สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 926 งามเลิศในปฐพี
บทที่ 926 งามเลิศในปฐพี
……….
มันเป็นกล่องเล็กๆ ที่หนึ่งกล่องมีสามชิ้น มีกลิ่นหลากหลาย ท่านโหวน้อยแสดงออกว่าชอบกลิ่นบลูเบอร์รี่ที่สุด
เมื่อก่อนเขาคิดว่ามันคือยาทาแผล ไม่คิดว่าจะมีวิธีใช้แบบนี้
คนโบราณอย่างเขาย่อมไม่รู้จักวิธีใช้อยู่แล้ว เช่นนั้นจึงต้อง…
กู้เจียวแทบอยากจะเอาหัวโขกหมอนตาย!
นางอยากให้ความจำเสื่อม! นางอยากความจำเสื่อม!
…
ฟ้ามืดมิดสนิทลง
กู้เจียวเหนื่อยยิ่งนัก ไม่ใช่ความเหนื่อยหมดเรี่ยวหมดแรงหลังจากทำสงครามเช่นนั้น แต่เป็นความเมื่อยล้าอ่อนแรงที่นางเองก็อธิบายไม่ถูก
“เจ้าไม่รู้จักควบคุมตัวเอาเสียเลย” นางชิงร้องทุกข์ก่อน “ยังหนุ่มยังแน่นต้องรู้จักควบคุมสิ”
เซียวเหิงอมยิ้มพลางพยักหน้า “ขอรับ เป็นความผิดของสามีเอง เช่นนั้น เพื่อแสดงความขอโทษ สามีจะไปเอาอาหารมาให้ภรรยาเดี๋ยวนี้เลย”
กู้เจียวเชิดคางขึ้น เอ่ยอย่างเคร่งขรึมสุดจะเปรียบ “เห็นท่าทีของเจ้าเองก็นับว่ายังจริงใจอยู่ เช่นนั้นก็ได้”
แสงสว่างภายในห้องเดิมก็สลัวอยู่แล้ว หลังจากแสงนั้นเคลื่อนไป ภายในห้องก็มืดสนิท
เซียวเหิงกลัวว่าแสงจะแยงตานาง จึงไม่ได้จุดตะเกียง
เขาเก็บกวาดรอบหนึ่ง หมายจะไปคารวะที่เรือนมารดาเขา ถือโอกาสแจ้งให้องครัวทำกับข้าวร้อนๆ มาส่งด้วย
เพิ่งจะมาถึงหน้าประตูเรือนหลันถิง ก็เจออวี้จิ่นหิ้วกล่องอาหารมาพอดี
อวี้จิ่นมาส่งอาหารให้พวกเขา นี่มันก็ทั้งวันแล้ว ไม่กินข้าวคงหิวแย่แน่
ความขลาดเขินเผยขึ้นจางๆ บนใบหน้าของเซียวเหิง เคราะห์ดีที่มีรัตติกาลบดบังไว้ เขาแสร้งเคร่งขรึมทักทายอวี้จิ่น “ท่านป้าอวี้จิ่น”
อวี้จิ่นก็ชักจะกลั้นไม่อยู่เช่นกัน หลุดหัวเราะออกมา
นอนตื่นเสียเย็นปานนี้ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เซียวเหิงจำต้องปล่อยให้หัวเราะไป
นี่แค่ท่านป้าอวี้จิ่น อีกเดี๋ยวไปพบท่านพ่อท่านแม่เขา นั่นต่างหากที่…
อวี้จิ่นมองค้อนเขาแวบหนึ่ง ก่อนยิ้มเอ่ย “เอาละ เอาละ องค์หญิงกับท่านโหวพาอีอีออกไปแล้ว พรุ่งนี้ท่านค่อยไปคารวะเถิด”
เซียวเหิงลอบพรูลมหายใจโล่งอก
อวี้จิ่นเอากล่องอาหารมาส่งเขา กำชับเขากับกู้เจียวให้กินตอนที่ยังร้อนๆ ก่อนจะกลับ อวี้จิ่นก็มองเขาอย่างลุ่มลึก แล้วยกมือขึ้นชี้บนลำคอตัวเอง
เซียวเหิงกระจ่าง กระแอมเบาๆ หิ้วกล่องอาหารกลับไปในเรือนหลันถิง
