สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 933 เซียวจี่จอมโหด
บทที่ 933 เซียวจี่จอมโหด
……….
พวกเขาเตรียมห้องฝึกฝนสำหรับเสี่ยวจิ้งคงไว้ที่เรือนหลันถิง เขาจะได้ใช้เวลาเรียนรู้ทักษะต่างๆ ในห้องนี้
หลังจากปล่อยเจ้าตัวเล็กไว้ที่ห้องฝึกฝนแล้ว เซียวเหิงก็ไปที่ห้องหนังสือเพื่อทำธุระของตัวเอง
บ่าวสองคนแบกร่างซ่างกวานชิ่งมาไว้ที่ห้องหนังสือ เซียวเหิงสังเกตได้ว่าเขาแก้มตอบดูซูบผอมทรุดโทรมลงไปมาก
“เกิดอะไรขึ้น โดนใครรุมสกรัมมารึ” เซียวเหิงทำหน้าตกตะลึง
ซ่างกวานชิ่งชี้นิ้วไปที่เก้าอี้เพื่อบอกให้บ่าวช่วยแบกเขาไปนั่งตรงนั้น
บ่าวอุ้มเขามาที่มุมฝั่งอาคเนย์ ทว่าซ่างกวานชิ่งส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้จะนั่งตรงนี้ ข้าจะไปนั่งตรงนั้น”
เขาต้องการนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามเพื่อให้เจ้าน้องชายเห็นสีหน้าที่เดือดดาลของตัวเองได้อย่างแจ่มชัด
จะว่าไปแล้ว สามพ่อลูกมีนิสัยต้องการแสดงตัวตนเหมือนกันไม่มีผิด
หลังจากได้นั่งดีๆ แล้ว ซ่างกวานชิ่งก็ให้พวกบ่าวออกไป “เอาละ พวกเจ้าไปได้แล้ว”
บ่าวทั้งสองจึงเดินออกไปอย่างเงียบๆ
เซียวเหิงเปิดหนังสือเล่มที่ต้องเอาออกมาระบายอากาศออก จากนั้นหรี่ตามองคนพี่ “เจ้าเป็นถึงบุตรของเซวียนผิงโหว ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าหรอก ข้าเดานะ เจ้าอยากได้ปืนอีกใช่ไหม”
ซ่างกวานชิ่งสูดปาก พลางคิด เจ้าน้องชายรู้ทันได้อย่างไร
เขาอ้าปากพะงาบ
ทว่าเจ้าน้องตัวดีเอ่ยแทรกขึ้น “ไม่ต้องแก้ตัว ข้าดูออก”
ซ่างกวานชิ่งหมดคำจะพูด
“เจ้าดูออกได้อย่างไร ไหนลองพูดมาซิ” ซ่างกวานชิ่งยกเท้าขึ้นมาบนโต๊ะ มือสองข้างประสานที่หลังท้ายทอย พร้อมกับเอนตัวลงพนักเก้าอี้อย่างสบายๆ
“เจ้าไม่ได้เผยพิรุธอะไรหรอก ข้าก็แค่พูดลอยๆ น่ะ” เซียวเหิงหัวเราะ
นอกจากจะถูกแม่สาวนั่นแกล้งแล้ว นี่เขาต้องมาโดนเจ้าน้องชายตัวดีแกล้งด้วยอีกคนหรือนี่! พวกเจ้านี่มันคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ ! นิสัยแย่เหมือนกันไม่มีผิด!
“ข้าไม่สนหรอก” เขาเบือนหน้าหนี แล้วเอ่ยต่อ “ข้าเกือบตายเพราะต้องมาดูแลเจ้าเณรน้อยนั่น! เจ้าน่าจะให้ปืนข้ามาซักสิบกระบอกถึงจะพอนะ!”
“สองพอ” เซียวเหิงตอบ
ซ่างกวานชิ่งหุบเท้าลง นั่งตัวตรง แล้วจ้องเขม็งไปทางผู้เป็นน้อง “อะไรกัน ปกติเขาต่อกันครึ่งๆ ไม่ใช่รึ”
“งั้น…กระบอกเดียว” เซียวเหิงตอบ
ครึ่งนึงของสองกระบอกก็คือกระบอกเดียวใช่ไหมล่ะ
ซ่างกวานชิ่งหรี่ตาทันที “ข้าจะไปฟ้องท่านแม่ ว่าเจ้าแกล้งข้า”
เซียวเหิงทำเป็นไม่สนใจ “นี่ขนาดหายจากพิษแล้ว ยังทำตัวเป็นเจ้าหนูอ่อนแออีกรึ สงสัยช่วงนี้คงกินข้าวไม่อิ่มสินะ”
ซ่างกวานชิ่งเบ้ปาก “สามกระบอก ห้ามน้อยกว่านี้แล้ว”
เซียวเหิง “ตกลง”
ซ่างกวานชิ่ง “ไม่ต่อรองแล้วรึ”
รู้งี้บอกไปว่าสี่กระบอกก็ดี!
