สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 930 หลงรักภรรยา
บทที่ 930 หลงรักภรรยา
……….
อันกั๋วกงเอ่ยขึ้น “เจียวเจียว เป็นอะไรไปรึ เจ้ากังวลอะไรกับกระบี่นี้หรือ”
เขาสังเกตได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของกู้เจียว
กู้เจียวไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน
ด้วยความเป็นห่วงลูกสาว เขาจึงพยายามโน้มน้าว “เจียวเจียว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นต้องบอกกันรู้ไหม อย่าปิดบังเป็นอันขาด พ่อเป็นห่วงเจ้า”
ถึงจะเป็นพ่อบุญธรรม แต่ก็ถือว่าเป็นพ่อ
กู้เจียวไม่ได้คิดมากกับคำที่เขาใช้เรียก
เมื่อเห็นเขาเป็นห่วงขนาดนี้ กู้เจียวเองก็ยากจะปฏิเสธ
แต่จะให้อธิบายอย่างไรดีเล่า
ขณะที่กำลังขบคิดอยู่นั้น ก็บังเอิญว่าเซียวเหิงกับเซวียนหยวนฉีเดินเข้ามาพอดี
พวกเขารับรู้ได้ถึงบรรยากาศในห้องที่เปลี่ยนไปทันที
“พ่อตา เจียวเจียว” เซียวเหิงเอ่ยทักทาย “เกิดอะไรขึ้นรึ ไยถึงมีท่าทีแปลกๆ”
กั๋วกงหันหน้าไปทางกู้เจียวราวกับรอให้นางเอ่ยก่อน
กู้เจียวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ก็ได้ ก็ได้ เช่นนั้นข้าต้องรบกวนผู้ดูแลเจิ้งพาทุกคนออกไปก่อน”
“ได้เลย!” ผู้ดูแลเจิ้งขานรับเสร็จก็รีบเรียกบ่าวทุกคนออกไป
ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะแปดเซียน โดยกั๋วกงนั่งอยู่ด้านซ้ายกู้เจียว ฝั่งขวาคือเซวียนหยวนฉี และตรงข้ามคือเซียวเหิง
“ว่ามา” อันกั๋วกงเอ่ย
“ข้าฝันถึงอะไรบางอย่าง” กู้เจียวเล่าเรื่องที่ฝันว่าตัวเองตายใต้คมกระบี่นี้ให้ฟัง
“แค่ฝันเอง อย่าคิดมากเลยเจียวเจียว” อันกั๋วกงเอ่ยปลอบโยน โดยไม่รู้ว่าเป็นการปลอบโยนกู้เจียวหรือปลอบโยนตัวเองกันแน่
ทว่าใบหน้าของเซวียนหยวนฉีกลับเคร่งเครียดขึ้น เขานิ่งเงียบไม่เอ่ยอะไร
“ในฝันนั้น เจ้ายังเห็นอะไรอีก” เซียวเหิงถาม
กู้เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตามความจริง “ฝันเห็นแคว้นเยี่ยนทำศึกกับแคว้นเหลียงและแคว้นจิ้น กองทัพเซวียนหยวนและคนจำนวนมากตายด้วยน้ำมือของฉู่เฟยเผิงและกงซุนอวี่”
ไม่มีใครรอดจากศึกนั้นเลยแม้แต่คนเดียว
ในที่สุด เซียวเหิงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงต้องนำกองทัพไปออกรบด้วยตัวเอง นางต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของทุกคน
แล้วนางก็ทำสำเร็จจริงๆ
เจียวเจียวของเขา คือผู้สังหารกงซุนอวี่
คือผู้ที่หมุนวงล้อแห่งโชคชะตาของทุกคน…
ไยโชคชะตาถึงได้พาเขามาคู่กับคนดีๆ เช่นนางด้วยนะ
เขารู้สึกทั้งเจ็บปวดและซาบซึ้ง เขาจับมือนางไว้แล้วเอ่ยเบาๆ “กงซุนอวี่ตายแล้ว และฉู่เฟยเผิงก็กลายเป็นคนไร้ที่พึ่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในความฝันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”
“อื้อ” กู้เจียวพยักหน้า
เซวียนหยวนฉีเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน “มือกระบี่คนนั้น ตายหรือยัง”
