สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 924 ห้องหอแสนหวาน (1)
บทที่ 924 ห้องหอแสนหวาน (1)
……….
ท่ามกลางเสียงครื้นเครงของบรรดาญาติผู้ใหญ่ทั้งหลาย เซียวเหิงจูงมือกู้เจียวเข้าไปในจวนองค์หญิง
องค์หญิงปรับปรุงเรือนหลันถิงที่ทิวทัศน์งดงามที่สุดให้เป็นที่พักอาศัยของคู่บ่าวสาว
พรมแดงที่ปูทางเดินตั้งแต่เข้าประตูจวนมานั้นไม่มีขาดตอน ทอดยาวมาจนถึงด้านใน ตอนงานแต่งงานขององค์หญิงซิ่นหยางกับเซวียนผิงโหวยังไม่ตระการตาถึงเพียงนี้
เหตุผลหลักเป็นเพราะตอนนั้นองค์หญิงซิ่นหยางไม่ยอมให้คนปูพรมเข้ามาถึงข้างใน
ยามนี้เพื่อลูกชายและลูกสะใภ้ ทั้งสองจวนแทบจะละทุหากันได้ เรียกได้ว่าใกล้ชิดกันที่สุดในรอบยี่สิบมานี้
“ระวัง” เมื่อมาถึงหน้าประตูเรือน เซียวเหิงกระซิบเตือนกู้เจียวที่กำลังก้าวข้ามธรณีประตู
กู้เจียวขานรับ ก้าวเท้าข้ามไป
เนื้อผ้าของผ้าคลุมหน้าดีเกินไป หากหมายจะมองทะลุออกไปนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เซียวเหิงจึงต้องคอยเตือนยามเดินเหิน
ยามนี้ท้องนภากำลังทอแสง ดอกโบตั๋นและไห่ถังในเรือนแข่งกันผลิบานเผยสีสันสดใสภายใต้แสงตะวัน
เหล่าสาวใช้ที่ยืนเรียงรายอยู่สองฝั่งคำนับโดยพร้อมเพรียง
อวี้หยาเอ๋อร์หอบกล่องยาใบน้อยของกู้เจียวเดินตามทั้งสอง วันนี้เป็นวันมงคลของกู้เจียวและเซียวเหิง แม้แต่ราชาม้าเฮยเฟิงยังทัดดอกไม้แดง เจ้ากล่องยาใบน้อยเองก็ไม่เว้น
วันนี้เจ้าคือกล่องยามงคล!
กล่องยาใบน้อยแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของอวี้หยาเอ๋อร์ราวกับลูกไก่ ทว่าในใจของอวี๋หยาเอ๋อร์กลับไม่อาจสงบนิ่งได้เลย
“โห ใหญ่มาก…”
นางแยกไม่ออกว่าที่ไหนคือจวนโหรหรือจวนองค์หญิง รู้สึกเพียงแค่ว่าพวกนางเดินมานานมากแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงเสียที!
แถมจวนหลังนี้ชักจะสวยเกินไปแล้ว!