หลังจากเอาชนะเจ้าน้องชายไม่สำเร็จ ซ่างกวานชิ่งก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ส่วนฝั่งเสี่ยวจิ้งคง หลังจากที่อ่านหนังสือและทำการบ้านเสร็จแล้ว ครึ่งวันเช้าผ่านไป ในที่สุดเขาก็ได้เจอกับเจียวเจียว
เขากระโดดลงมาจากชิงช้า แล้ววิ่งกุลุกๆ เข้าไปหากู้เจียว
“เจียวเจียว!”
เขากางแขนออก เตรียมจะเข้าไปโผกอดเจียวเจียวเหมือนกับที่เคยทำ
แต่พอวิ่งไปได้ครึ่งทาง จิ้งคงกลับชะงักทันที
เขาหยุดตัวเองได้อย่างมั่นคง และพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองล้มลงไปที่พื้น
เสี่ยวจิ้งคงเงยหน้าขึ้น พร้อมกับจ้องไปที่ใบหน้าของกู้เจียวด้วยสายตาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น “เจียว…เจียวเจียว”
วันงานแต่งยังหน้าขาวเต่งเหมือนไข่ต้มอยู่เลย ไหงวันนี้กลายเป็นไข่พะโล้ไปแล้ว
“อ๊ากกก!”
เขารีบเอามือกุมศีรษะตัวเองพร้อมกับทำหน้าน้อยใจ “ต้องโทษท่านพี่ซ่างกวานชิ่งเลย! พาข้าไปออกแดดตั้งสามวัน! แทบจะกลายเป็นปลาตากแห้งแล้ว!”
กู้เจียวหัวเราะจนเอียงตัวไปด้านหลัง
เมื่อเห็นเจียวเจียวหัวเราะร่วน จิ้งคงเองก็หัวเราะตาม
“แต่ว่า เจียวเจียว” จากนั้นเขาก็จ้องไปที่ใบหน้าของกู้เจียวต่อ “ดอกไม้บนหน้าหายไปไหนแล้วล่ะ”
เอ๋ ดอกไม้รึ
กู้เจียวทำหน้าตกใจ
ทว่าสิ่งที่แวบเข้ามาในหัวอย่างแรกคือ เสี่ยวจิ้งคงออกเสียงชัดแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงโตแล้วสินะ ไม่ใช่เด็กน้อยพูดไม่ชัดแบบแต่ก่อนแล้ว
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกขึ้นมาในใจ
เป็นความรู้สึกชื่นชมรึ
หรือว่ากังวล
แต่ก็มีความรู้สึกเสียดายปนอยู่เช่นกัน
กู้เจียวหวนคิดถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่นางอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้บนหลัง เป็นเจ้าเกี๊ยวชิ้นเล็กๆ ที่เดินตามบั้นท้ายของนางตลอดทั้งวันและคอยส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุดหย่อน
เจ้าตัวเล็กที่ตื่นมาร้องไห้งอแงหากวันไหนไม่ได้เห็นหน้านาง และชอบร้องขอให้นางช่วยหอมแก้มให้
เจ้าเณรน้อยที่ชอบนั่งคอยนางกลับมาอยู่ที่หน้าประตูเรือน
“เจียวเจียว เป็นอะไรไปรึ” เจ้าตัวเล็กถามหลังเห็นว่าเจียวเจียวของเขาจู่ๆ ก็เงียบไป
สายตาของเจ้าตัวเล็กเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
ไม่ว่าเสี่ยวจิ้งคงจะโตแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงเป็นเจ้าตัวเล็กของนางตลอดไป
กู้เจียวลูบศีรษะเขาพร้อมเอ่ย “คงเพราะข้าเองก็โตแล้วเหมือนกันกับเจ้า ดอกไม้นั้นก็เลยหายไป”
จิ้งคงในวัยหกขวบพยายามคิดหาเหตุผลที่เป็นไปได้ “เหมือนกับดอกไห่ถังใช่ไหม พอดอกร่วงหมดแล้ว ก็จะมีผลออกมา”
เหมือนกับถั่วลันเตาที่เขาเคยปลูกไว้ตอนอยู่ชนบท พอออกดอกเสร็จถึงจะมีฝักถั่วงอกออกมา
กู้เจียวทำหน้าครุ่นคิด ก่อนตอบไป “อืม ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“อ้อ” แล้วเสี่ยวจิ้งคงก็นึกถึงต้นกล้าถั่วในชนบทอีกครั้ง เขาไม่แน่ใจว่าทุกต้นจะบานและออกผลหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจปลูกเพิ่มอีกสองสามต้นเพื่อไว้สังเกต
เสี่ยวจิ้งคงจ้องมองกู้เจียวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความใสซื่อและความไร้เดียงสาของเด็ก “เจียวเจียว อย่าเศร้าไปเลย! ต่อให้ไม่มีดอกไม้บนหน้าแล้ว เจ้าก็ยังสวยที่สุดสำหรับข้านะ!”
