สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 925 ชีวิตหลังแต่งงาน
บทที่ 925 ชีวิตหลังแต่งงาน
……….
ท่านโหวน้อยมีงานมงคล ภายในจวนโหวจึงคึกคักกันตลอดคืน คณะละครเปลี่ยนไปสามคณะแล้ว ร้องจนคอแทบแตก จนกระทั่งขอบฟ้าสีท้องปลาเจือแต้มสีขาวจึงได้สิ้นสุดและแยกย้ายกันไป
อีอีน้อยหนวกหูจนนอนไม่หลับ ร้องงอแงอยู่ในห้องจนค่อนคืน ทำเอาองค์หญิงซิ่นหยางเข้านอนดึกไปด้วย
เมื่อนางลืมตาขึ้นก็พบว่าฟ้าสางแล้ว นวดหว่างคิ้วที่ปวดหนึบ พลางตรัส “ไยไม่ปลุกข้าให้เร็วหน่อย”
อวี้จิ่นพยุงนางขึ้นพลางเอ่ยเสียงแผ่ว “เมื่อคืนท่านบรรทมดึกยิ่งนัก ยามนี้ยังเช้าอยู่ ไม่สู้นอนต่ออีกหน่อยดีหรือไม่เพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางโบกมืออย่างเหนื่อยล้า “นอนไม่ได้แล้ว เดี๋ยวอาเหิงกับเจียวเจียวจะมาคารวะน้ำชา”
วันแรกของงานมงคล ลูกสะใภ้ต้องมาคารวะน้ำชาให้แม่สามี เช่นนี้จึงจะถือว่าได้รับการยอมรับจากตระกูลนี้อย่างแท้จริง
แม้ว่าองค์หญิงซิ่นหยางจะยอมรับกู้เจียวด้วยพระทัยแล้ว แต่นางเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับธรรมเนียมคนหนึ่ง ไม่อาจละทิ้งธรรมเนียมได้
นางล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ ก็เปลี่ยนเป็นอาภรณ์เรียบร้อย นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
อวี้จิ่นมาหยุดด้านหลังเพื่อหวีผมให้นาง
นางเอ่ย “เจ้าก็นอนไม่หลับเช่นกันกระมัง วันนี้ไม่ต้องเข้าเวรแล้ว ให้ฮว่าผิงมาแทน”
อวี้จิ่นแย้มยิ้ม “หม่อมฉันนอนเต็มอิ่มแล้วเพคะ มิหนำซ้ำเมื่อคืนหม่อมฉันก็ไม่ได้เฝ้ายามที่นี่เสียหน่อย”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ นางก็ชะงักไป ทอดมององค์หญิงของตนผ่านคันฉ่อง เป็นดังที่คาดไว้ สีพระพักตร์องค์หญิงบึ้งตึ้ง
นางกระแอมเบาๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก หวีผมให้องค์หญิงอย่างเงียบๆ
หวีไปหวีมา แววตานางก็เริ่มพิกลขึ้น
องค์หญิงซิ่นหยางเห็นในคันฉ่องแล้ว จึงถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดถึงได้ทำหน้าเช่นนั้น”
อวี้จิ่นแววตาเป็นประกายวาบ “ไม่มีอะไรนี่เพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยาง “เจ้าทำ”
อวี้จิ่นอ้าปากพะงาบ ฝืนกัดฟันบอกไป “คะ…คราหน้าท่านให้ท่านโหวระวังหน่อยนะเพคะ”
“ระวังอะไร” องค์หญิงซิ่นหยางเพิ่งถามจบ ก็มองไปตามตำแหน่งที่อวี้จิ่นจ้องอยู่ในกระจก นั่นคือลำคอของนาง นึกไม่ถึงว่าบนนั้นจะมีรอยแดงอยู่รอยหนึ่ง
นางสูดหายใจลึก ในที่สุดก็กระจ่างแล้วว่าสีหน้าของอวี้จิ่นนั้นมาอย่างไร
นางตีหน้าจริงจังเอ่ย “ยุงกัดต่างหาก ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”
อวี้จิ่นหวีผมต่อ “เพคะ”
นางได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ของอวี้จิ่นก็รู้แล้วว่าอวี้จิ่นไม่เชื่อ จึงถอนใจเอ่ย “ยุงกัดจริงๆ !”
