเขาสังหาร ไม่นานก่อนหน้านี้เขานำขบวนพ่อค้ากลับมาเมืองหลวง ข้าได้ยินเข้าพอดี”
“คุณชายซินคือใครน่ะหรือ คุณชายซินก็คือบุตรชายฮองเฮาซินไงเล่า”
“บุตรชายฮองเฮาซิน ซี๊ด…นั่นมิใช่องค์ชายหรือ”
“ยังต้องเอ่ยอีกหรือ”
ราษฎรพากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลอยไปเข้าพระกรรณฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ลดความเศร้าในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ลงได้มาก
มู่เอ๋อร์ลงใต้ครั้งนี้สร้างชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ประชา ทำให้อุปสรรคต่อความคิดวันหน้าของเขาลดลงไม่น้อย ออกเดินทางไปครั้งนี้นับว่าถูกต้อง เพียงแต่อันตรายไปสักหน่อยเท่านั้น
พอถึงวังหลวง ไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องอันใดกับบรรดาขุนนางอีก โลงพระศพฮองเฮาซินตั้งอยู่วังตากอากาศชั่วคราว พวกซินโย่วตามฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เข้าวัง
ตำหนักเฉียนชิงกงกำลังอบอุ่นพอดี นางกำนัลในวังยืนอยู่ในมุมตำหนักกำลังโบกพัดสะบัดไปมาระบายอากาศ เป็นความสบายที่ยามออกเดินทางไกลไม่อาจเทียบได้
พระราชทานเก้าอี้นั่งแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ทอดพระเนตรใบหน้าซินโย่ว “เดินทางไปครั้งนี้ ซินไต้จ้าวลำบากแล้ว”
ผอมลง แต่ก็มิได้ตากแดดจนดำ
“ได้ไปรับโลงศพท่านแม่เข้าเมืองหลวงด้วยตนเอง เป็นวาสนาของกระหม่อม ไม่รู้สึกลำบากแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรมองชายหนุ่มที่มิได้แสดงท่าทีต่ำต้อยก็ถอนพระปัสสาสะ “เรารู้ว่าเจ้าจิตใจดี ทนเห็นราษฎรรับทุกข์ไม่ได้ แต่บางเรื่องก็ต้องประมาณตนเองก่อนดำเนินการ ไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ต้องคิดถึงมารดาเจ้า”
“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซิ่วอ๋องนั่งอยู่อีกทาง เงียบฟังฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงสนทนากับซินโย่วคล้ายดังบิดาสนทนากับบุตรชาย ส่วนเขาเป็นคนนอกอย่างสิ้นเชิง
“ตอนเจ้าตกเนินเขาหายสาบสูญไปหลายวัน ได้รับความช่วยเหลือมาได้อย่างไร” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถาม
ในรายงานด่วนรายงานเพียงแค่เรื่องสำคัญ ไม่ได้รายงานรายละเอียดต่างๆ
ซินโย่วมองเฮ่อชิงเซียวทีหนึ่ง สีหน้าฉายแววซาบซึ้งอยู่มาก “กระหม่อมรอดชีวิตกลับมาได้ ก็เพราะใต้เท้าเฮ่อ…”
ได้ฟังซินโย่วเล่าจบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ส่งสายพระเนตรชื่นชมไปทางเฮ่อชิงเซียว “ชิงเซียว ลำบากเจ้าแล้ว เราเลือกคนไม่ผิดจริงๆ”
เฮ่อชิงเซียวได้รับพระราชทานเก้าอี้นั่งเช่นกัน รีบลุกขึ้นคำนับ “คุ้มกันซินไต้จ้าวเป็นหน้าที่ของกระหม่อม”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์พอพระทัย ตรัสถามถึงเรื่องการปราบโจรต่อ