สำหรับเจ้าตัวเล็ก เจียวเจียวของเขาคือสตรีที่สวยที่สุดที่เขาเคยพบเจอมาในชีวิต!
…
ตัดภาพมาที่เซวียนผิงโหว เขากำลังเข้าไปจับกุมท่านชายหมิงเย่ว์และทหารของเขาตรงละแวกตรอกปี้สุ่ย
เขาพาทั้งสองคนกลับไปยังสถานที่หนึ่งในจวนเซวียนผิงโหว ซึ่งเป็นที่ที่ใช้สำหรับการสอบปากคำ
มือของเซวียนผิงโหวเต็มไปด้วยเลือด
เขาจอดรถม้าของเขาไว้ที่หน้าจวน
ทหารยามที่เฝ้าประตูเดินเข้ามาเปิดม่าน เซวียนผิงโหวรีบใช้ผ้าเช็ดคราบเลือดที่มือออกแล้วเอ่ย “ฉังจิ่งไม่อยู่ ท่านโหวอย่างข้าเลยต้องลงมือเอง”
ทหารยามไม่กล้าเอ่ยอะไร
ด้วยความที่ท่านชายหมิงเย่ว์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ล้มง่ายๆ ให้องครักษ์ลับทั่วไปมาจัดการอาจไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก
เซวียนผิงโหวโยนผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดออกไปแล้วลงจากรถด้วยสีหน้าเย็นชา
ท่านชายหมิงเยว่และองครักษ์ของเขาถูกมัดและขังไว้ในห้องลับที่มืดสนิท
ขณะที่ท่านชายหมิงเย่ว์ยังได้สติ เขาไม่ได้ถูกลงโทษในขณะนี้ และอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขามาจากการต่อสู้กับเซวียนผิงโหว
แขนของเขากางกว้างและถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กจนขยับตัวไม่ได้ เลือดจากมุมปากค่อยๆ ไหลหยดลงบนพื้น
เขาจ้องเซวียนผิงโหวด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
เซวียนผิงโหวเดินขึ้นไปบนแท่นประหารชีวิตอย่างไม่เกรงกลัวราวกับเขาเป็นยมทูตจากนรก ท่านชายหมิงเย่ว์ถูกรังสีอำมหิตของอีกฝ่ายข่มไว้ทันที
ดวงตาของเขาสั่นเครือเล็กน้อย พลางคิดในใจ
คนคนนี้ไม่ธรรมดา!
