สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 918 สองสุขมาเยือน
บทที่ 918 สองสุขมาเยือน
……….
กู้เสี่ยวเป่าเป็นแขกประจำของตำหนักเหรินโซ่ว กู้เจียวอุ้มเขาไว้ ได้ใช้สิทธิพิเศษในการเข้าวังโดยใช้การจดจำใบหน้า
กู้เสี่ยวเป่าใช้พลังงานหมดไปกับการตามหาพี่สาวในตรอกปี้สุ่ย ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะเดินต่อ
กู้เจียวมีกำลังมากจึงยินดีอุ้มเขาไว้
อวี้หยาเอ๋อร์ช่วยกู้เจียวถือของและเดินเข้าวังไปด้วยความเบิกบานใจ
ไทเฮาจวงไม่สนใจราชกิจในตอนนี้ นางชอบไปเล่นไพ่ที่ตรอกปี้สุ่ยเมื่อว่างเว้น ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ แต่ช่วงก่อนนางเป็นห่วงกู้เจียวมากจนป่วยหนัก อาการของนางก็เริ่มดีขึ้นหลังจากได้รับข่าวชัยชนะจากชายแดน
“ท่านย่า” กู้เสี่ยวเป่าสนิทกับท่านย่ามาก เข้าไปในห้องบรรทมก็เอื้อมมือไปหานาง
ท่านย่ารำคาญเด็กงอแง แต่กู้เสี่ยวเป่าไม่เคยร้องไห้ เขาเป็นเด็กน้อยที่เงียบสงบไม่เหมือนเด็กทั่วไป
ท่านย่าอนุญาตให้ฉินกงกงอุ้มเขามาหานาง
ฉินกงกงยิ้มกว้างและเดินเข้ามาหา “ท่านกลับมาแล้ว ไทเฮาคิดถึงท่านมาก พระองค์ไม่เสวย ไม่ดื่มชาเลย หากท่านไม่กลับอีก ไทเฮาก็คงต้อง…”
ไปแคว้นเยี่ยนเพื่อตามหาท่านแล้ว
ฉินกงกงกลืนคำพูดนั้นลงคออย่างชาญฉลาด
“ให้ข้าอุ้มเถอะ” ฉินกงกงยื่นมือไปอุ้มกู้เสี่ยวเป่า
กู้เสี่ยวเป่าหมุนตัวอย่างรวดเร็ว
ไม่ให้อุ้ม
ฉินกงกงร้องเสียงโอ้ย
“ข้าเอง” กู้เจียวเอ่ย
“ข้าขอตัวไปชงชาก่อน” ฉินกงกงยิ้มแล้วถอยกลับไป พาเหล่านางสนมในตำหนักบรรทมไปด้วย
ไทเฮาจวงนั่งดื่มชาอยู่ที่ริมหน้าต่าง กู้เจียวเดินเข้ามา นั่งลงข้างๆ ทักทายเบาๆ “ท่านย่า”
ไทเฮาจวง “เหอะ”
อวี้หยาเอ๋อร์คุกเข่าลงถวายบังคม “ไทเฮา”
ไทเฮาจวง “อืม”
กู้เจียวถามไทเฮาจวงว่าเหตุใดถึงปฏิบัติต่อนางและอวี้หยาเอ๋อร์ต่างกัน
กู้เสี่ยวเป่าปีนขึ้นไปนั่งบนตักไทเฮาจวง แต่รู้สึกเบื่อ เลยปีนลงมา
อวี้หยาเอ๋อร์วางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะแล้วอุ้มเขาออกไปเล่น
กู้เจียวเปิดกล่องอาหาร หยิบของที่อยู่ข้างในออกมาทีละอย่าง “ท่านปู่ทำผลไม้อบแห้ง แม่ข้าทำขนมเปี๊ยะกุหลาบ”
ไทเฮาจวงหน้าบูดบึ้ง ไม่สนใจอะไรเลย
กู้เจียวหยิบกล่องเล็กๆ ที่อยู่ชั้นล่างสุดออกมา “ขนมเปียกปูน ข้าทำเอง”
สีหน้าของไทเฮาจวงดีขึ้นเล็กน้อย
แต่แล้วเพียงเสี้ยววินาทีต่อมา นางขมวดคิ้วแน่น “ใครให้นางเข้าห้องครัว ขาดขนมเปียกปูนหรือไร คิดว่าของที่นางทำมันอร่อยมากหรือไร”