กั๋วกงหันขวับไปทางเขาทันที “มันเป็นแค่ฝันเองนะ นี่เจ้าเชื่อจริงๆ รึ”
สำหรับความฝันเกี่ยวกับสนามรบเหล่านั้น ในมุมมองของเขา สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นความตึงเครียดก่อนการสู้รบ
เซียวเหิงเองก็แปลกใจและหันไปทางเซวียนหยวนฉีเช่นกัน พลางคิด ฟังจากที่เอ่ยแล้ว ดูเหมือนเซวียนหยวนฉีกำลังรู้สึกว่าฝันของกู้เจียวมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ด้วย
แสดงว่าเซวียนหยวนฉี… ต้องรู้อะไรบางอย่างมาแน่ๆ
กู้เจียวที่มัวแต่จดจ้องอยู่กับกระบี่เล่มนั้น ไม่ได้ทันสังเกตปฏิกิริยาของเซวียนหยวนฉี
“ข้าไม่รู้ว่ามือกระบี่คนนั้นเป็นใคร เลยไม่รู้ว่าเขาตายแล้วหรือยัง” กู้เจียวส่ายหน้า
สงครามครั้งนี้มีคนตายไม่น้อย เป็นไปได้ว่ามือกระบี่คนนั้นอาจตายแล้ว หรืออาจจะยังไม่ตายก็เป็นได้
ที่น่าคิดก็คือ สงครามนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าในฝันถึงเก้าปี ลองคิดอีกแง่ก็คือ กู้เจียวอาจจะได้เจอมือกระบี่คนนั้นในเก้าปีให้หลัง เป็นไปได้หรือไม่ว่ามือกระบี่คนนั้นตอนนี้ยังเป็นเด็กน้อยอยู่
หรือบางทีในอีกเก้าปีให้หลัง มือกระบี่คนนั้นอาจจะไม่ได้เป็นมือกระบี่แล้วก็เป็นได้
หวังว่าคงไม่ได้เป็นแบบลูกศิษย์สี่คนนั้นของกงซุนอวี่หรอกนะ
“ยังไงเราก็ควรระวังตัวไว้” เซวียนหยวนฉีมองว่าเรื่องนี้จะประมาทไม่ได้ จึงถามต่อ “มือกระบี่คนนั้นเป็นคนที่ไหน”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ” กู้เจียวส่ายศีรษะ
นางไม่มีข้อมูลของอีกฝ่ายเลย เพราะในฝัน นางถูกกระบี่แทงจากด้านหลัง
เพราะว่าเป็นความฝัน กู้เจียวเลยเห็นจากอีกมุมมองได้
“เจ้าลองวาดมันออกมาได้ไหม” เซียวเหิงถาม
“ข้าจะลองดูนะ” กู้เจียวเอ่ย
เซียวเหิงไปหยิบกระดาษกับพู่กันมาให้ กู้เจียวไม่ถนัดใช้พู่กัน เลยเปลี่ยนมาใช้ดินสอแทน
ภาพที่วาดออกมาเป็นที่น่าพอใจอยู่ไม่น้อย
“ประมาณนี้ล่ะ”
กู้เจียววางรูปวาดลงบนโต๊ะ
ทั้งสามคนมองไปที่รูปวาด แต่ก็ยังนึกอะไรไม่ออกอยู่ดี
“อ้อ แล้วก็กระบี่นี้ด้วย” เซวียนหยวนฉีเอ่ย “ไว้เขียนจดหมายไปถามกั๋วซือถึงที่มาของกระบี่เล่มนี้”
อันกั๋วกงพยักหน้า “ดีเลย”
“เอ่ยถึงกระบี่นี้ ข้าพอจะนึกออกอยู่คนหนึ่ง เขาต้องรู้เกี่ยวกับกระบี่นี้แน่นอน!” กู้เจียวเอ่ย
…
หลังจากคู่รักใหม่เดินออกไป กั๋วกงที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็หันหน้าไปทางเซวียนหยวนฉีที่กำลังทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก จึงเอ่ยทักไป “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝันของเจียวเจียวมากเลยนะ”
“นางสามารถเห็นภาพเหตุการณ์ล่วงหน้าในฝันได้” เซวียนหยวนฉีเอ่ย
อันกั๋วกงได้ยินดังนั้นก็ตกใจ
เซวียนหยวนฉียังเอ่ยต่อ “นางเปลี่ยนชะตาคนอื่นมาตลอด ตอนนี้ถึงเวลาให้คนอื่นมาเปลี่ยนชะตาของนางบ้างแล้ว”
ถ้ามือกระบี่คนนั้นตายแล้วก็ดี แต่หากยังไม่ตาย เขาจะออกตามหาด้วยตัวเองและจัดการฆ่าเสีย!