“ท่านว่าใช่ก็ใช่เพคะ” อวี้จิ่นยักคิ้ว จับผมที่หวีแล้วหนึ่งปอยมาทำเป็นมวย ใช้ปิ่นหยกขาวปักเหนือศีรษะองค์หญิงซิ่นหยางไว้ “เมื่อคืนท่านโหวเพิ่งจะกลับไปเมื่อกลางดึกนี่เอง…”
องค์หญิงซิ่นหยางกัดฟันกรอด “นั่นเพราะอีอีเสียงดังอยู่ค่อนคืนน่ะสิ!”
อวี้จิ่นยิ้มจางๆ “ท่านว่าใช่ก็ใช่เพคะ!”
อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อ!
องค์หญิงซิ่นหยางมีปากก็ยากจะแก้ต่างได้ บังเอิญในขณะนั้นเอง เซวียนผิงโหวก็เดินมาด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใส
บุรุษแตกต่างกับสตรี เข้านอนกันดึกดื่นทั้งคู่แท้ๆ นางง่วงจะแย่ แต่เขากลับมีชีวิตชีวา
องค์หญิงซิ่นหยางปรายตามองเขา สุดท้ายก็พบว่าบนลำคอเขาก็มีรอยแดงเฉกเช่นเดียวกับบนลำคอของตนเช่นกัน
เซวียนผิงโหวสังเกตเห็นสายตานาง “ฉินเฟิงหวั่น ไยจึงมองข้าเช่นนี้ บนคอข้ามีอะไรรึ”
เขาส่องคันฉ่องดู “กัดมาตั้งแต่เมื่อใดน่ะ ข้าก็ว่าอยู่เหตุใดจึงคันเช่นนี้นะ”
อวี้จิ่นแอบยิ้ม
องค์หญิงซิ่นหยางถลึงตาใส่นาง
อวี้จิ่นกลั้นยิ้มเอ่ย “ท่านโหว ยุงกัดใช่หรือไม่เจ้าคะ คงมิใช่คนกัดหรอกกระมัง”
เมื่อคืนพวกท่านร้อนแรงกันเกินไปแล้วกระมัง!
อวี้จิ่นเข้าใจผิดไปจริงๆ เมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แค่ยุงมันเยอะมากก็เท่านั้น ยามนี้มาคิดๆ ดู สาเหตุที่อีอีน้อยร้องไห้งอแงก็ไม่ได้มาจากคณะละครเสียงดังเกินไปเสียทั้งหมดหรอก อาจเพราะนางก็โดนกัดเช่นกันด้วย
องค์หญิงซิ่นหยางหงุดหงิดจนอยากต่อยคน
ท่าทางนี้ของนางตกสู่สายตาของเซวียนผิงโหวดันกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขานั่งลงบนโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเกียจคร้าน ยิ้มเย็นเอ่ย “ฉินเฟิงหวั่น เจ้ากำลังสงสัยว่าเมื่อคืนข้าออกไปหาสตรีอื่นใช่หรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางหันมามองอวี้จิ่นอย่างเย็นชา เจ้าหาเรื่องให้ข้าแล้ว!
อวี้จิ่นกำหวีแน่น “อ๊ะ เหมือนว่าหม่อมฉันจะได้ยินเสียงของจิ้งคงเลย! ขอไปหาเขาก่อนนะเพคะ!”
เอ่ยจบ นางก็เผ่นหนีจากที่เกิดเหตุทันที
องค์หญิงซิ่นหยางคร้านจะอธิบาย
อย่างไรเสียอธิบายไปก็เปล่าประโยชน์ เขามักจะมีร้อยพันเหตุผลที่ไม่ฟัง
“เจ้าอยากไปหาผู้ใด ก็ไม่เกี่ยวกับข้า” นางลุกขึ้นอย่างเย็นชา เดินไปทางเปลวไกว
เซวียนผิงโหวทอดมองแผ่นหลังนาง จู่ๆ ก็โพล่งขึ้น “ไม่ได้ไปหา ทุกคืนก็มาหาแต่เจ้า ไหนเลยยังมีเวลาไปหาสตรีอื่นอีก”
องค์หญิงซิ่นหยางจับเปลไกวไว้ ไม่ได้หันกลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา “เจ้าอยากไปก็ไปสิ อีอีข้าเลี้ยงเอง”
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วเอ่ย “เช่นนั้นไม่ได้หรอก เจ้ากล่อมไม่อยู่”
องค์หญิงซิ่นหยางสูดหายใจลึก แอบเตือนตัวเองอย่างใจเย็นว่า ห้ามตีเขาตายเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอีอีจะไร้พ่อ
“แล้วเจ้ามาทำอะไรแต่เช้า อีอีไม่ได้ร้องตอนเช้าเสียหน่อย!”