“ภูเขาจำลองเหมือนของจริงเลย…” นางเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว
เซียวเหิงยิ้มก่อนจะเอ่ย “ก็นั่นภูเขาจริงนี่”
“เอ๊ะ” อวี้หยาเอ๋อร์ชะงัก “ภูเขาจริงหรือเจ้าคะ”
เซียวเหิงพยักหน้า “ใช่ ภูเขาจริง”
องค์หญิงซิ่นหยางเป็นคนละเอียดลออ นางไม่ชอบของจำลอง ภูเขาหินในจวนองค์หญิงก็ขุดมาจากที่อื่นแล้วลำเลียงเข้ามา ภูเขาเขียวนั้นเดิมทีมีอยู่แล้ว แม้แต่สระบัวเองก็เช่นกัน ดอกไม้งานที่เบ่งบานนั้นล้วนแต่เป็นดอกบัวป่า
เรือนหลันถิงนั้นอยู่ใกล้กับสระบัว
ตอนที่เดินผ่านเมื่อครู่ สายลมอ่อนพัดผ่านผิวน้ำ กลิ่นหอมสดชื่อของดอกบัว
หลังจากเข้าห้องหอ เซียวเหิงจูงมือกู้เจียวมานั่งบนเตียงบ่าวสาว
นั่นก็คือเตียงที่เสี่ยวจิ้งคงมานอนเฝ้า ว่ากันว่าหากให้เด็กชายมานอนก่อน จะทำให้คู่แต่งงานใหม่มีลูกเร็วขึ้น
เสี่ยวจิ้งคงนั้นไม่รู้ความหมายแฝงของสิ่งนี้ เอาเป็นว่าหากให้เขานอนบนเตียงเจียวเจียว เขาก็เต็มใจอยู่แล้ว
สาวใช้เห็นนายน้อยกับฮูหยินน้อยเข้ามาแล้ว ก็ออกไปจากห้องอย่างรู้งาน
จู่ๆ ก็เหลือพวกเขาเพียงแค่สองคน ภายในห้องพลันเงียบสงัด
ทั้งสองคนไม่ได้เพิ่งรู้จักกันวันแรก ทั้งยังมิใช่ครั้งแรกที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ทว่ากลับรู้สึกแตกต่างจากเมื่อก่อน
หรืออาจเป็นเพราะครั้งนี้จะได้กลายเป็นสามีภรรยากันแล้วจริงๆ
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป คาดหวังก็พลันพุดขึ้นมาในใจ ขณะเดียวกันก็ตื่นเต้นไม่น้อย
“หัวใจเจ้าเต้นแรงมาก”
กู้เจียวที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าพันเอ่ยขึ้น
เซียวเหิงชะงักไป พอก้มหน้าลงก็เห็นว่าเรียวนิ้วงามดุจหยกของใครบางคนนั้นกำลังจับชีพจรของเขาโดยไม่รู้ตัว
สมกับเป็นหมอจริงๆ… จับชีพจรคนได้เสียทุกเวลา
“ข้า…” เขาอ้าปากเอ่ย แต่กลับพลันไม่รู้ว่าจะอธิบายแก้เก้ออย่างไร
“หัวใจข้าเองก็เต้นเร็วมากเช่นกัน” กู้เจียวดึงนิ้วมือของเขามาวางบนข้อมือขาวเนียนของตัวเอง
ผิวของนางเย็นเฉียบ เซียวเหิงกลับรู้สึกว่าราวนิ้วของตัวเองนั้นร้อนระอุ หัวใจเต้นถี่รัว แม้แต่หายใจยังหอบกระชั้นไม่เป็นจังหวะ
เสียงของอวี้หยาเอ๋อร์ดังมาจากด้านนอก
“มีอะไรหรือ” กู้เจียวถาม
อวี้หยาเอ๋อร์ตอบ “มีคนมาที่โถงหน้า เร่งให้ท่านชายออกมาพบเจ้าค่ะ”
ยามนี้ฟ้าแจ้งตะวันโด่ง มิใช่เวลาเข้าเรือนหอ เซียวเหิงยังต้องออกไปรับแขก
กู้เจียว “อ๋อ”
ได้ยินเสียงขานตอบที่เดาอารมณ์ไม่ออกของนาง เซียวเหิงก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
เขาบอกกับอวี้หยาเอ๋อร์ “ข้ารู้แล้ว ให้พวกเขารอไปก่อน”
“เจ้าค่ะ ท่านชาย!” อวี้หยาเอ๋อร์ส่งข่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางนึกไว้อยู่แล้วเชียว ในใจของท่านชาย คุณหนูของนางย่อมสำคัญที่สุดอยู่แล้ว!
“เหนื่อยหรือไม่” เซียวเหิงถามกู้เจียว
“ไม่เหนื่อย” กู้เจียวตอบ
นั่นไม่ใช่คำตอบตามมารยาท แต่นางไม่เหนื่อยจริงๆ
เครื่องหัวผ้าคลุมหน้านั้นหนักมาสำหรับหญิงสาวทั่วไป ทว่าไม่ได้หนักเท่าชุดเกราะที่นางสวมใส่ นางสวมชุกเกราะข้ามวันข้ามคืนออกรบแต่ไม่เคยบ่นเหนื่อยแม้สักคำ แค่แต่งงานจะไปเหนื่อยอะไร
นางยังมีแรงเหลือเฟือเลยล่ะ!