เซวียนผิงโหวเริ่มเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง “ข้าไม่ชอบคนที่พูดจาวกไปวนมา เช่นนั้นข้าขอถามตรงๆ เลยว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน พิชิตเวหาคือใคร รวมถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับเจี้ยนหลู และนอกจากนี้”
เขาเอ่ยพร้อมทั้งส่งสัญญาณไปยังทหารยามที่ยืนข้างๆ
หลังจากทหารยามน้อมรับคำสั่งเสร็จ ก็เดินไปข้างหน้าเพื่อกระชากคอเสื้อของท่านชายหมิงเย่ว์ เผยให้เห็นกล้ามอกอันแข็งแกร่งของเขา
และเห็นว่าบริเวณช่วงอกข้างซ้ายของเขามีรอยฟกช้ำดำๆ ด่างๆ อยู่
“ที่แท้เจ้าก็มีพิษอยู่ในร่างกายนี่เอง” เซวียนผิงโหวหรี่ตาพร้อมกับเอ่ยขึ้นทันที
“ข้าจะไม่ตอบอะไรทั้งนั้น” ท่านชายหมิงเย่ว์โต้กลับ
“ต่อให้เจ้าไม่พูด ข้าก็เดาออกอยู่ดี” เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงนิ่ง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ท่านชายหมิงเย่ว์ย่นคิ้ว
เซวียนผิงโหวแสยะยิ้มหนึ่งที แล้วเอ่ย “เจ้าน่ะ แอบหนีออกมาจากเจี้ยนหลู่ใช่ไหม ส่วนกระบี่นั่น เจ้าก็เป็นคนขโมยมันออกมาจากสำนักของเจ้า แล้วเจ้าจะกลับไปที่สำนักไม่ได้หากไม่มีกระบี่นั่น”
ม่านตาของท่านชายหมิงเย่ว์หรี่ลงทันที พร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
เซวียนผิงโหวเดินไปมาสองสามก้าวต่อหน้าเขา แล้วเอ่ยต่อด้วยท่าทีครุ่นคิด “ดูเหมือนกระบี่เล่มนั้นจะเป็นกุญแจสำคัญในการไปยังเจี้ยนหลู ต้องมีทางลับหรือกลไกบางอย่างที่สามารถเปิดได้ด้วยกระบี่เล่มนั้นเท่านั้น ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะใจดีวาดแผนที่ออกมา เจ้าคงมั่นใจว่าพวกเราไม่สามารถไปที่นั่นได้ หรือถ้าไปได้ก็คงตายกันหมดเพราะกลไกเหล่านั้น”
ท่านชายหมิงเย่ว์อ้าปากค้าง
เซวียนผิงโหวแห่งแคว้นเจา เขาอยู่ที่นี่มาตั้งนาน เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน
แต่คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่เขาว่ากันว่าเป็นบุรุษเน้นใช้กำลังและสมองทึบหรอกหรือ
ไม่เห็นจะเหมือนกับข่าวลือเลย
เซวียนผิงโหวหันหลังกลับ ก้าวลงบันไดอย่างสบายอารมณ์ โบกมือเล็กน้อยแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ฆ่าเขาซะ”
“ขอรับ!” ทหารยามรับคำสั่ง แล้วชักกระบี่ออกมา
หัวใจของท่านชายหมิงเย่ว์แทบจะตกลงไปอยู่ตาตุ่ม
ไหนว่าจะถามเยอะกว่านี้ไม่ใช่หรือ
นี่เพิ่งไม่กี่คำถามเองนะ
ไหนจะเรื่องพิฆาตเวหา ไหนจะเรื่องของตัวเอง ไม่อยากรู้แล้วรึ!
“นี่เจ้าไม่ใจร้อนเกินไปหน่อยหรือ!”
เซวียนผิงโหวหันกลับมา ยิ้มอย่างหยิ่งยโสแล้วเอ่ย “เมื่อมีทั้งแผนที่และกุญแจแล้ว เจ้าก็ไม่มีค่าอะไรอีกต่อไป ข้าอยากรู้อะไรเดี๋ยวข้าก็สืบได้เอง”
แล้วทหารยามก็เหวี่ยงกระบี่เล็งที่หัวของเขา!
ในที่สุด เขาก็ยอมหลุดปากออกมา “ข้าคือทายาทแห่งเจี้ยนหลู! เจ้าสำนักเจี้ยนหลูคือพ่อของข้าเอง!”
ทันใดนั้น เซวียนผิงโหวเขวี้ยงอาวุธลับบางอย่างออกไป ทำให้กระบี่ยาวของทหารยามถูกเบี่ยงออก
ขณะที่ท่านชายหมิงเย่ว์กำลังตกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะเข้าใกล้ความตายได้เร็วปานนี้
ทั่วร่างของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม
ชายคนนี้ น่ากลัวชะมัด
นี่คิดจะฆ่ากันจริงๆ หรือแค่ล่อให้เขาคายความจริงออกมากันนะ
ที่น่าโมโหก็คือ ในช่วงเวลาคับขันของความเป็นความตาย คนเราย่อมไม่มีเวลามากพอที่จะโกหก สิ่งที่พูดออกมาล้วนเป็นความจริง!
ให้ตายเถอะ!
เซวียนผิงโหวทำหน้ายิ้มกริ่ม “เช่นนั้น มาร่วมมือกันหน่อยไหมล่ะ ท่านชายทายาทแห่งเจี้ยนหลู”