สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 932 อยากอุ้มหลานแล้ว
บทที่ 932 อยากอุ้มหลานแล้ว
……….
“เจ้ากำลังจะบอกว่า คนของพวกเจี้ยนหลูอาจจะมาสังหารเจียวเจียวอย่างนั้นรึ”
ณ ห้องหนังสือ หลังจากที่เซวียนผิงโหวได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากลูกชาย หากบอกว่าไม่ตกใจก็คงจะโกหก
เซียวเหิงเอ่ยต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่ผ่านมานางฝันถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้มาโดยตลอด ตอนนั้นที่ท่านเกือบเอาตัวไม่รอด ก็ได้นางคอยช่วยไว้”
เซวียนผิงโหวหาใช่คนเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น เขาเป็นคนอยู่กับปัจจุบัน และเชื่อว่าทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นเพราะความตั้งใจของตัวเอง
แต่พอเป็นเรื่องของกู้เจียวแล้ว เขาเลือกที่จะระมัดระวังเป็นพิเศษ
“พวกลูกสมุนเจี้ยนหลูตายกันไปหมดแล้ว” เซวียนผิงโหวเริ่มรู้สึกเสียดายที่ฆ่าพวกมันทิ้งจนหมด รู้งี้เหลือไว้สักคนเพื่อเอามาถามก็ดี
เซียวเหิงเอ่ยต่อ “พวกที่ท่านพ่อจัดการเป็นแค่ลูกสมุนนอกสำนัก ไม่รู้เรื่องภายในเท่ากับท่านชายหมิงเย่ว์แน่นอน”
เซวียนผิงโหวทำท่าครุ่นคิด “ไว้วันหลังข้าจะพาเจ้านั้นมาสอบปากคำอีกรอบ”
เซียวเหิงไม่ปฏิเสธอย่างใด
บางครั้งหากเราใจดีมากเกินก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง
“ท่านพ่อ เคยเห็นคนของเจี้ยนหลูสวมหน้ากากแบบนี้หรือไม่” เซียวเหิงถามพลางยื่นกระดาษให้
เซวียนผิงโหวจ้องอยู่พักหนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะ “ไม่เคยเห็นเลย เหตุใดพวกมันต้องสวมหน้ากากด้วย”
คำถามนี้ทำเอาทั้งกู้เจียวและเซียวเหิงอึ้งชะงักไปตามๆ กัน
พวกเขาสองคนไม่เคยสังเกตจุดนี้มาก่อน
ขณะที่เซวียนผิงโหวมองจากมุมคนนอก แค่ปราดเดียวก็จับข้อผิดสังเกตได้
เซียวเหิงเอ่ย “ข้าเกือบจะหลุดประเด็นเพราะท่านเลยเชียว วิญญาณทมิฬกับพิชิตเวหาก็ใส่หน้ากากกันทั้งคู่ ข้าเดาว่า คงมีแค่ลูกศิษย์ภายในเท่านั้นที่จะสวมหน้ากากแบบนี้”
เซวียนผิงโหวพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นค่อยฟังดูเข้าเค้าหน่อย เจ้าไปเตรียมตัวสอบของเจ้าเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ไว้ข้าจะไปตรวจสอบให้”
เซียวเหิงทำหน้าสงสัย “เอ๋… ข้าเคยพูดเรื่องนี้กับท่านตอนไหน”
“เหอะ เจ้าลูกคนนี้ คิดว่าข้าจะไม่ถามหรือไงถ้าเจ้าไม่พูด” เซวียนผิงโหวทำหน้างอน
ตอนนี้เซวียนผิงโหวรู้วิธีเอาใจใส่ลูกชายแล้ว ไม่ทำเมินเหมือนแต่ก่อน
เซียวเหิงหัวเราะหนึ่งที “ขอบพระคุณท่านพ่อเป็นอย่างสูง”
เซวียนผิงโหวยังคงทำหน้างอน “ขอบคุณอะไรกัน ถ้าอยากตอบแทนข้านัก ก็รีบเอาหลานมาให้อุ้มเร็วๆ สิ”
เซียวเหิง “…”
หนีไม่พ้นเรื่องนี้ทุกที่
เจ้าอีอีน้อยกำลังเข้านอนแล้ว ทั้งสองคนจึงอำลาองค์หญิงและเซียนผิงโหว แล้วเดินไปยังห้องของตัวเอง
พอเข้าไปในห้อง เซียวเหิงก็ถามทันที “นี่แม่ข้าได้มีพูดอะไรแปลกๆ กับเจ้าบ้างไหม”
“พูดแปลกๆ ยังไงรึ” กู้เจียวถาม
“ก็อย่างเช่น อยากอุ้มหลานอะไรประมาณนี้”
“ก็ไม่นะ” กู้เจียวตอบ
เซียวเหิงถอนหายใจโล่งอก
แต่หารู้ไม่ว่ากู้เจียวยังตอบไม่หมด “แม่เจ้าให้ข้าดื่มยาบำรุงครรภ์น่ะ”
เซียวเหิง “…!!”