ดีร้ายอย่างไรก็จะหาข้อผิดพลาดเขามาสักอย่างให้ได้!
เซวียนผิงโหวทอดถอนใจอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว “วันนี้ลูกสะใภ้จะมาคารวะน้ำชา เจ้าไม่ไปจวนโหว ข้าจึงต้องฝืนใจมาจวนองค์หญิงแทน”
องค์หญิงซิ่นหยางกำหมัดแน่น ก็ยังคงเป็น…เหตุผลที่ไม่อาจโต้แย้งได้อยู่ดี!
เห็นแก่ลูกชายและลูกสะใภ้หรอกนะ องค์หญิงซิ่นหยางข่มเพลิงโทสะที่ลุกโหมเอาไว้ ไม่ไปถือสาคนบางคนที่น่ากระทืบ
ทั้งคู่นั่งกันอยู่ในห้อง
อีอีน้อยลืมตามาก็เห็นท่านพ่อรูปงาม จึงอารมณ์ดีจนวาดมือวาดไม้ใหญ่
“ชิ่งเอ๋อร์เล่า” เซวียนผิงโหวอุ้มบุตรสาวพลางถามองค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “ป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก คงจะพาจิ้งคงออกไปแล้ว”
ไม่เช่นนั้นยามนี้จิ้งคงจะต้องหากู้เจียวไปทั่วทั้งจวนแน่
เซวียนผิงโหว “แล้ว…”
องค์หญิงซิ่นหยาง “ห้ามพูดมาก!”
อีอีน้อย “แง”
“เจ้าก็ด้วย!”
สองพ่อลูกปิดปากฉับแต่โดยดี
ทั้งคู่แลกเปลี่ยนสายตากัน
เซวียนผิงโหวมองบุตรสาวในอ้อมอกอย่างขมขื่น แม่เจ้าโหดนัก
อีอีน้อยมองบิดาตัวเองอย่างน้อยอกน้อยใจ เมียท่านโหดนัก
องค์หญิงซิ่นหยางแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ เตรียมต้อนรับสถานะใหม่ของตน
จนใจที่รอตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง แล้วก็รอตั้งแต่เที่ยงจนถึงค่ำ ตะวันลับภูเขาไปแล้ว ก็ไม่เห็นสองสามีภรรยามาหาเสียที
เซวียนผิงโหวยิ้มพลางลุกขึ้น ปัดๆ แขนเสื้อกว้างอย่างสง่างาม “สมกับเป็นลูกชายข้าจริงๆ !”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…!!”