กู้เจียวกลั้นเสียงหัวเราะ ยื่นมือไปคว้ากล่องขนมเปียกปูน “อ้อ งั้นข้าเอาคืนก็แล้วกัน”
ไทเฮาจวงกอดกล่องขนมเปียกปูนไว้ มองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
กู้เจียวหัวเราะจนตัวโยนบนเก้าอี้
แสงแดดเจิดจ้า รอยยิ้มของหญิงสาวช่างงดงาม
ไทเฮาจวงหัวเราะเบาๆ มุมปากเผลอยกยิ้มขึ้น ดวงตากลับมีน้ำตาคลอ
เจียวเจียวของนางกลับมาแล้ว
กลับมาครบถ้วนสมบูรณ์
ระหว่างที่กู้เจียวไม่อยู่ในเมืองหลวงมากกว่าหนึ่งปี เกิดเรื่องราวมากมายขึ้น ก่อนอื่นคือไท่จื่อเฟยเวินหลินหลังเสียชีวิตจากอาการป่วย จากนั้นเซียวฮองเฮาก็ทรงคัดเลือกสนมเอกสองคนให้กับองค์ชาย กู้เจียวรู้สึกประหลาดใจที่หนึ่งในสนมเอกนั้นเป็นน้องสาวแท้ๆ ของรุ่ยอ๋องเฟย
กู้เจียวพอจะคุ้นเคยกับตู้เสี่ยวอวิ๋นบ้าง เพราะว่าตอนที่นางมาอยู่เมืองหลวงใหม่ๆ เคยเจอตู้เสี่ยวอวิ๋นหลายครั้ง ตู้เสี่ยวอวิ๋นเป็นผู้พิทักษ์ของเวินหลินหลัง มองเวินหลินหลังเป็นเหมือนเทพธิดาในใจ
ไม่รู้ว่าตอนที่นางถูกเลือกให้เข้าไปเป็นสนมเอกในตำหนักบูรพา นางรู้สึกอย่างไร
ตู้เสี่ยวอวิ๋นตั้งท้องเร็วมาก เข้าวังแค่สามเดือนก็ตั้งท้องแล้ว ตอนนี้ท้องได้ห้าเดือนแล้ว
เซียวฮองเฮาเคยพูดกับไทเฮาจวงว่า ถ้าตู้เสี่ยวอวิ๋นสามารถให้กำเนิดพระโอรสให้กับไท่จื่อได้ จะทูลขอเลื่อนยศให้นางเป็นฮองเฮาของไท่จื่อ
นอกจากนี้ รุ่ยอ๋องยังได้แสดงฝีมือในราชสำนัก ได้รับความชื่นชมจากฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งเขาเป็นราชทูต มุ่งหน้าสู่ภาคใต้เพื่อตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน
รุ่ยอ๋องเฟยและลูกสาวก็ออกเดินทางไปกับเขาด้วย
หวงฝู่เสียนขึ้นเหนือล่องใต้ไปกับเขา แต่ที่น่าประหลาดใจคือเขาสามารถเดินด้วยขาเทียมได้แล้ว
“แล้วหนิงอ๋องเล่า” กู้เจียวถาม
ไทเฮาจวงถอนหายใจ “เหมือนเดิม ถูกกักขังอยู่ในตำหนัก ตั้งแต่ฉู่เย่ว์หย่าร้างกับเขา นิสัยของเขาเปลี่ยนไปมาก ข้าได้ยินมาว่าเขาส่งคนไปสืบหาข่าวคราวของฉู่เย่ว์อยู่เสมอ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย”
ในใจของหนิงอ๋องมีหนิงอ๋องเฟยอยู่เสมอ ความรู้สึกที่มีต่อเวินหลิงหลังคือสิ่งที่เอื้อมไม่ถึงยามเป็นเด็กหนุ่ม น่าเสียดายที่เขารู้ตัวช้าไป
ไม่รู้ว่าฉู่เย่ว์ไปอยู่ที่ใด เขาตามหาอย่างไรก็หาไม่พบ
“แล้วจวงอวี้เหิงเล่า มีข่าวคราวของเขาบ้างไหม” กู้เจียวถามอีก
“เจ้าห่วงใยคนเยอะเสียจริง” ไทเฮาจวงเอ่ย แต่ในใจนางก็เข้าใจว่ากู้เจียวเป็นห่วงเป็นใยแทนนาง