สมกับเป็นแม่จริงๆ โหดกว่าพ่อเสียอีก
เซียวเหิงหัวเราะทั้งน้ำตา “พรุ่งนี้ไว้ข้าจะไปบอกท่านแม่ให้ว่าวันหลังไม่ต้องทำอะไรแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงมันเป็นแค่ยาที่ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้นเท่านั้นเอง ดื่มไปก็ไม่เสียหายอะไร”
เซียวเหิงครุ่นคิด “แบบนั้นก็ได้” อย่างน้อยก็ดีกว่าไปเอ่ยไปตรงๆ ว่าพวกเขายังไม่พร้อมมีลูกกันตอนนี้
“ว่าแต่ เจ้าอยากมีลูกไหม” กู้เจียวถาม
พวกเขาไม่เคยคุยเรื่องนี้กันจริงๆ จังๆ หลังจากครั้งนั้นที่กู้เจียวเมาแล้วใช้ที่คุมกำเนิด ทั้งสองคนดูเหมือนจะยอมรับมันอย่างเป็นธรรมชาติ
เซียวเหิงหัวเราะ แล้วตอบไป “เจ้ายังเด็กอยู่เลย ไว้แก่กว่านี้ก็ยังไม่สาย”
กู้เจียวเริ่มเบือนหน้าลง “แล้วถ้าข้าไม่อยากมีลูกเลยล่ะ”
ในดวงตาของเซียวเหิงมีแววของความตกตะลึงปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง เขาไม่ได้ลังเลนานนัก จากนั้นมองคนตรงหน้าอย่างแน่วแน่ พร้อมเอ่ย “ไม่มีก็ไม่มีสิ ยังไงข้าก็มีพี่ชาย ให้เป็นหน้าที่ของเขาไปก็ได้”
กู้เจียวขยับเท้าไปข้างหน้า แล้วเอาหัวพิงไปที่หน้าอกของเขา “ลูบหัวหน่อย”
เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือลูบศีรษะภรรยา
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลอบโยนที่นางไม่เคยได้รับจากพ่อแม่เลยสักครั้ง
ผ่านไปสักพักใหญ่ กู้เจียวเอ่ยขึ้น “ข้าเป็นคนประหลาด ถ้าข้ามีลูก ลูกของข้าก็จะเป็นเด็กประหลาดไปด้วย”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางระบายความกลัวต่อหน้าเขา
จากคนที่ไม่เคยกลัวอะไร ทั้งทำศึก ทั้งผ่าตัด ทั้งช่วยเหลือคน นางไม่เคยแสดงความกลัวให้เห็นแม้แต่นิด
“เจ้าไม่ใช่ตัวประหลาดนะ เจ้าคือเจียวเจียวของข้า”
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไร ได้แต่เอนกายพิงเขาอยู่เงียบๆ
แม้จะรู้ดีว่าทั้งเซียวเหิงและตัวนางเองไม่ใช่คนแบบเดียวกันกับพ่อแม่นาง
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว
และแม้นางจะสามารถแบกรับความทุกข์ทั้งหมดที่เจอไว้ได้ แต่ก็ไม่อยากให้ลูกต้องมาเผชิญความโหดร้ายในแบบที่นางเคยพบเจอ
“มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน”
กู้เจียวเอ่ย
“พวกเขาไม่ต้องการข้า”
“มันเจ็บปวดจริงๆ นะ”
…
จวนกั๋วกง
ฟ้ามืดแล้ว ทว่ากั๋วกงยังไม่มีท่าทีจะเข้านอน เขาจึงไปที่ห้องของเซวียนหยวนฉี
ปกติแล้วเซวียนหยวนฉีเป็นคนนอนแต่หัวค่ำ แต่วันนี้ห้องของเขายังคงเปิดไฟสว่างอยู่
กั๋วกงเข็นรถเข็นตัวเองเข้าไปด้านใน
“ไหนว่าเดินได้แล้วไม่ใช่รึ” เซวียนหยวนฉีเปิดประตูออก แล้วช่วยเข็นรถ
