สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 306 ฮ่องเต้เสด็จมารับด้วยพระองค์เอง
ตอนที่ 306 ฮ่องเต้เสด็จมารับด้วยพระองค์เอง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตัดสินพระทัยจะเสด็จออกไปรับนอกเมืองด้วยพระองค์เอง ความคิดนี้ย่อมถูกคัดค้านจากหลายฝ่ายไม่น้อย
เผชิญหน้ากับการทูลคัดค้านของบรรดาขุนนางใหญ่หลายคน สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “เรารับฮองเฮากลับบ้าน ไหนเลยไม่ต้องตามธรรมเนียม”
เสนาบดีกรมพิธีการฝืนทำใจกล้าทูลว่า “ฮองเฮาเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดิน แบบอย่างของวังหลัง แต่ ซินซื่อ[1]ออกจากวังไปได้สิบกว่าปีแล้ว ละเมิดธรรมเนียม ไม่เคยได้ข่าวคราว จะคู่ควรให้ฝ่าบาทเสด็จไปรับถึงนอกเมืองด้วยพระองค์เองได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เราคิดว่าคู่ควร”
“พวกกระหม่อมรู้ว่าฝ่าบาทมีน้ำพระทัย แต่หากฝ่าบาทเสด็จไปรับถึงนอกเมืองด้วยพระองค์เอง จะทำให้ราษฎรรู้สึกว่าทำผิดธรรมเนียมก็ไม่เป็นไร ส่งผลเสียต่อความสงบสุขของสังคมพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมพิธีการยังคงพยายามทูลค้าน
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงสะบัดแขนฉลองพระองค์พลางแค่นเยาะ “มีฮ่องเต้บางพระองค์ หลงใหลสุรานารี สำเริงสำราญ ทำจนแผ่นดินล้มละลาย ยังอยู่มาได้หลายสิบปี เราออกไปนอกเมืองรับภรรยาที่จากไปด้วยตนเอง ส่งผลต่อความสงบสุขของสังคม?”
สายพระเนตรฮ่องเต้เยียบเย็นกวาดมองไปยังบรรดาขุนนางใหญ่ที่คัดค้านช้าๆ เส้นเลือดที่ขมับปูดเขียวแสดงให้เห็นว่าทรงกำลังระงับโทสะ “เรามีชาติกำเนิดมาจากชาวบ้าน รู้ดีว่าราษฎรสนใจเรื่องใด ราษฎรไม่ได้ว่างเพียงนั้น พวกที่ว่างก็คือพวกเจ้า มีเวลาชี้มือชี้ไม้สั่งการเรื่องในครอบครัวเรา ไม่สู้ทุ่มเทจิตใจไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ หาเงินเข้าคลังให้มากจะดีกว่า!”
คำพูดนี้ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย ทำเอาเสนาบดีกรมพิธีการหน้าแดงก่ำไปถึงใบหู รู้สึกอับอายเสียหน้าอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สีพระพักตร์เรียบเฉยไร้ความรู้สึก ทอดพระเนตรเห็นเสนาบดีกรมพิธีการมองซ้ายทีขวาที สีหน้าเหมือนคิดอยากหาเสาชนให้ตาย ในพระทัยฮ่องเต้กลับทรงคิดว่ารีบโขกสิ จะได้เปลี่ยนเสนาบดีกรมพิธีการคนใหม่ที่นิสัยดีกว่านี้
อาจเป็นเพราะสังเกตได้ถึงความเดือดดาลของฮ่องเต้ เสนาบดีกรมพิธีการก็ฉลาดที่จะเงียบลง
มิใช่เขาคัดค้านเพียงคนเดียว ถือสิทธิ์อันใดให้เขาล่วงเกินฮ่องเต้นรนหาที่ตายเพียงลำพัง ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการมั่นคงไปไม่ดีกว่าหรือ
เห็นเสนาบดีกรมพิธีการหยุดชะงัก ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามคนที่เหลือ “ยังมีคนมีความเห็นเรื่องครอบครัวของเราอีกหรือไม่”
บรรดาขุนนางต่างก้มหน้า ทูลพร้อมกันว่า “กระหม่อมมิกล้า ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ต้องการเสด็จออกจากเมืองหลวง บรรดาขุนนางย่อมต้องติดตามไปในขบวน ใต้เท้าเติ้งขมวดคิ้วแน่น แอบกระซิบกับจังโส่วฝู่
“วันนี้ทูลเตือนฮ่องเต้ไม่ให้เสด็จออกนอกเมืองไปรับโลงพระศพฮองเฮาซินไม่สำเร็จ วันหน้าคิดยับยั้งไม่ให้ฮองเฮาซินฝังในสุสานหลวง เกรงว่าจะยากยิ่งแล้ว”