ไม่ว่าจะเป็นหนิงอ๋องหรืออันจวิ้นอ๋อง ต่างก็เป็นเด็กที่นางรักมาโดยตลอด ใครจะคิดว่าราชครูจวงซึ่งเป็นปู่ของหนิงอ๋อง แทนที่จะสั่งสอนหนิงอ๋องอย่างดี กลับยุยงให้หนิงอ๋องก่อกบฏ
หนิงอ๋องพ่ายแพ้ ราชครูจวงล้มเหลว สมาชิกตระกูลจวงถูกเนรเทศ
จวงอวี้เหิงถูกราชครูจวงขับไล่ออกจากบ้านก่อน ต่อมาเขาก็สร้างผลงานไว้มากมาย เขาสามารถอยู่ในเมืองหลวงได้ แต่เขาก็เลือกที่จะถูกเนรเทศไปด้วย โดยไม่ลังเล
เมื่อตระกูลจวงรุ่งเรือง เขาก็ละทิ้งความร่ำรวยและออกจากตระกูลจวง
เมื่อตระกูลจวงตกต่ำ เขาก็ละทิ้งอนาคตที่สดใสและกลับมาที่ตระกูลจวง
เมื่อนึกถึงเขา ไทเฮาจวงก็รู้สึกทั้งสงสารและเสียดาย
นางเก็บความรู้สึกไว้ในใจ แต่คนอื่นไม่กล้าถาม ไม่กล้าพูดถึง มีเพียงกู้เจียวเท่านั้นที่ทำให้นางพูดได้
ไทเฮาจวงถอนหายใจยาวเหยียด “เขาไปเป็นครูสอนหนังสือที่โรงเรียนสอนหนังสือส่วนตัวเล็กๆ ชายแดน กลางวันสอนหนังสือ ตอนกลางคืนก็รับจ้างเขียนจดหมายและคัดลอกเอกสารราชการ หาเงินอันน้อยนิดมาประทังชีวิต”
แม้จะถูกเนรเทศ แต่จวงอวี้เหิงไม่ได้เป็นนักโทษประหารชีวิต ดังนั้นเขาจึงสามารถไปสอนหนังสือที่โรงเรียนสอนหนังสือส่วนตัวได้
แม้จะเป็นเช่นนั้น ชีวิตของเขาก็ยากลำบากมาก
จวงอวี้เหิงเองไม่ได้รู้สึกทรมาน เมื่อคนของไทเฮาจวงไปถามเขาว่าเป็นอย่างไร เขาบอกว่าความทุกข์เหล่านี้ เซียวลิ่วหลังเคยเผชิญมาก่อนแล้ว เซียวลิ่วหลังผ่านมันมาได้ เขาก็ทำได้เช่นกัน
ไทเฮาจวงฮึดฮัด “ยังเอาแต่แข่งกับลิ่วหลังอีกเหรอ ว่าแต่ หลานเสี่ยวเซี่ยงเขียนจดหมายมาหานางแล้วนะ”
กู้เจียว “อืม”
ไทเฮาจวงขี้เกียจลุก เลยชี้ไปที่จดหมาย กู้เจียวจึงเดินไปหยิบมาให้
จดหมายมีทั้งหมดหกฉบับ
สมัยก่อนการเดินทางลำบาก จดหมายฉบับหนึ่งอาจใช้เวลาส่งนานถึงสองสามเดือน กู้เจียวไม่อยู่บ้านหนึ่งปีครึ่ง แต่ได้รับจดหมายถึงหกฉบับ แสดงว่าเซวียหนิงเซียงเขียนจดหมายมาหาบ่อย
เซวียหนิงเซียงเขียนจดหมายเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเขาหลังบ้าน และเล่าถึงชีวิตประจำวันของนางที่ชนบท
“เขียนเก่งกว่าข้าอีกนะ…”
กู้เจียวบ่นพึมพำ
พื้นที่บนเขาหลังบ้านถูกถางป่าแล้ว และปลูกสมุนไพรชนิดต่างๆ ตามที่กู้เจียวต้องการ คาดว่าปีหน้าจะสามารถเก็บเกี่ยวสมุนไพรบางส่วนได้
โก่วหวาอายุห้าขวบแล้ว ดื้อซน ชอบวิ่งเล่นไปทั่วจนเซวียหนิงเซียงต้องตามหาบ่อยๆ
โก่วหวามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าสำนักหลี่ เขาคิดว่าตัวเองเป็นลูกแท้ๆ ของเจ้าสำนักหลี่จริงๆ เจ้าสำนักหลี่สอนเขาเขียนหนังสือ น่าแปลกใจไหม เขาเรียนได้ดีทีเดียวเชียว!