กู้เจียวกลับผล็อยหลับไปอีกหนแล้ว ชนิดที่ว่าเรียกเท่าใดก็ไม่ตื่นด้วย
เซียวเหิงวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะ ส่วนตัวเองทำความสะอาดภายในห้องครู่หนึ่ง จุดตะเกียงน้ำมันดวงหน้าหรี่ๆ ไว้
เขาถือตะเกียงน้ำมันมาหยุดหน้าคันฉ่องสำริด ส่องดูบริเวณที่อวี้จิ่นชี้เตือนเมื่อครู่ ก่อนจะหัวเราะพรืด “เด็กคนนี้นี่”
เขาวางตะเกียงน้ำมันลงบนโต๊ะ เลิกม่านมุ้งขึ้นหมายจะมองว่านางเป็นอย่างไร สุดท้ายพบว่าบนร่างนางสภาพไม่น่ามองยิ่งกว่าตนเสียอีก
เขากระอักกระอ่วนขึ้นมาแล้ว
“ดังนั้นข้าไม่รู้จักควบคุมตัวเองจริงๆ หรือนี่…”
เขารีบห่มผ้าให้นาง
กู้เจียวร้อน จึงพลิกตัว หันหน้าที่เดิมทีหันเข้าด้านในออกมา
ก่อนหน้านี้ภายในห้องมืดมิดเกินไป เซียวเหิงไม่มีโอกาสได้มองใบหน้านางชัดๆ ยามนี้อาศัยแสงจากตะเกียงจ้องมองดู เขาตกใจจนคว้าม้านั่งบนพื้นขึ้นมา!
เจ้าเป็นใคร!
“อื้อ” กู้เจียวละเมออย่างสะลึมสะลือ
เขาชะงัก คล้ายตื่นจากฝัน พินิจมองใบหน้านางอย่างละเอียดอีกหน
เป็นริมฝีปาก จมูก คิ้วและตาของนาง แต่บนใบหน้าด้านซ้ายไร้ปานแดงสีเลือดนั่นแล้ว ขาวผ่องไร้ตำหนิ งดงามราวกับเทพธิดาผู้หลับใหล
แม้แต่ม้านั่งในมือก็ลืมวางลง
จนกระทั่งมือของเขาคลายออก ม้านั่งกระแทกหัวไหล่เขา เขาเจ็บจี๊ด รีบคว้าม้านั่งไว้ จะได้ไม่ร่วงลงพื้นทำนางตื่น
เขามองสีชาดบนผ้าไหม ก่อนเบนสายตาไปตกบนดวงหน้างามพิลาสของนางอีกครา พึมพำอย่างเหลือเชื่อ “เป็นจุดแดงพรหมจรรย์จริงๆ ด้วย…”
…
กู้เจียวไม่ได้รู้เรื่องใบหน้าของตัวเองเลยแม้แต่น้อย นางนอนถึงเช้าของวันที่ยี่สิบ
เซียวเหิงตื่นแต่เช้าแล้ว กำลังนั่งอ่านตำราข้างหน้าต่าง
แสงอรุณลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ตกกระทบบนดวงหน้าหล่อเหลาดุจหยกของเขา เช้าๆ ได้เห็นภาพเจริญหูเจริญตาเช่นนี้ กู้เจียวอารมณ์ดียิ่งนัก
เซียวเหิงโพสท่าอยู่ครึ่งชั่วยามแล้ว ร่างกายใกล้แข็งทื่อรอมร่อ ในที่สุดก็แสดงด้านที่สมบูรณ์หล่อเหลาของตัวเองต่อหน้าคนบางคน
เขาวางตำราลงอย่างแนบเนียน หันหน้าไปมองนาง แย้มยิ้มบางให้ “เจ้าตื่นแล้ว หลับสบายหรือไม่ ยังเหนื่อยอยู่หรือไม่”
สามียามยิ้มช่างน่ามองจริงๆ
กู้เจียวหยักยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองยามยิ้มก็น่าหลงใหลใจสั่นเช่นกัน
“ดีขึ้นมากแล้ว” นางเอ่ย “ข้ามันคนเคยรบทัพจับศึกมาก่อนนะ เรี่ยวแรงแค่นี้ข้ามีอยู่แล้ว!”