โครก~
เสียงท้องของนางร้องดัง
เซียวเหิงยิ้มพลางเอ่ย “ไม่ได้กินอะไรมาเกือบทั้งวัน หิวแย่แล้วสิท่า เดี๋ยวข้าให้คนเขาออกกินมาให้”
กู้เจียวเอ่ย “ให้อวี้หยาเอ๋อร์เอามาให้ก็พอ เจ้าออกไปรับแขกเถอะ”
เซียวเหิงยกยิ้มมุมปากมองนาง “เจ้าแน่ใจนะ”
กู้เจียวพยักหน้า “รีบไปรีบกลับล่ะ”
“ใช่แล้ว หากท่านยังไม่ไปอีก พวกเขาจะให้ท่านดื่มลงโทษ”
เป็นเสียงของอวี้จิ่น
อวี้จิ่นยิ้มกว้างเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องอาหาร
อวี้หยาเอ๋อร์ที่อยู่หน้าประตูยิ้มพลางคำนับให้นาง “ท่านป้าอวี้จิ่น!”
อวี้จิ่นยิ้มพลางตบฝ่ามือนางเบาๆ “เจ้าเองก็ไปหาอะไรกินสักหน่อยเถอะ ทางนี้ข้าดูแลเอง”
อวี้หยาเอ๋อร์ส่ายหน้า “เช่นนั้นไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ข้าต้องดูแลคุณหนูกู้!”
อวี้จิ่นเอ่ยเสียงอ่อนโยน “วางใจเถิด ข้าดูแลแทนเจ้าเอง”
อวี้หยาเอ๋อร์มองเข้าไปในห้องของกู้เจียว “เช่นนั้น…”
“ฟังป้าอวี้จิ่นเถิด” กู้เจียวเอ่ย
“ส่งของมาให้ข้าเถอะ” อวี้จิ่นเอ่ยกับอวี้หยาเอ๋อร์
กู้เจียวเอ่ยปากแล้ว อวี้หยาเอ๋อร์จึงไม่ดึงดันอีกต่อไป นางส่งกล่องยาใบน้อยที่มัดด้วยผ้าแดงพร้อมทัดดอกไม้แดงส่งให้อวี้จิ่น “รบกวนท่านป้าอวี้จิ่นด้วยนะเจ้าคะ!”
“ปี้เอ๋อร์” อวี้จิ่นเรียกสาวใช้ที่อยู่ข้างกัน อีกฝ่ายเดินนำพาอวี้หยาเอ๋อร์ไปกินข้าว
ส่วนอวี้จิ่นนั้นหิ้วกล่องอาหารเดินเข้าเรือนหอไป ก่อนจะเอ่ยกับเซียวเหิง “ท่านโหวน้อย ที่นี่มีข้าอยู่ ท่านรีบไปเถิด”
เซียวเหิงหันไปมองกู้เจียว ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ประเดี๋ยวข้ากลับมา”
กู้เจียว “อื้ม”
เซียวเหิงเดินออกจากเรือนหลันถิง
อวี้จิ่นนำขนมภายในกล่องออกมาวางเรียงราย ใช้ถาดรองอย่างดี ก่อนจะนำมาวางใกล้มือกู้เจียว
กู้เจียวไม่ค่อยชอบกินของหวาน ทว่าขนมพวกน้ำรสชาติอ่อนยิ่งนัก
นางหยิบขนมเปี๊ยะไส้ไข่เค็มขึ้นมา ก่อนจะสอดเข้าใต้ผ้าคลุมหน้าแล้วกัดกินเบาๆ
อวี้จิ่นรินชาดอกไม้ให้นางอีกหนึ่งแก้ว
นางรับแก้วมาพลางเอ่ยถาม “ท่านป้าอวี้จิ่น ท่านมองหาอะไรอยู่หรือ”
อวี้จิ่นตกใจ เจ้าคลุมอยู่แต่ยังเห็นว่านางเหลียวซ้ายแลขวาหรือ
อวี้จิ่นยิ้มแก้เก้อ “อ๋อ เปล่าหรอกเจ้าค่ะ องค์หญิงบอกว่าประเดี๋ยวจะมาหาคุณหนูน่ะเจ้าค่ะ”
เพิ่งจะสิ้นเสียง องค์หญิงซิ่นหยางในอาภรณ์หรูหราก็เดินเข้ามา