…
อากาศในช่วงเดือนหกทั้งร้อนทั้งแห้งแล้ง
นายและบ่าวคู่หนึ่งกำลังย่างเท้าบนถนนอย่างไร้เรี่ยวแรง ทันใดนั้นก็มีรถเข็นของพ่อค้าที่กำลังเคลื่อนตัวเกือบจะเฉี่ยวชนพวกเขา
“เดินให้มันดูตาม้าตาเรือหน่อย!”
ทหารยามชุดสีเทาหันข้างและใช้ร่างกายป้องกันเจ้านายของตนเอง
พ่อค้าคนนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีกระบี่ก็ถึงกับด่าต่อไม่ออก ก่อนจะทำหน้าบึ้งตึง กลอกตามองบน แล้วรีบไปต่อ
“ท่านชายขอรับ พวกเราจะต้องเสียเวลาอยู่ในแคว้นเจานี้อีกนานแค่ไหนขอรับ นักบวชคนนั้นไม่ยอมคายอะไรออกมาสักที เราไม่สามารถสู้เขาได้ และเราไม่สามารถทำให้เขาเอ่ยได้ด้วย หรือว่าจะต้อง…”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย ทหารยามจึงรีบหันไปมอง แล้วก็ต้องเป็นอันตกใจ “ท่านชายหายไปไหนแล้ว!”
ท่านชายหมิงเย่ว์ถูกลักพาตัวใส่ถุงสอบเป็นที่เรียบร้อย
กู้เจียวแบกถุงสอบเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นจุดที่รถม้าของเซวียนผิงโหวจอดอยู่
กู้เจียวเหวี่ยงถุงสอบเข้าไปในรถม้า ตบมือปัดฝุ่นหนึ่งที แล้วขึ้นไปนั่งข้างๆ เซียวเหิง
หลังจากสงคราม กู้เจียวแทบไม่ได้ใช้ร่างกายเลย จึงรู้สึกชามือเล็กน้อย
นางเหลือบมองกระสอบบนพื้นและเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าไม่คิดว่าเขาจะเปิดปากง่ายๆ เราต้องทรมานเขา”
“ข้ายอมแล้ว!” เสียงจากถุงกระสอบดังขึ้น
กู้เจียว “…”
ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรเลยนะเนี่ย!
กู้เจียวที่เตรียมยกขากลางอากาศแล้วก็เกิดชะงักและเขินเล็กน้อย
เซียวเหิงหลุดขำเบาๆ ยื่นมือไปกุม แล้วกระซิบ “เดี๋ยวกลับไปชดใช้ให้นะ”
กู้เจียวตอบไป “ขอแบบฉ่ำๆ เลยนะ”
เซี่ยวเหิงหัวเราะเบาๆ พร้อมกับทำตาเป็นประกาย “ตกลง”
คนในกระสอบ ว่าอย่างไร จะถามไม่ถาม รออยู่นานแล้วนะ!
จากนั้นกู้เจียวจึงเปิดปากถุงกระสอบออก
ท่านชายหมิงเย่ว์ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ เซียวเหิง หยิบพัดขึ้นมาสะบัด พร้อมเอ่ย “จะถามอะไรก็ถามมา วันนี้ข้าอารมณ์ดี ไม่เล่นตุกติกกับพวกเจ้าหรอก”
กู้เจียวหันไปทางเซียวเหิง “เจ้าคนนี้ปากแข็ง ให้ข้าต่อยเขาได้ไหม”
เจ้าตัวถึงกับขนลุกซู่ทันที!