จากนั้นนางเพิ่งจะลุกขึ้น ขาพลันอ่อนยวบนั่งกลับคืนไป
กู้เจียว “…”
เซียวเหิง “…”
กู้เจียวนั่งปรับอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ปรับตัวได้ นางมองชุดนอนบนร่าง ก่อนเอ่ย “เจ้าใส่ให้ข้าหรือ”
“อืม” เซียวเหิงพยักหน้า
กู้เจียว “ขอบคุณยิ่ง”
เซียวเหิงแย้มยิ้มอ่อนโยน “เป็นเกียรติยิ่ง”
ควรจะหน้าแดงเขินอายมิใช่หรือ แล้วก็บอกว่า ‘หากเจ้าถือสา คราหน้าข้าจะไม่ตัดสินใจเอาเองโดยพลการแล้ว’
กู้เจียวหรี่ตามองคนบางคน เก่งขึ้นอีกแล้ว!
ทว่าสามีที่เป็นเช่นนี้ก็น่าสนใจทีเดียว
กู้เจียวดึงสายตากลับมาก่อนถาม “ข้าหลับไปกี่วันแล้ว”
“สองวัน” เซียวเหิงเอ่ย
“นึกไม่ถึงว่าจะนานเพียงนี้… มิน่าเล่าเสียงไม่แหบแล้ว…” กู้เจียวแอบพึมพำเสร็จ ก็วางมาดจริงจังถาม “เช่นนั้น ข้าพลาดการคารวะน้ำชาองค์หญิงกับท่านโหวไปแล้วใช่หรือไม่”
นางจำได้ว่าก่อนออกเรือน มารดานางเคยเตือนนางว่า วันรุ่งขึ้นหลังงานมงคลต้องไปคารวะน้ำชาให้แม่สามี
หากที่จวนมีญาติคนอื่นอยู่ด้วย ก็ต้องไปมอบของขวัญพบหน้าให้พวกเขาด้วย
เซียวเหล่าฮูหยินกับนายท่านอาวุโสเซียวต่างเสียชีวิตแล้ว บ้านสายรองกับบุตรสายรองสองคนของเซวียนผิงโหวก็ปกป้องชายแดนอยู่ไกลถึงแดนตะวันออก ในจวนจึงไม่มีคนอื่นที่นางจำต้องคารวะอีก
เซียวเหิงเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอก เมื่อวานพวกเขาไม่อยู่”
“วันนี้อยู่หรือไม่” กู้เจียวถาม
เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ “เจ้าพักดีแล้ว พวกเขาก็อยู่”
หลังจากที่กู้เจียวย้อนมายุคโบราณก็ไม่ค่อยชอบส่องกระจกเท่าใดนัก สาเหตุเพราะปานบนใบหน้า มองไม่เห็นก็ไม่รำคาญใจ ด้วยเหตุนี้พอถึงคราล้างหน้าบ้วนปาก กู้เจียวจึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าตัวเอง
ระหว่างบอกนางไปเลยกับให้นางรู้เองนั้น เซียวเหิงเลือกอย่างหลัง
อวี้หยาเอ๋อร์ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้อง จึงเข้ามาปรนนิบัติกู้เจียวล้างหน้าบ้วนปาก
เพิ่งจะเข้าห้องมา นางก็ตกตะลึงงัน ทอดมองสตรีแปลกหน้าภายในห้อง “เจ้า…เจ้าคือ…”
“คืออะไร” กู้เจียวเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
เป็นเสียงของคุณหนู
คุณหนู!