อวี้จิ่นออกจากห้องไป
องค์หญิงซิ่นหยางนั่งลงบนตั่งข้างเตียง เมื่อเห็นกู้เจียวกินได้พอประมาณแล้วจึงกระแอมขึ้น ก่อนจะยื่นห่อผ้าในมือให้นาง
“อะไรหรือ” กู้เจียวถาม
สีหน้าขององค์หญิงซิ่นหยางดูกระอักกระอ่วน โชคดีที่กู้เจียวสวมผ้าคลุมหน้า มองไม่เห็นสีหน้าของนาง
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าดูเองเถิด”
“อ๋อ” กู้เจียวคลายห่อผ้าแล้วเปิดออก ทันในนั้นสายตาก็พลันพร่ามัว “ท่านเดินตากแดดมาเพื่อมอบสิ่งนี้ให้กับข้าหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางพยายามกักเก็บความกระดากอาย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าดูก่อน หากไม่เข้าใจ ก็ถามข้าได้”
“มีอะไรยากจะเข้าใจหรือ” กู้เจียวพึมพำ
องค์หญิงซิ่นหยางเบ้ปาก
ยังจะปากแข็งอีก
นางรู้มาจากแม่ของกู้เจียว พวกเจ้าสองคนไม่เคยร่วมเตียงกันด้วยซ้ำ บนหน้าเจ้าไม่ใช่ปานแดง แต่เป็นแต้มพรหมจรรย์ต่างหาก!
องค์หญิงซิ่นหยางไม่เคยอ่านหนังสือพรรค์นี้มาก่อน แต่เพื่อให้ลูกชายและลูกสะใภ้เข้าเรือนหออย่างราบรื่น นางจึงจำต้องเสียสละ
นางเป็นคนช่างเลือก พวกรูปภาพหยาบโลนไร้รสนิยมตามตลาดนั้นนางไม่แม้แต่จะชายตามอง สมุดภาพพวกนี้นางใช้เงินมหาศาลจ้างจิตกรเพื่อวาดขึ้นมาโดยเฉพาะ จึงออกมาวิจิตรบรรจง
แบบที่ว่าแม้แต่นางเห็นแล้วก็ไม่รู้สึกรังเกียจ
ยอกจากนี้กระดาษที่นางใช้ก็มิใช่กระดาษเนื้อหยาบที่ขายกันไม่กี่อัฐตามท้องตลาด แต่เป็นกระดาษวาดเขียนราคาแพงลิ่ว
และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ สมุดภาพนี้มิใช่ภาพขาวดำ แต่เป็นภาพสี
“ไม่มีอะไรจะถามจริงๆ หรือ” นางเสียงเรียบ น้ำเสียงสงบนิ่ง ทว่าในใจนั้นกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด
แล้วใช้ให้เจ้าสองคนนี้ไม่มีประสบการณ์กันเล่า
หากซ่างกวานเยี่ยนอยู่ที่นี่ คงปล่อยให้พวกเขาสองคนสำเร็จวิชาโดยไร้อาจารย์เป็นแน่
ทว่าองค์หญิงซิ่นหยางไม่วางใจ ถึงได้เตรียมการเช่นนี้
“อื้ม…” กู้เจียวถามเอาใจ “ใส่ขิงกับหัวหอมก่อน แล้วค่อยลวกน้ำได้หรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางขมวดคิ้ว “ขิงกับหัวหอมอะไร… ลวกน้ำอะไรรึ”
กู้เจียวยื่นตำราให้นาง ชี้ไปยังหัวกระดาษ “เอ่อ… หมูพะโล้สามชั้นน่ะ”
องค์หญิงซิ่นหยางชะงักพลัน
หยิบหนังสือมาผิดเล่ม!