เป็นสาวเป็นนาง มาต่อยๆ ตีๆ อะไรกัน!
“ช้าก่อน แม่สาวน้อย หน้าของเจ้าไปโดนอะไรมา”
แสงภายในรถม้านั้นสลัว แต่สายตาของเขาดีมาก และเขายังคงมองเห็นใบหน้าที่สวยงามน่าทึ่งได้อย่างชัดเจน
แทบจะละสายตาออกไปไม่ได้เลย
ตายละ แม่สาวคนนี้ถูกอาคมหรือเปล่า เหตุใดถึงกลายเป็นคนสวยหลังจากไม่ได้เจอเพียงเดือนเดียว
เซียวเหิง “เอาละ ต่อยเขาได้เลย”
ท่านชายหมิงเย่ว์ “…!!”
“ไม่มอง ไม่มองแล้วก็ได้”
เขารีบหลับตาปี๋ทันที
“ไม่ได้” กู้เจียวเอ่ย
“เดี๋ยวนะ เจ้านี่…” ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหน้า พอลืมตาขึ้น ก็พบว่าเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง
ความรู้สึกคุ้นเคยที่เกิดขึ้นในใจทำเอาเขาอดชะงักงันไม่ได้
กู้เจียวจุดตะเกียงเพื่อให้เขามองมันได้ชัดขึ้น
กู้เจียวสังเกตปฏิกิริยาของเขาอยู่ตลอด และถามออกไป “กระบี่นี้ใช่กระบี่ที่เจ้าตามหาอยู่หรือไม่”
“ใช่แล้ว” เขาไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธหรือปิดบังแต่อย่างใด ซ้ำยังถือมันด้วยสายตาราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้เห็นมันอีกครั้งจนมือของเขาเกิดสั่นเล็กน้อย
“กระบี่นี้อยู่กับพวกเจ้าจริงด้วย…”
กู้เจียวไม่อธิบายให้เขาฟังว่านางเองก็เพิ่งเจอกระบี่นี้เมื่อครู่นี้เหมือนกัน “กระบี่นี้เป็นของใคร ห้ามโกหกเด็ดขาด อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากรถม้าคันนี้ได้”
ดวงตาของเขาฉายแววเย็นเยียบในทันใด รังสีอำมหิตเริ่มแผ่ไปทั่วทั้งรถม้า ทันใดนั้นเขาก็รีบยกมือมากุมไว้ที่หน้าอก
ทำให้รังสีอำมหิตเมื่อครู่นี้พลันหายไป
“เจ้าบาดเจ็บรึ” กู้เจียวถาม
“เปล่า ข้าไม่ได้บาดเจ็บ” ท่านชายหมิงเย่ว์ไม่ต้องการอธิบายเรื่องส่วนตัว จากนั้นก็เอ่ยต่อ “ข้าจะเล่าให้ฟังก็ได้ว่ากระบี่นี้เป็นของใคร ถ้าข้าเล่าแล้ว ข้าขอกระบี่นี้คืนได้หรือไม่ และข้าไม่ได้ขอคืนเฉยๆ นะ ข้าจะให้พวกเจ้าเสนอราคาด้วย”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้คำว่าคืน
เซียวเหิงจึงถามเบา ๆ “เจ้าลองเอ่ยก่อน และหากพวกเราพอใจ พวกเราจะพิจารณาว่าจะยอมรับเงื่อนไขของเจ้าหรือไม่”
“ใช่แล้ว เอาแบบนี้ล่ะ!” กู้เจียวพยักหน้า
ดวงตาของท่านชายหมิงเย่ว์เปี่ยมไปด้วยความสับสนว้าวุ่น ตามหลักแล้วเขาไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ แต่เพื่อกระบี่แล้ว เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทรยศจุดยืนของตัวเอง
“กระบี่เล่มนี้เป็นของอาจารย์ข้า”
“แล้วอาจารย์ของเจ้าคือผู้ใดกัน” เซียวเหิงถาม
……….