จะโทษอวี้หยาเอ๋อร์ที่จำไม่ได้ก็คงไม่ได้ คุณหนูของนางมีปานบนใบหน้าเป็นสัญลักษณ์ไปแล้ว จู่ๆ ปานหายไป ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องตกใจนึกว่าเข้าห้องผิดกันทั้งนั้น!
“คุณหนูทะ…ท่าน ท่าน” นางเอ่ยเสียงตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา นางทอดมองไปยังท่านเขยที่อยู่ข้างๆ
ท่านเขยส่ายหน้าให้นางน้อยๆ นางกระจ่าง ข่มคลื่นความตกใจเอาไว้ พลางเอ่ย “ท่านออกมาเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ทะ ท่านแต่งงานแล้วนะ ห้ามทำผมทรงนี้แล้ว”
กู้เจียวอยู่ที่ชนบทเป็นคนสติไม่ดี นางจะทำผมทรงไหนก็ไม่มีผู้ใดถาม
หลังจากมาเมืองหลวงแล้ว คนที่บ้านต่างรู้ว่านางกับเซียวเหิงไม่ใช่สามีภรรยากันจริงๆ จึงไม่เคยบีบบังคับให้นางทำทรงผมของสตรีออกเรือนเลย
“ข้าทำไม่เป็น” กู้เจียวเอ่ย
ทรงผมของสตรีออกเรือนนั้นทำยาก
“ข้าเองเจ้าค่ะ!” อวี้หยาเอ๋อร์ยิ้มเอ่ย
กู้เจียวนั่งลงบนโต๊ะแปดเซียนทันที ไม่ได้ไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อวี้หยาเอ๋อร์หยิบหวีมาทำผมทรงสตรีออกเรือนให้นาง
ทว่าก็ยังดูเหมือนเด็กสาวอยู่ดี ดวงหน้านั้นอ่อนเยาว์
อวี้หยาเอ๋อร์เอ่ย “เด็กน้อยทำผมทรงผู้ใหญ่ก็แบบนี้เลย!”
กู้เจียว พูดอย่างกับเจ้าโตกว่าข้าอย่างนั้นล่ะ
เซียวเหิงกับกู้เจียวไปคารวะน้ำชากับทางองค์หญิงซิ่นหยาง เซวียนผิงโหวก็อยู่ด้วย
เมื่อทั้งสองเห็นเซียวเหิงจูงมือเทพธิดาน้อยเข้ามา ก็พากันตะลึงงัน
ปฏิกิริยาแรกของเซวียนผิงโหวคือนึกว่าเปลี่ยนคนแล้ว เขาเกือบจะถีบลูกชายออกไป แต่งงานได้ไม่ถึงสองวันก็พาสตรีอื่นมาหาพ่อแม่แล้ว เจ้าอยากให้ผู้ใดโมโหตายกัน!
เซียวเหิง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากับเจียวเจียวมาคารวะแล้ว”
เซวียนผิงโหว “…”
กู้เจียวเอ่ยกับเซียวเหิงเสียงเบา “เหตุใดท่านพ่อท่านแม่จึงมองข้าเช่นนั้นเล่า บนหน้าข้ามีอะไรติดหรือ”
เซียวเหิงกระซิบตอบ “เพราะบนหน้าเจ้าไม่มีอะไรติดน่ะสิ”
“หืม” กู้เจียวไม่เข้าใจ
สองสามีภรรยามองลูกชายแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะไม่บอกนางอย่างรู้ใจกันยิ่ง
กู้เจียวไปอุ้มอีอีน้อย
อีอีน้อยดันๆ หน้ากู้เจียว มองซ้ายมองขวา “แอ้ๆ”
หายไปแล้ว
กู้เจียวคารวะน้ำชาให้แม่สามี องค์หญิงซิ่นหยางให้อั่งเปาซองโตแก่กู้เจียว เซวียนผิงโหวก็ใจกว้างอย่างหาได้ยาก
เขาใจกว้างน่ะถูกต้องแล้ว ไม่ใช่เพราะโดนฉินเฟิงหวั่นรีดไถไปเด็ดขาด
คนรับใช้ในจวนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของกู้เจียวมาก่อน แต่พวกเขาก็ได้ยินมาจากปากคนอื่นแล้ว
บ่าวรับใช้คนหนึ่งที่ไปจ่ายตลาดมาเอ่ย “ข้าได้ยินมานะ ว่าฮูหยินน้อยของพวกเราหน้าตาอัปลักษณ์ยิ่งนัก! ไม่คู่ควรกับท่านโหวน้อยของพวกเราเลยสักนิด!”