กั๋วกงหัวเราะ “เดินได้แค่แปปเดียวเท่านั้นแหละ”
“มีธุระอันใดรึ” เซวียนหยวนฉีเข็นรถเข็นมาจอดไว้ข้างโต๊ะแปดเซียน จากนั้นตัวเองก็ย้ายไปนั่งที่ฝั่งตรงข้าม
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักเจียวเจียวเป็นอย่างดีเลยนะ” กั๋วกงเปิดประเด็นตรงไปตรงมา
“คงเพราะเคย สู้รบด้วยกัน” เซวียนหยวนฉีกล่าว
กั๋วกงนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาเคยช่วยกันต่อสู้กับกงซุนอวี่และทหารแคว้นจิ้น จึงพยักหน้าแล้วถามต่อ “งั้นรึ แต่เหมือนเจ้าจะเข้าใจนางมากกว่านั้นนะ”
เซวียนหยวนฉีไม่ตอบ แต่ถามย้อนกลับไป “อะไร ที่ทำให้ท่าน มั่นใจนัก”
กั๋วกงนอนสลบไสลเป็นเจ้าชายนิทรามายาวนานถึงสามปี สภาพร่างกายของเขาย่ำแย่กว่าเซวียนหยวนฉีเสียอีก
“ก็เพราะข้าฉลาดยังไงล่ะ” อันกั๋วกงหัวเราะ
เซวียนหยวนฉีทำหน้าบึ้ง เดินมาที่ประตู “ลาล่ะ”
…
กว่าเหลี่ยวเฉินจะกลับมาที่จวนกั๋วกงก็ดึกมากแล้ว ในที่สุดเขาก็สลัดอีกฝ่ายออกได้หลังถูกตามล่ามาสามวันสามคืนติดกัน
เขากระโดดข้ามรั้วกำแพงจวน แล้วกลับมาที่ห้องของตัวเอง พลางนึกในใจ ไม่รู้ว่าพ่อของเขาจะเป็นห่วงหรือไม่ที่ตัวเองหายไปแบบนี้
จึงตัดสินใจไปที่ห้องของเซวียนหยวนฉีเพื่อรายงาน
“ว่าแล้วว่าท่านพ่อยังไม่นอน ดูท่านคงเป็นห่วงข้ามาก…”
เหลี่ยวเฉินเอ่ยพร้อมกับแง้มบานประตูออก
“เข้ามาสิ” เซวียนหยวนฉีเอ่ย
จี้นี้เป็นเครื่องรางติดตัวของพ่อเขาที่ใส่ติดตัวมาหลายสิบปีแล้ว ว่ากันว่าเป็นของขวัญวันเกิดที่จ้าวแห่งเงามืดคนแรกมอบให้เขา และพ่อของเขาเก็บรักษามาจนถึงทุกวันนี้
เหลี่ยวเฉินหัวเราะหนึ่งที ก่อนเอ่ยทัก “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว ขออภัยที่ทำให้ท่านเป็นห่วง”
เซวียนหยวนฉีมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเก็บจี้ของตัวเองอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าเจ้าลูกชายจะมาแย่งไป
“ไม่เห็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ เลย ข้าไม่ขโมยมันหรอกน่า” เหลี่ยวเฉินแซว
“ใครจะไปรู้ล่ะ” เซวียนหยวนฉีโต้กลับ
เหลี่ยวเฉิน “…”
“ข้าไม่ได้เป็นห่วง” เซวียนหยวนฉีตอบเบาๆ
เหลี่ยวเฉินชะงักไปครู่นึง ก่อนระลึกได้ว่าพ่อของเขาเพิ่งจะตอบคำถามแรกที่เขาถามไป
“ข้า หายตัวไป ตั้งสามวัน ท่านไม่เป็นห่วงข้าเลยรึ”
เซวียนหยวนฉีตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “ชิ่งเอ่อร์บอกว่า เจ้าไป ตามหา ภรรยาเจ้า แล้วบอกให้ข้า ไม่ต้องออกตามหาเจ้า”
เหลี่ยวเฉิน “…”
ช่างกวานชิ่งนะช่างกวานชิ่ง เจอกันเมื่อไหร่รู้เรื่องแน่!
