สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 924-2 ห้องหอแสนหวาน (2)
บทที่ 924 ห้องหอแสนหวาน (2)
……….
องค์หญิงซิ่นหยางหลับตาลงอย่างปวดหัว เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้… นางจึงจงใจใช้ตำราอาหารวางทับไว้
นางรีบกลับมาที่เรือนของตัวเอง
เพิ่งมาถึงหน้าประตู ก็เหลือบไปเห็นเงาร่างสูงใหญ่นั่งอยู่กลางห้องนาง เขาคนนั้นคือเซวียนผิงโหวที่เพิ่งลุกออกจากที่นั่งในพิธีเมื่อครู่นี้
เซวียนผิงโหวเหมือนจะไม่รู้ถึงการมาเยือนของนาง เขากำลังจดจ่อพลิกตำราบนโต๊ะทีละเล่ม
ทว่าเมื่อองค์หญิงซิ่นหยางเห็นสมุดภาพเล่มนั้น ก็ตกใจจนเข่าทรุด เกือบจะล้มลงกับพื้นอยู่รอมร่อ
ทว่าสายตาของเซวียนผิงโหวยังคงไม่ละไปไหน จ้องมองสมุดภาพเล่มนั้นไม่วางตา ดูไปพลางพลิกเปิดไปพลาง “ฉินเฟิงหวั่นหนอ ฉินเฟิงหวั่น ข้านึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะชอบดูภาพชุนกงถูเช่นนี้”
องค์หญิงซิ่นหยางเดินเข้ามาด้วยใบหน้าแดงก่ำ แย่งหนังสือภาพจากเขา “ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาในห้องข้า!”
เซวียนผิงโหวมองนางกรุ้มกริ่ม “ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่ให้ข้ามาหา”
“ข้าบอกตอนไหน…”
นางเพิ่งเอ่ยได้เพียงครึ่งประโยค ก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง จึงหันขวับกลับไปมองอวี้จิ่นที่หน้าประตู
อวี้จิ่นก้มหน้างุด “เมื่อครู่… อีอีร้องไห้ยกใหญ่ องค์หญิงมีธุระ ข้าจึง…เรียกท่านโหวมาเพคะ”
นางกัดฟันกรอก ซ่อนหนังสือภาพไว้ด้านหลัง “แต่ข้าไม่ได้อนุญาตให้เจ้ารื้อข้าวของของข้า!”
เซวียนผิงโหวอธิบาย “มันวางอยู่บนโต๊ะอยู่แล้ว ไม่สิ ฉินเฟิงหวั่น การที่ชอบดูหนังสือพวกนี้มิใช่เรื่องเสียหาย ไม่มีใครเขาตำหนิหรอก”
นางเอ่ยเสียงเย็น “ข้าไม่ได้ชอบเสียหน่อย”
“ไม่ชอบแล้วดูทำไม” เซวียนผิงโหวมองนางหัวจรดเท้า ใบหน้าแดงก่ำจนแทบจะเลือดซิบ แต่งงานมาตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางเขินอายขนาดนี้
ชั่ววินาทีนั้น เขาเข้าใจอะไรบางอย่างก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “เจ้าอยากเรียนหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางสีหน้ามึนงง “เอ๊ะ”
เซวียนผิงโหวเดินก้าวเข้ามา องค์หญิงซิ่นหยางถอยหลังตามสัญชาตญาณ นางลืมไปว่าด้านหลังของตัวเองคือโต๊ะ ท่อนแขนของนางกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะเต็มเปา
เซวียนผิงโหวใช่มือข้างหนึ่งค้ำยันกับโต๊ะด้านหลังนาง ลมหายใจหนักหน่วงรดรินปกคลุมเหนือนาง นางไม่คุ้นชินกับการใกล้ชิดกับใครขนาดนี้มาก่อน จึงพลันกลั้นหายใจ
เขาจ้องมองนาง ริมฝีปากยกยิ้ม “หรือว่าเจ้ากำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้ข้า ฉินเฟิงหวั่น ไหนว่าเจ้ามิได้คิดอะไรกับข้ามิใช่หรือ”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…!”
…
งานแต่งงานในจวนเซวียนผิงโหวครื้นเครงหาใดเปรียบ ตั้งโต๊ะเรียงรายนับร้อย ผู้คนมากมายเต็มจวนโหว จวงไทเฮาและฮ่องเต้ก็มาร่วมงานเช่นกัน เซียวฮองเฮานั้นได้รับอนุญาตให้กลับมาเยี่ยมญาติเป็นพิเศษ
เพื่อนร่วมงานสำนักฮั่นหลินก็มาเช่นกัน เฝิงหลิน หลินเฉิงเย่ ตู้รั่วหัน หนิงจื้อหย่วนลากเซียวเหิงมาดื่มอยู่หลายจอก
พวกเขาต่างเมามาย
ตู้รั่วหันเอ่ยเสียงกรึ่ม “เจ้านี่… ข้าว่าแล้วเชียว…ว่าเจ้าน่ะไม่ใช่ลิ่วหลัง… เอ๊ะ ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม! เฝิงหลิน!”