นายช่างในจวนจำนวนหนึ่งมาล้อมรอบเขา หนึ่งในนั้นเอ่ย “ไม่กระมัง เจ้าฟังผู้ใดเล่ามา!”
บ่าวรับใช้เอ่ย “ข้าได้ยินคนของจวนติ้งอันโหวเล่ามา! เป็นสาวใช้ข้างกายคุณหนูรองของพวกเขาที่บอกพี่สะใภ้ข้าเองเลย!”
นายช่างเอ่ยอีก “พี่สะใภ้เจ้าไปรู้จักกับคนของจวนติ้งอันโหวได้อย่างงไร”
บ่าวรับใช้เอ่ย “ไม่รู้จักหรอก บังเอิญเจอกันที่ร้านเครื่องประดับน่ะ! สาวใช้คนนั้นบอกว่า มีอะไรดีกัน หน้าตาอัปลักษณ์เพียงนั้น แต่งไปก็โดนท่านโหวน้อยรังเกียจ!”
นายช่างเอ่ย “เช่นนั้นเหตุใดท่านโหวน้อยต้องแต่งกับนางเล่า”
บ่าวรับใช้ทอดถอนใจ “เฮ้อ นางมีบุญคุณกับท่านโหวน้อยน่ะสิ อีกอย่าง นางวาสนาดี เป็นคุณหนูของแคว้นเบื้องบน ฐานะเหมาะสมกัน ท่านโหวน้อยจึงต้องยอมรับเคราะห์นี้”
“เฮ้ยๆ” นายช่างกระตุกแขนเสื้อเขา
“อะไร” บ่าวรับใช้ถาม
นายช่างชี้ไปไม่ไกล “หน้าตาอัปลักษณ์ที่เจ้าหมายถึง…เป็นแบบนั้นหรือ”
ทุกคนหันไปมองตามทางที่เขาชี้ ก่อนจะตกใจจนพากันสูดหายใจลึก!
ท่ามกลางมวลพฤกษา ท่านโหวน้อยในอาภรณ์ไหมสีขาวจันทราเสี้ยวจับมือกันกับสตรีในกระโปรงลายเทพสถิตสีเขียวเดินมา
ลมอ่อนพัดโชยชายกระโปรงผืนบางของนาง
นี่หากมิใช่เดินออกมาจากจิตกรรมฝาผนัง ก็คงตกลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
ในหัวทุกคนมีประโยคหนึ่งผุดขึ้น นี่อัปลักษณ์รึ มารดาเจ้าตาบอดหรือไร!