หากไม่มีซินมู่ ฮองเฮาซินฝังในสุสานหลวงในฐานะฮองเฮา สำหรับพวกเขาเหล่านี้แล้วไม่ได้สำคัญอันใด
แม้ฮองเฮาซินตอนนั้นได้ใจผู้คน แต่ไม่มีฐานอำนาจจากตระกูลเดิม ไม่มีทายาทสืบทอด ศพหนึ่งเดียวดายฝังที่ใดย่อมไม่สำคัญ
แต่พอมีซินมู่ย่อมแตกต่าง ทันทีที่ฮองเฮาซินรักษาสถานะฮองเฮาไว้ได้ ซินมู่ก็อาจเปลี่ยนไปเป็นองค์ชายที่ถือกำเนิดจากฮองเฮาได้ ถึงกับอาจได้ก้าวไปสู่เจ้าผู้ปกครองแผ่นดินต้าซย่า
ผู้สืบทอดที่ได้รับอิทธิพลความคิดจากฮองเฮาซินจะส่งผลอย่างไรต่อพวกเขา ไม่ต้องเอ่ยถึงก็คงรู้ได้
จังโส่วฝู่มองไปด้านหน้าทีหนึ่ง แววตาลุ่มลึกเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ทรงดึงดันจะออกไปรับด้วยพระองค์เอง ใช่เพียงเพราะฮองเฮาซิน…”
เกรงว่าเพราะการลงใต้ของซินมู่ครั้งนี้ สร้างความชอบยิ่งใหญ่ไว้มาก ได้ใจประชามากมาย ทำให้ฮ่องเต้ได้เห็นความสามารถบุตรชายตนเอง จึงได้ตั้งพระทัยรักษาตำแหน่งฮองเฮาของฮองเฮาซินเอาไว้
ได้แต่กล่าวว่า บุตรชายคนนี้มีความสามารถได้ดังใจจริง
จังโส่วฝู่ถอนหายใจหนัก
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสด็จออกไปนอกเมืองสิบลี้ มองดูขบวนที่เริ่มเคลื่อนใกล้เข้ามา
ขบวนนั้นค่อยๆ เคลื่อนมาด้านหน้าอย่างยิ่งใหญ่
ในฐานะฮ่องเต้ที่เคยผ่านสมรภูมิรบมากมายนับไม่ถ้วน ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรมองทีหนึ่งก็รู้สึกว่าผิดปกติ
จำนวนคนไม่ถูกต้อง มากเกินไป
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รีบเร่งเข้าไปหาด้วยความสงสัย
“ท่านอ๋อง ฝ่าบาทนำขุนนางมารอรับด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินรายงาน ซิ่วอ๋องมองไปทางซินโย่วทันที แน่นอนว่าเขาย่อมไม่คิดไปเองว่าเสด็จพ่อมารับเขา
ซินโย่วขี่ม้ามองไปยังขบวนที่มุ่งมาทางนี้
คนผู้นั้นมารับโลงศพท่านแม่?
นางหันไปมองโลงศพในขบวนรถม้าทีหนึ่ง
“ซินไต้จ้าว พวกเรารีบหน่อยดีกว่า” ซิ่วอ๋องเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย
พวกซิ่วอ๋องขี่ม้านำหน้าขบวนทะยานไป พอใกล้ถึงตรงหน้าก็กระโดดลงจากหลังม้าลงคุกเข่าคำนับที่พื้น
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ลงจากราชรถแล้วเสด็จเข้ามา พระสุรเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “รีบลุกขึ้น”
สายพระเนตรทอดมองไปยังใบหน้าซินโย่วเขม็งอย่างไม่อาจระงับพระอารมณ์ตื่นเต้น
ชายหนุ่มที่เขาคิดถึงมาหลายวันมายืนอยู่ตรงหน้า แม้มีความเหน็ดเหนื่อยเร่งเดินทางมา แต่สีหน้าก็ยังดีกว่าที่เขาคิดไว้มาก
“กลับมาได้เสียที” ต่อหน้าบรรดาขุนนางและชนชั้นสูง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้ตรัสมาก พยักพระพักตร์ให้ซินโย่ว
“ทำให้ฝ่าบาททรงเป็นห่วงแล้ว” ซินโย่วก้มศีรษะลงเล็กน้อย ทำให้มองไม่เห็นสีหน้า
“ลงใต้ครั้งนี้ เจ้าช่วยราษฎรปราบภัยโจรร้าย ไม่เสียทีที่มารดาอบรมเจ้ามา”
และไม่เสียทีที่เขาเฝ้ารอคอย… ในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงแอบคิดเช่นนี้
แม้ไม่ได้ตรัสวาจาที่เหลือออกมา แต่สำหรับบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊แล้ว ท่าทีฮ่องเต้กระจ่างชัดอย่างยิ่งแล้ว
ฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อซินมู่อย่างมากแท้จริง แต่กลับมีท่าทีต่อซิ่วอ๋อง…