เขาตบหลังเฝิงหลินเต็มแรง
เฝิงหลินเมาตั้งแต่คนแรกๆ เงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง “ฮะ ฮะ ดื่ม ดื่มอีก!”
ตู้รั่วหันยกแก้วเหล้าขึ้น “ดื่มกันท่านโหวน้อย…อีกแก้ว!”
หลินเฉิงเย่ฟุบกับโต๊ะ “อีกแก้ว…”
หลินเฉิงเย่และเฝิงหลินต่างแต่งงานแล้ว เฝิงหลินเป็นพ่อคนแล้ว ภรรยาของหลินเฉิงเย่เพิ่งตั้งท้อง
ตู้รั่วหันมุ่งมั่นกับการเรียน ยังไม่คิดเรื่องแต่งงานมีคู่
พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของลิ่วหลังเมื่อไม่นานมานี้ หากจะบอกว่าไม่ตกใจก็คงโกหก แต่หากมานึกดูดีๆ ก็คิดว่าสมเหตุสมผลไม่น้อย
บนโลกนี้จะมีอัจฉริยะได้สักกี่คนกันเชียว
สติปัญญาหลักแหลมที่สวรรค์ประทานให้มนุษย์มีสิบส่วน ท่านโหวน้อยเอาไปแล้วเก้าส่วน หนึ่งส่วนที่เหลือพวกเขาทั้งหมดก็แบ่งกันไป
“ดื่ม! ดื่ม!” หนิงจื่อหยวนมอมตู้รั่วหันไปแล้วสองแก้ว ตู้รัวหันฟุบลงกับโต๊ะ โต๊ะยังมีเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนที่ยังไม่ล้ม หนิงจื้อหย่วนส่งสายตาให้เซียวเหิง “ข้าจัดการเอง เจ้าไปเถอะ”
เซียวเหิงยกมือขึ้นคำนับหนิงจื้อหย่วน “ขอบใจนัก”
“ข้าจะรับคาระวะท่านโหวน้อยได้อย่างไร” หนิงจื้อหย่วนรีบยั้งมือเขา
เซียวเหิงตบไหล่เขา บอกขอบคุณก่อนจะจากไป
อีกโต๊ะหนึ่ง คนตระกูลที่วางแผนกันดิบดีบนรถม้าแล้วว่าจะไปก่อกวนที่ห้องหอ ทว่ายามนี้กลับถูกซ่างกวานชิ่งรั้งตัวเอาไว้
หากว่าด้วยเรื่องวรยุทธ์ ซ่างกวานชิ่งนั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของกู้ฉังชิง กู้เฉิงเฟิง เซวียนหยวนฉี หรือท่านเหล่าโหวเลย ทว่าหากเป็นเรื่องดื่มเหล้าแล้วละก็ ต่อให้เอายอดฝีมือร้อยคนมารวมกันก็สู้ปลายนิ้วเดียวของเขาไม่ได้
เขาใช้ความสามารถนี้ทำให้ทุกคนต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
เซวียนหยวนฉีและท่านเหล่าโหวรวมถึงคนอื่นๆ เดินโงนเงนก่อนจะล้มลงบนสนามหน้า แม่ทัพใหญ่ฝั่งแม่ไม่เหลือภาพลักษณ์อีกต่อไป
ซ่างกวานเยี่ยนนั่งอยู่เก้าอี้ เท้าข้างหนึ่งยกเหยียบมุมเก้าอีก เงยหน้ากระดกเหล้าดื่มอย่างสบายอารมณ์ “ไร้เทียมทานเป็นเช่นนี้สินะ… ช่างเปล่าเปลี่ยวนัก…”
เหลี่ยวเฉินที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้แค่นหัวเราะ
ซ่างกวานชิ่งเอ่ย “นักบวช ท่านหัวเราะอะไร”
เหลี่ยวเฉินเอ่ย “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้ายังไม่เมา คืนนี้เจ้าหนูนั่นจะได้เข้าห้องหอหรือเปล่าก็ยังไม่แน่”
“เอ๊ะ งั้นหรือ” ซ่างกวานชิ่งเลิกคิ้ว มองเหลี่ยวเฉินบนต้นไม้อย่างมีเลศนัย
เหลี่ยวเฉินหรี่ตา “เหตุใดเจ้าถึงมองข้าเช่นนั้น”
ซ่างกวานชิ่งยิ้มร้าย “หันหลังสิ”
เหลียวเฉินหันกลับตามคำเขา
ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง ชุดนักบวชยาวสีน้ำเงินเข้มของเจ้าสำนักชิงเฟิงปลิวลับสายสม สีหน้านิ่งเรียบ แววตาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร
เหลี่ยวเฉินชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ!