ซินโย่วลุกขึ้นยืน “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งจะกราบทูล”
“เจ้าว่ามา”
“พวกทหารกบฏที่มีหลี่เฉียงเป็นแกนนำยึดครองค่ายเมฆาดำ ปล้นฆ่าชิงทรัพย์ โหดร้ายอย่างมาก ทำให้ราษฎรโดยรอบต่างอยู่ในความหวาดกลัว ค่ำคืนไม่อาจข่มตาหลับ ภูเขาอูอวิ๋นตั้งอยู่ในชัยภูมิป้องกันง่ายโจมตียาก หากบุกโจมตีเข้าไปก็จะสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับฝ่ายเรา กระหม่อมกล่อมชาวค่ายเมฆาดำกลุ่มเดิม ทุกคนให้ความร่วมมือจึงได้จัดการภัยร้ายนี้ได้…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์เล็กน้อย “เราได้ยินมาแล้ว”
ศีรษะนายอำเภออำเภอหลิง ยังมีพวกทหารกบฏหลี่เฉียง ไม่ว่าเป็นหรือตายล้วนถูกส่งเข้าเมืองหลวง นับว่าเป็นเรื่องที่ราชสำนักจับตาดูอยู่ในระยะนี้
“คนค่ายเมฆาดำส่วนใหญ่เป็นราษฎรที่อับจนหนทาง หลังจากครั้งนี้พวกเขาคิดกลับตัวเป็นคนดี กระหม่อมจึงได้ถือวิสาสะรับพวกเขาไว้ ขอฝ่าบาทลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ซินโย่วกล่าวไปก็ลงคุกเข่าไปด้วย
แววพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้วูบไหว
มิน่าเขาเห็นจำนวนคนในขบวนไม่ถูกต้อง ที่แท้ยังมีพวกโจรภูเขาปะปนอยู่ไม่น้อย
“พ่ะย่ะค่ะ”
“มีจำนวนเท่าไร”
“สองร้อยกว่า”
“แค็ก แค็ก แค็ก…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้น้ำลายติดพระศอ สีพระพักตร์สับสน “ซินไต้จ้าวคิดหรือยังว่าจะจัดการคนเหล่านี้อย่างไร”
ให้เขาช่วยเลี้ยงดูใช่ว่าไม่ได้ แต่คนสองร้อยมากไปสักหน่อยจริงๆ หากใช้เงินในคลังมาเลี้ยงดูโจรกลุ่มหนึ่ง เสนาบดีกรมคลังก็คงสู้ตายกับเขาเป็นแน่ แต่หากใช้เงินส่วนตัว…เขาเองก็มิได้ร่ำรวย!
“กระหม่อมพอมีสะสมอยู่บ้าง คิดว่าจะซื้อโรงนาชานเมืองหลวงสักแห่งหนึ่ง ให้คนเหล่านี้ไปทำนา”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คาดไม่ถึงอยู่บ้าง “พวกเขายินดีทำนา?”
ซินโย่วนิ่งมองฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทีหนึ่ง ทูลด้วยสีหน้าเป็นปกติ “เดิมพวกเขาสูญเสียที่นาไปไร้ทางดำรงชีพ จึงได้ไปเป็นโจร มีที่นาใหม่ให้เพาะปลูกเป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนาอย่างที่สุด จะไม่ยินดีได้อย่างไร”
คำพูดนี้ทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
ราษฎรสูญเสียที่ดินทำกินกลายเป็นโจร พวกคหบดีร่ำรวยยึดครองที่ดินนับวันยิ่งมากขึ้น พวกเขาไม่ต้องจ่ายภาษี คลังหลวงว่างเปล่า แต่กลับต้องเพิ่มเบี้ยหวัดให้กองกำลังไปปราบโจร เป็นวัฏจักรเลวร้ายอย่างที่สุด จุดจบของราชวงศ์มีเพียงสถานเดียว ก็คือทางตัน
นี่คือคำพูดที่ซินซินพูดกับเขาตอนเริ่มคิดปฏิวัติระบบใหม่
ซินโย่วเห็นสีพระพักตร์เหม่อลอยของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