คนไม่น้อยเหลือบมองไปยังซิ่วอ๋อง แต่เห็นสีหน้าซิ่วอ๋องยังคงสงบนิ่ง ถึงกับมุมปากยังคงมีรอยยิ้ม
ซิ่วอ๋องไม่คิดมากแม้สักนิดจริงหรือ
“กระหม่อมกระทำไปตามความคิดพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าบรรดาขุนนาง ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจที่เป็นที่โปรดปรานแม้แต่น้อย
“ทำไปตามความคิดได้ดีมาก!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยื่นพระหัตถ์ให้ซินโย่ว “มา ไปรับมารดาเจ้าพร้อมกับเรา”
ซินโย่วก้มหน้าประสานมือ “พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยื่นพระหัตถ์คว้าเอาแต่ความว่างเปล่า ได้แต่ชักพระหัตถ์กลับเก้อ
คนที่เห็นภาพนี้ต่างคิดว่า ซินมู่ไม่ฉลาดพอ ฮ่องเต้ให้เขาประคอง เกียรติยศยิ่งใหญ่เพียงนี้กลับไม่รับไว้
ซิ่วอ๋องเห็นภาพนี้ ขนตาก็ขยับไหวเล็กน้อย
ขบวนอารักขาโลงพระศพฮองเฮาซินใกล้เข้ามาแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสด็จเข้าไปรอรับทันที
องครักษ์ที่เดินอยู่ด้านหน้าเห็นฮ่องเต้เสด็จมา ก็หลบออกสองข้างทาง คนด้านหลังก็ตามลงคุกเข่าทั้งหมด เผยให้เห็นโลงศพบนรถม้าหน้าสุด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสด็จเข้าไปทีละก้าว พระอัสสุชลคลอพระเนตร ทรงเข้าประคองโลงศพสีดำเงาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง ตรัสพระสุรเสียงสะอื้นไห้ “ซินซิน พวกเรากลับบ้านกัน”
เสียงเขาเบามาก แต่ลมกลับพัดพาเข้าสู่โสตประสาทของซินโย่ว
ซินโย่วเม้มปากแน่น ก้มหน้าลงคุกเข่าตรงหน้าโลงพระศพฮองเฮาซิน น้ำตาไหลหยดร่วงลงมาบนพื้นแข็งเยียบเย็นตรงหน้า
มีเสียงร้องไห้ดังแว่วมา “พี่สะใภ้…”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางมือหนึ่งคว้าล้อรถม้า มือหนึ่งลูบโลงศพสีดำ น้ำตาพรั่งพรู
ข่งรุ่ยประคองมารดา ชายหนุ่มคุกเข่าบนพื้นหลั่งน้ำตานิ่งเงียบ มองมารดาด้วยแววตาเป็นห่วง
ภาพนี้ ไม่ว่าบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงยินดีหรือไม่ ต่างได้แต่คุกเข่านิ่งเงียบ
พอจังโส่วฝู่คุกเข่าลงก็ได้ยินใต้เท้าเติ้งถอนหายใจอย่างไม่อาจทำใจยอมรับได้
ฮ่องเต้เสด็จมารับด้วยพระองค์เอง องค์หญิงใหญ่ร่ำไห้ข้างโลงศพ ภาพเช่นนี้ผู้ใดจะไม่คุกเข่าลงได้บ้าง แต่พอคุกเข่าลงเช่นนี้ก็เท่ากับยอมรับสถานะของฮองเฮาซินโดยปริยาย
ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด องค์หญิงใหญ่เจาหยางระบายความโศกเศร้าในใจออกมาแล้วก็กล่าวกับข่งรุ่ยว่า “ไปประคองน้องชายเจ้าขึ้นมา พื้นเย็นจะเป็นหวัดได้”
ข่งรุ่ยเดินเข้าไปก้มตัวลงประคองซินโย่ว “น้องซิน ลุกขึ้นเถิด”
ซินโย่วลุกขึ้นยืนเงียบๆ ดึงมือออกจากข่งรุ่ยเบาๆ “ขอบคุณท่านพี่”
ขบวนเริ่มเคลื่อนเข้าเมือง ขบวนที่เดิมยาวเหยียดอยู่แล้วก็ยิ่งยาวขึ้น
ทหารที่มาต้อนรับนายหนึ่งแอบกระซิบกับคนข้างๆ “รู้สึกไหมว่าจำนวนไม่ถูกต้อง”
“ไม่ค่อยถูกต้องจริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา”
โจรภูเขาสองร้อยกว่าเดินรั้งท้ายขบวน พอเดินเข้ามาใกล้เมืองยิ่งใหญ่อลังการ เจ้าแปดก็คว้าแขนหัวหน้าหก
“เป็นอันใดไปหรือ” เดิมหัวหน้าหกเองก็กำลังเคร่งเครียด ยามนี้ทำเอาสะดุ้งตกใจ
“ขา ขาอ่อน คิดไม่ถึงพวกเราเข้าเมืองมาเช่นนี้ได้”
[1] คำว่า ซื่อ ใช้ต่อท้ายหลังแซ่ของสตรี เพื่อเรียกขานแสดงว่าเป็นหญิงจากตระกูลนั้นๆ