จดหมายฉบับที่สองจากท้ายบอกว่า ท่านย่าส่งจดหมายไปหาเซวียหนิงเซียง บอกให้นางพาสามีและโก่วหวามาเที่ยวเมืองหลวงด้วย นางบอกว่าจะมาเร็วๆ นี้
จดหมายฉบับสุดท้ายถูกส่งตามมา เซวียหนิงเซียงตั้งท้องแล้ว นางมาเมืองหลวงไม่ได้ชั่วคราว รอจนคลอดลูกแล้ว ค่อยมาเยี่ยมท่านย่ากับกู้เจียว
กู้เจียวฟังข่าวสารทั้งบ่าย แถมยังอ่านจดหมายของเซวียหนิงเซียงมากมาย ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเหมือนผ่านมาหลายภพชาติ
ตอนที่นางมาถึงที่นี่ โก่วหวาเพิ่งจะหนึ่งขวบ แต่ตอนนี้ห้าขวบแล้ว
ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว นางก็ใช้เวลาระยะเวลาสี่ปีที่นี่แล้ว
ท่ามกลางความรู้สึกครุ่นคิด กู้เสี่ยวเป่าก็เดินเข้ามาอย่างเซื่องซาน
เขายืนอยู่ตรงหน้ากู้เจียวและไทเฮาจวง มองไทเฮาจวงด้วยแววตาไร้เดียงสาและฉลาดแสนกล
“ท่านย่า” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็กน้อยน่าเอ็นดู
ไทเฮาจวงขมวดจมูก “อืม ไปก่อเรื่องอะไรมาอีกแล้วล่ะ”
กู้เสี่ยวเป่าวางมือสองข้างไว้ข้างหน้า ตัวขวาบีบนิ้วชี้ของมือซ้าย “ไม่มี”
ไทเฮาจวงเอ่ยตรงประเด็น “ถ้าเจ้าไม่ได้เล่นมือ เจ้าก็คงไม่ได้ทำอะไรแน่”
เอ่ยจบ อวี้หยาเอ๋อร์กับนางกำนัลตำหนักเหรินโซ่วก็วิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ
ทั้งสองก้มหน้าลง
อวี้หยาเอ๋อร์ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และไม่รู้จะรายงานอย่างไร
ในที่สุด สาวใช้ตัวน้อยก็กลั้นใจเอ่ยออกมา “ตรา… ตราหงส์แตกแล้ว”
สีหน้าของไทเฮาจวงหม่นหมองลง ดวงตาของนางมองอย่างดุเดือดราวกับมีมีดแหลมคมอยู่เต็มไปหมด!
กู้เสี่ยวเป่าเดินเข้าไปกอดแขนไทเฮาจวงแล้วเอ่ย “ท่านย่า เสี่ยวเป่ารักท่านย่า”
ไทเฮาจวงตกใจ “ใครสอนเขาพูดแบบนี้!!!”
กู้เจียวทานอาหารเย็นที่ตำหนักเหรินโซ่วเสร็จแล้วจึงกลับบ้าน
กู้เสี่ยวเป่าเหนื่อยจนหลับไปแล้ว นอนหลับสบายอยู่ในอ้อมกอดของกู้เจียว
กู้เจียวมองดูเขาแล้วเอ่ย “อืม เด็กน้อยช่างน่ารักจริง”
อวี้หยาเอ๋อร์เอ่ยพลางหัวเราะ “คุณหนู ไม่ต้องอิจฉาหรอก ไม่นานคุณหนูก็จะมีลูกกับท่านชายแล้ว!”