เซวียนหยวนฉีเป็นคนมีวรยุทธ์ ดื่มจนเมาได้ครึ่งทางก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่อยู่ จึงต้องการจะไปตามหาลูกชาย ช่างกวานชิ่งเห็นดังนั้นจึงใช้แผนการนี้หลอกล่อเซวียนหยวนฉีไว้
อีกทั้งยังหลอกให้เซวียนหยวนฉีดื่มจนเมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“แล้วไหน ลูกสะใภ้ข้าล่ะ” เซวียนหยวนฉีถามอย่างมีความหวัง
เหลี่ยวเฉิน “…”
…
หลังจากจบการเดินทางท่องเที่ยวเมืองหลวงสามวัน จิ้งคงและซ่างกวานชิ่งก็กลับมาถึงจวนขององค์หญิงในที่สุด
พอลงจากรถม้า จิ้งคงก็รีบพุ่งตัวไปที่เรือนหลันถิงทันที แม้แต่ซ่างกวานชิ่งก็ห้ามเขาไม่อยู่
“เจ้าน้องชายเอ๋ย ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้ล่ะ” ซ่างกวานชิ่งเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมกับมองตามเจ้าตัวเล็กที่กำลังวิ่งหายไป
นี่แค่สามวันเท่านั้นนะ ยังเหนื่อยขนาดนี้ ไม่รู้ว่าที่ผ่านน้องชายเขาอยู่กับเจ้าเด็กคนนี้ไปได้อย่างไรกัน
แล้วก็ ปืนไฟกระบอกใหม่กระบอกเดียวไม่พอ น้องชายตัวแสบต้องให้เขาอย่างน้อยสามกระบอกถึงจะพอ!
“ท่านชายขอรับ!”
เมื่อบ่าวที่จวนเห็นว่าซ่างกวานชิ่งกลับมาแล้ว ก็รีบกุลีกุจอเข้ามาต้อนรับ
“มานี่ มานี่ มาพยุงร่างข้าให้ที ข้าเดินไม่ไหวแล้ว” ซ่างกวานชิ่งโบกมือเรียกบ่าว
เจ้าเณรน้อยสูบพลังชีวิตของเขาออกไปหมดแล้ว!
พอจิ้งคงวิ่งไปถึงเรือนหลานถิง ก็เจอกับพี่เขยตัวแสบดักคอ
เซียวเหิงอุ้มร่างเจ้าตัวเล็กไปที่ห้องฝึกฝน
“ข้าจะไปหาเจียวเจียว” จิ้งคงทำหน้าบึ้ง
“เจียวเจียวยังไม่ตื่น เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปหานางเองถ้านางตื่นแล้ว” เซียวเหิงตอบ
“เจียวเจียวไม่สบายรึถึงยังไม่ตื่น” จิ้งคงเงยหน้ามองพี่เขยตัวแสบ
ไม่แปลกที่จิ้งคงจะถามเช่นนี้ กู้เจียวเป็นคนตื่นนอนตรงเวลาทุกครั้ง อีกทั้งนางเป็นคนที่ตื่นเช้าที่สุด ถ้าวันไหนนางตื่นสาย อาจเป็นเพราะวันนั้นนางรู้สึกไม่สบายตัว
“เจียวเจียวไม่ได้ป่วย แค่เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย” เซียวเหิงตอบ
“แล้วทำไมเจียวเจียวนอนดึกล่ะ” เสี่ยวจิ้งคงถามต่อ
แน่นอนว่าเขาพูดความจริงให้เจ้าตัวเล็กฟังไม่ได้ จึงตอบไป “เจียวเจียวเป็นฮูหยินแล้ว มีเรื่องมากมายต้องจัดการ ทั้งสัมภาระเอย สินสอดเอย มีหลายเรื่องต้องจัดการน่ะ”
“ก็จริงอยู่ที่ข้าวของวันนั้นมันเยอะจริงๆ” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า ก่อนจะเถียงกลับ “แล้วเหตุใดเจ้าไม่ช่วยนางล่ะ ปล่อยให้เจียวเจียวเหนื่อยอยู่คนเดียวยังไง เจ้านี่มันขี้เกียจตัวเป็นขนจริงๆ ! อ่อนหัดชะมัด! เสี่ยวเป่ายังขยันกว่าเจ้าอีก!”
เซียวเหิงผู้ซึ่งแทบไม่ได้นอนทั้งคืน “…”