นักบวชชิงเฟิงมองใครคนนั้นบนกิ่งไม้ ก่อนจะเอ่ยเน้นย้ำทีละพยางค์ “เจ้าบอกว่าจะรอข้าที่เซิ่งตู เจ้า กลับคำ”
ถ้าไม่กลับคำจะรอให้เจ้ามาฆ่าอย่างนั้นหรือ
เหลี่ยวเฉินกำหมัดแน่น หันไปมองทางซ่างกวานชิ่ง “เจ้าเป็นคนเรียกเขามาหรือ”
ซ่างกวานชิ่งผายมือยักไหล่ “ข้ามิเก่งกาจปานนั้นหรอก”
เจ้าน้องชายหน้าเหม็นต่างหากเล่า
แม้แต่เขาก็ถูกปืนแบบใหม่เขาเจ้าน้องชายหน้าเหม็นซื้อตัวเข้าจนได้ ไม่อย่างนั้นใครอยากจะมาดื่มงานเจ้าเด็กนี่กันเล่า
เหอะ!
…
ม่านราตรีโรยตัวลงมา เซียวเหิงกลับมาที่เรือนหลังใหม่
เทียนมังกรเคียงหงส์ส่องแสงสว่าง ภายในห้องที่แปะอักษรมงคลเต็มไปหมดนั้นสะท้องแสงเทียนรำไร
เซียวเหิงใช้เรียวนิ้วหยกนั้นค่อยแหวกผ้าคลุมหน้าของนาง
ดวงหน้าแสนอ้อนช้อยนั้นปรากฏแก่สายตาเขา เขาไม่รู้ว่าก่อนเลยว่านางนั้นมีเสน่ห์ชวนหลงใหลถึงปานนี้
มิใช่ว่าแต่ก่อนนางไม่งาม แต่นางในค่ำคืนนี้ นางที่สวมชุดเครื่องหัวและชุดแต่งงาน ช่างงดงามเหนือบรรยาย
เขาจ้องมองนาน ไม่อาจละสายตาได้
กู้เจียวเองก็มองเขาอย่างตกตะลึงเช่นกัน เขามักจะสวมเสื้อผ้าสีเข้ม นางไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาในชุดสีแดงสดจนหล่อเหลาปานนี้
เขาหัวเราะเบาๆ “ภรรยา ดื่มสุราสมรสกันเถอะ”
รอยยิ้มของเขาเรียกสติกู้เจียวกลับมา
ยังไม่ได้ดื่มเหล้าแท้ๆ แต่กลับเมามายเสียแล้ว
ส่วนเซียวเหิงที่ดื่มมาแล้ว เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ก่อนจะถามนาง “เมาอีกแล้วหรือ”
เขาจำได้ว่าแม่หนูคนนี้ดื่มจอกเดินก็เดินไม่ตรงแล้ว
“เปล่าเสียหน่อย” กู้เจียวตอบ
ภายในกล่องยาใบน้อยมียาแก้เมา นางเพิ่งจะกินไป
เสียงละครจากเวทีละครด้านนอกดังลอยเข้ามา ตามมาด้วยเสียงเฮฮาของบรรดาแขกเหรื่อเป็นครั้งคราว เพราะมีม่านราตรีคอยขวางกั้นเอาไว้ เรือนหลังนี้จึงเงียบสงบเป็นพิเศษ
ทั้งสองคนไม่พูดไม่จา ทั้งยังไม่ไหวติง นั่งนิ่งอยู่บนเตียงอย่างนั้น
เซียวเหิงกุมอกที่หัวใจเต้นรัว เขาถามนาง “เจ้า คิดอะไรอยู่หรือ”
กู้เจียวตอบตามตรง “กำลังนับ”
เซียวเหิงมองนางอย่างงุนงง “เหตุใดต้องนับด้วย”
กู้เจียวยกนิ้วขึ้นชนกัน “ในตำราบอกว่า หญิงสาวต้องสงวนท่าที เพราะอย่างนั้นหากข้าจะนับหนึ่งถึงร้อยแล้วก็จะกินเจ้าให้หมดทั้งตัว”
แววตาของเซียวเหิงล้ำลึก ลมหายใจแทบหยุดกระทันหัน
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้านับถึงเท่าไหร่แล้ว” เขาถามเสียงแหบพร่า
กู้เจียวนับออกเสียง “ห้าสิบเก้า หกสิบ หกสิบเอ็ด…”
ทนไม่ไหวแล้ว
หากนับให้ครบทั้งสามสิบเก้า เขาคงได้ตายพอดี
“เจียวเจียว ไม่ต้องนับถึงหนึ่งร้อยหรอก ตำราโกหก”
เขายกมือขาวดุจหยกขึ้นมาก่อนจะประคองท้ายทอยของนางเอาไว้ ก้มใบหน้าลงแล้วจรดจูบริมฝีปากนางอย่างแผ่วเบา
แสงจันทร์นวลผ่อง สาดแสงกลบราตรีมืดมิด
ม่านสีแดงค่อยๆ ถูกปลดลง เสื้อผ้าถูกโยนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ส่งกลิ่นหอมชวนหลงใหล
บนกิ่งไม้นอกหน้าต่าง เสี่ยวจิ่วใช้ปีกกว้างของตัวเองปิดหน้า
เขินชะมัด