พาโจรภูเขาเข้าเมืองหลวง ให้คำสัญญากับโจรภูเขาที่เลือกรับปากนางก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่มีอีกเรื่องหนึ่งก็คือ นางอยากรู้ทำให้คนผู้นี้ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลที่เขายากจะได้สัมผัสลึกซึ้ง โจรภูเขาพวกนี้อยู่เมืองหลวงตั้งใจทำนา ก็จะเป็นการเตือนคนผู้นี้ถึงผลจากการที่ราษฎรสูญเสียที่ดินทำกิน
ดูท่าทางแล้วยังพอรับฟังอยู่ นับได้ว่านางไม่ได้เสียแรงเปล่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะพระราชทานโรงนาแห่งหนึ่งให้เจ้า ที่ดินดีห้าร้อยหมู่”
ซินโย่วประสานมือ “กระหม่อมมิบังอาจรับไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดมิบังอาจรับไว้ หากทหารกบฏไม่ได้เจ้าก็ยังไม่รู้ว่าจะปราบได้เมื่อใด เพราะเจ้า ชาวบ้านเหล่านั้นจึงไม่ได้เสียชีวิตเพราะน้ำไหลบ่า ทำผิดลงโทษ ทำดีมีบำเหน็จ นี่คือที่เจ้าควรได้รับ”
ซินโย่วไม่ได้ปฏิเสธต่อ กล่าวขอบพระทัยเสียงก้องกังวาน “กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท”
โจรภูเขาสองร้อยกว่าเปิดเผยตัวตนต่อหน้าคนผู้นี้แล้ว ก็ไม่กลัวว่าจะมีคนนำเรื่องนี้มาหาเรื่องนางแล้ว
ในยามนี้เอง ขันทีก็ส่งเสียงรายงานดัง “ไทเฮาเสด็จ…”
ในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กระตุกวาบ รีบลุกขึ้นไปรอรับ
องค์หญิงใหญ่เจาหยางตามมาด้านหลังด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
เสด็จแม่เสด็จมาตอนนี้ ย่อมเพราะได้ยินเรื่องพี่สะใภ้มาแล้ว
แม้ไทเฮาพระชนมายุมากแล้ว แต่ก็เสวยได้ดี ไม่ค่อยมีเรื่องกังวลพระทัย ประสงค์สิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ชีวิตเช่นนี้ดีกว่าคนในวัยสี่ห้าสิบปีมาก ขันทีในวังรายงานจบ หญิงชราก็ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เสด็จแม่เสด็จมาได้อย่างไร” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสด็จเข้าไปประคองแขนไทเฮา
“ทำไม กลัวข้ารู้ว่าที่นี่ครึกครื้นหรือ”
“มิได้ เพียงแต่รู้ว่าอากาศร้อน เดินมาก็จะทำให้เหงื่อออก เสด็จแม่มีเรื่องอันใดต้องการเรียกหา ก็ส่งคนมาแจ้งสักคำก็พอ”
ไทเฮาไม่คิดฟังวาจาเหล่านี้ ดวงตาขุ่นมัวทั้งสองกลับกวาดมองไปยังทุกคนที่คุกเข่าคำนับ สายตาไปหยุดที่ชายหนุ่มผู้หนึ่ง “ข้าได้ยินว่า ซินซื่อได้จากไปที่แดนใต้แล้ว บุตรบุญธรรมนางไปรับโลงศพนางเข้าเมืองหลวงด้วยตนเอง คนไหนคือบุตรบุญธรรมนาง”
ซินโย่วก้าวออกมาก้มหน้าประสานมือ “กระหม่อมซินมู่ ถวายบังคมไทเฮา”
เป็นหนุ่มน้อยผู้นี้ดังคาด
สายพระเนตรไทเฮาฉายแววรังเกียจ ตรัสพระสุรเสียงนิ่งเรียบ “เงยหน้าขึ้นให้ข้าดูหน่อย”
ซินโย่วหลุบตาลงก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ไทเฮาจ้องมองใบหน้านางเขม็ง พอดูไปครู่หนึ่งก็พลันยิ้มกล่าวว่า “ไม่เหมือนซินซื่อแม้สักนิด”