…
หลังจากคารวะน้ำชาให้แม่สามีแล้ว ทั้งคู่ก็เข้าวังไปคารวะท่านย่า ฮ่องเต้และฮองเฮา
เช้านี้จวงไทเฮาสะดุดล้ม พอทราบข่าวทุกคนต่างมาหา มีทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮา จี้จิ่วอาวุโสและครอบครัวที่ตรอกปี้สุ่ย ยกเว้นเสี่ยวจิ้งคงที่ถูกซ่างกวานชิ่งพาออกไปเที่ยวเล่นนอกเมืองหลวงสามวัน
จวงไทเฮาไม่ได้เป็นอะไรมาก กลับเป็นฉินกงกงที่โดนทับได้รับบาดเจ็บ ยามเดินเหินก็กะเผลก จวงไทเฮาจึงให้เขาหยุดสองสามวัน
เนื่องจากไม่อยากให้สองสามีภรรยาเป็นห่วง ไทเฮาท่านผู้เฒ่าจึงปิดข่าวไม่ให้ส่งไปที่จวนองค์หญิง ไหนเลยจะรู้วันนี้สองสามีภรรยาน้อยมาหาเสียแล้ว
…คู่บ่าวสาวหมาดๆ พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่กกกันอยู่ที่จวนอีกสองสามวัน
ฮ่องเต้กับฮองเฮาเพิ่งจะเสด็จไป กู้เสี่ยวเป่าก็ถูกนางกำนัลพาไปเล่นกับตะพาบน้อยของฉินกงกง คนอื่นๆ นั่งตากลมกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน
เมื่อก่อนกู้เจียวเป็นแขกประจำของตำหนักเหรินโซ่ว คนเก่าคนแก่ของที่นี่ต่างเคยเห็นนางกันหมด ทว่าวันนี้ไม่มีคนไหนจำนางได้สักคน
หากมิใช่ถูกเซียวเหิงจูงมืออยู่ พวกเขาคงไม่กล้าปล่อยนางเข้ามา
จวงไทเฮานอนบนเก้าอี้หวายแอบกินผลไม้เชื่อมอยู่ มองปราดไปเห็นเจ้าเด็กบางคนแปลงร่างเป็นนางฟ้า นางเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเจือความนัยลุ่มลึก “โอ๊ะ เข้าหอแล้วหรือ”
ในที่สุดเหลนน้อยของนางก็ได้ฤกษ์มาเสียที!
นางต้องการแบบตุ้ยนุ้ยจ้ำม่ำ น่ารักกว่าเซียวอี!
แม่นางเหยาส่งเสียงอืม พยักหน้าอย่างอึ้งๆ “ข้าว่าใช่”
จี้จิ่วอาวุโสลูบเคราไปมา เขาตื่นตะลึงมาก และมีความสุขมาด้วย “ดียิ่งนัก จะได้อุ้มหลานแล้ว”
กู้เหยี่ยนกลับทอดถอนใจอย่างเสียดาย “ช่างเอาเปรียบพี่เขยข้าเกินไปแล้ว”
กู้เสี่ยวซุ่นเกาศีรษะ สีหน้างุนงง “มีแค่ข้าที่ไม่เข้าใจว่าพวกท่านกำลังคุยอะไรกันหรือ แล้วก็คนผู้นั้น…ใช่พี่สาวข้าจริงๆ รึ”
ข้าจำไม่ได้เลยสักนิด!
กู้เจียวป่าวประกาศไปนานแล้วว่าตัวเองเคยเข้าหอกับเซียวเหิงแล้ว ยามนี้เสียหน้าไม่ได้ แม้ว่าครานั้นจะไม่มีใครเชื่อ แต่นางไม่รู้เรื่องนี่นา นางนึกว่าป้องกันให้ตัวเองเป็นอย่างดีแล้วเสียอีก
นางยืดอกน้อยๆ ขึ้น สีหน้าจริงจังเอ่ย “ข้าก็บอกพวกท่านไปแล้ว ว่าข้ากับอาเหิงเป็นสามีภรรยาที่แท้จริงกันตั้งนานแล้ว! พวกเราเข้า หอ กันตั้งแต่ในชนบทแล้ว!”
กู้เหยี่ยน “คนโกหก”
แม่นางเหยา “เป็นไปไม่ได้”
จวงไทเฮา “เจ้าไม่เคย”
ร่างน้อยๆ ของกู้เจียวยืนตัวตรงดุจพู่กัน สีหน้าหนักแน่น มาดใหญ่โตมั่นอกมั่นใจสุดจะเปรียบ “ไม่เคยได้อย่างไร หรือว่าบนหน้าข้าเขียนไว้ว่าข้าเพิ่งจะเข้าหอตอนนี้!”
ทุกคนพยักหน้ากันหมด ใช่น่ะสิ!
กู้เจียว “…”