…
ณ เรือนหลันถิง
เซียวเหิงค่อยๆ ตื่นขึ้นท่ามกลางแสงอัสดง
อันที่จริงเขาตื่นมาแล้วคราหนึ่ง มองกู้เจียวที่หลับฝันหวานในอ้อมกอดแล้วหักใจปลุกนางไม่ลง จึงสะลึมสะลือหลับไปอีกหน
ม่านผืนหนาบดบังประตูหน้าต่าง ภายในห้องจึงมืดสลัว แยกกลางวันกลางคืนไม่ออก
จนกระทั่งแสงอัสดงทองอร่ามสายหนึ่งส่องลอดช่องม่านเข้ามา แสงสว่างจ้าแวววาวสดใสตกกระทบลงบนม่านมุ้งสีชาด
เขายกมือขึ้นบังดวงตาให้นาง
เขาอยู่ในท่าบังแดดให้นางเช่นนี้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด แขนแข็งไปหมดแล้ว แต่เขารู้สึกไม่เหนื่อยเลยสักนิด
หากไม่ใช่… อันที่จริงเขาก็ใช้ได้…
คนในอ้อมกอดขยับแล้ว ปากน้อยๆ ส่งเสียงงัวเงียขึ้นเบาๆ
“เจียวเจียว ตื่นแล้วหรือ” เขาถามเสียงเบา
กู้เจียวลืมตาขึ้นก่อนข้างหนึ่ง มองเขาแล้วหลับตาปี๋ “ยังไม่ตื่น ยังนอนต่อ”
ช้าก่อน เหตุใดเสียงนางจึงแหบเช่นนี้เล่า
เสียงไม่ใช่ของตัวเองแล้ว
เหมือนว่าขาก็ไม่ใช่ของตัวเองเช่นกัน
ขยับไม่ได้แล้ว
ปวดยิ่งนัก
เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ภาพของครึ่งคืนแรกในคืนวันแต่งงานเป็นปกติดี แม้ว่าคู่สามีภรรยาจะไร้ประสบการณ์ในสมรภูมิ แต่ประสบการณ์ทางทฤษฎีนั้นแน่นหนา เสร็จสิ้นธรรมเนียมกันไปอย่างทุลักทุเล
เพียงแต่ว่าประสบการณ์ครั้งแรกนั้นไม่ดีนัก
ทั้งคู่จึงตัดสินใจลองอีกรอบ
ยามนี้กู้เจียวกระหายน้ำ ไม่ทันระวังหยิบสุรามาดื่มเพราะนึกว่าเป็นน้ำ ภาพหลังจากนั้นก็หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสายแล้ว
เซียวเหิงจำต้องไล่คนรับใช้ทั้งเรือนออกไปอย่างช่วยไม่ได้ และสั่งไม่ให้กลับมาหากไม่มีคำสั่งของเขา
นี่คือสาเหตุที่เหตุใดตอนกลางวันไม่มีผู้ใดไปทูลสถานการณ์ของเรือนหลันถิงกับทางองค์หญิงซิ่นหยางเลย
กู้เจียวเริ่มจำได้ว่านางเปิดกล่องยาใบน้อย แต่นางไม่รู้ว่าหยิบอะไรออกมา…
หรือเจ้ากล่องไว้ใจไม่ได้นั้นจะมอบสิ่งของไม่เข้าท่าอะไรให้นางอีก…
เซียวเหิงเอ่ย “เจ้าตื่นแล้ว”
กู้เจียวหลับตาลง “ข้าเปล่า”
โครกกก
ท้องกู้เจียวร้องขึ้น
แสงทองเบนไปทางอื่นแล้ว ไม่ส่องตานางอีก เซียวเหิงจึงวางแขนที่เริ่มแข็งทื่อลง ลูบดวงหน้ารูปไข่นุ่มนิ่มของนางแผ่วเบา “ลุกขึ้นมากินข้าวหน่อย”
กู้เจียวขยับขาเรียวยาว เซียวเหิงสูดหายใจลึก เอ่ยเสียงพร่า “เจียวเจียว อยู่นิ่งๆ”
กู้เจียวไม่ขยับแล้ว
ใช่ว่านางเชื่อฟังแต่โดยดี แต่นางหมดเรี่ยวแรงให้ขยับแล้วจริงๆ
ไฉนจึงเหนื่อยเสียยิ่งกว่ารบทัพจับศึกอีกเล่า… นางทำศึกตลอดทั้งคืนยังไม่มีอาการปวดเอวเมื่อยขาเช่นนี้เลย
เมื่อคืนนางทำอะไรลงไปกันแน่
ในระหว่างขบคิด นางก็แอบลืมตาขึ้น มองไปบนหมอนโดยไม่ได้ตั้งใจ ไหนเลยจะรู้ นางเกือบจะสำลัก!
นางเห็นอะไรน่ะ
ถุงยาง!
นางข่มความเมื่อยขบบนแขนไว้ ค่อยๆ ใช้สองนิ้วไต่ไปหมายจะอาศัยจังหวะที่เซียวเหิงไม่ระวัง ดึงกล่องกลับมาทำลายไม่ให้เหลือซาก!
“ใช้หมดแล้ว”
เซียวเหิงเอ่ยเสียงนิ่ง
“สองกล่อง”
กู้เจียว “!!!”