นางมีลูกอย่างนั้นหรือ กู้เจียวอึ้งชะงักไปชั่วครู่
…
ตระกูลหยวน
ราชเลขาหยวนคุยกันอย่างสนุกสนานกับท่านเหล่าโหวในศาลาดอกไม้
กู้ฉังชิงรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเข็มหนามข้างๆ ท่านเหล่าโหว
ทันใดนั้น เขาก็เหลือบเห็นเงาดำของบุคคลหนึ่งผ่านไปนอกหน้าต่าง ฝ่ายนั้นเหมือนจะมองมาทางเขา
เขาเข้าใจความหมาย ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย “ขออภัย ข้าขอตัวไปห้องน้ำสักครู่”
ท่านโหวไม่พอใจ เหลียวมองหลานชายด้วยสายตาคาดโทษเอ่ย “กำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่ เหตุใดต้องไปเข้าห้องน้ำด้วย”
ราชเลขาหยวนหัวเราะ ยกมือขึ้นแล้วเอ่ย “ไม่เป็นไร ไปเถอะ จ้าวซาน พาท่านชายกู้ไปห้องน้ำหน่อย”
“รับทราบ”
ข้ารับใช้ที่ถูกเรียกว่าจ้าวซาน พากู้ฉังชิงไปยังห้องน้ำ
กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ารู้ทางแล้ว เจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าจะนานหน่อย”
“ขอรับ” จ้าวซานกลับไปที่ศาลาดอกไม้
กู้ฉังชิงหันตัวแล้วใช้วิชาเบาตัวไปยังสวนเล็กๆ ใกล้เคียง
ที่นั่น หญิงสวมชุดคลุมนักบวชเต๋ากำลังยืนรออยู่มานานแล้ว นางถือหนังสือเล่มใหม่ในมือ
แม่ชีปิดหนังสือที่นางอ่านค้างไว้ หันมามองกู้ฉังชิงแล้วเอ่ย “เจ้ามาช้าเสียจริง ถ้าไม่มาข้าจะไปตามเจ้าเองแล้ว”
เขาเอ่ย “เมื่อครู่เป็นเจ้าที่เรียกข้าอย่างนั้นรึ”
“อืม” แม่ชีพยักหน้า
เขาถาม “มีธุระอะไรหรือ”
แม่ชีเหลือบมองไปทางด้านหลังเขา แล้วส่งสัญญาณให้กับสาวใช้ข้างกาย
สาวใช้เข้าใจความหมาย เดินออกไม่ไม่ไกลก่อนจะส่งสัญญาณ
แม่ชีจึงถาม “ท่านปู่ของเจ้ากับท่านปู่ของข้าคุยกันอย่างไรบ้าง”
“พวกเขา…” กู้ฉังชิงนึกถึงภาพที่ทั้งสองเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยก็ยากจะอธิบาย “ขอโทษ ข้าก็ไม่คิดว่าท่านปู่จะมาสู่ขอเฟิงเหนี่ยว ข้าขอเวลาหน่อย ข้าจะหาถอนหมั้นนี้”
หยวนเป่าหลินชะงักครู่หนึ่ง ถามด้วยความลังเล “เจ้าถอดหมั้นแล้ว จากนี้ไปก็ไม่อาจแต่งงานได้อีกแล้วหรือ”
“ว่าอย่างไรนะ” กู้ฉังชิงไม่เข้าใจว่านางถามทำไม
นางอธิบาย “หมายความว่าแผนของเราตอนแรกมีช่องโหว่ ข้าไม่อาจกลับสำนักได้สะดวก โดยเฉพาะท่านย่าของข้าเพิ่งขู่จะฆ่าตัวตายเมื่อไม่กี่วันก่อน… เจ้าก็เหมือนกัน ถึงแม้จะถอดหมั้นกับข้าแล้ว ทางบ้านเจ้าก็จะหาคู่ครองใหม่ให้เจ้าอยู่ดี จนกว่าเจ้าจะแต่งงาน”
กู้ฉังชิงนิ่งเงียบ
หยวนเป่าหลินพูดถูก เขาสืบทอดตำแหน่งจวนโหวในวันหน้า ท่านปู่ของเขาคงไม่ยอมยกเลิกงานแต่งงานของเขาแน่
หยวนเป่าหลินคิดอยู่นาน ถามเขา “ตอนนี้… เจ้ายังไม่อยากแต่งงานเหมือนเดิมหรือ”
“อืม” กู้ฉังชิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
หยวนเป่าหลินเอ่ย “ข้าก็เหมือนกัน ข้าไม่อยากแต่งงาน ผู้ชายมีอะไรดี ผู้หญิงที่ข้าเคยเห็นที่อายุยืนยาวกว่าร้อยปี ล้วนเป็นผู้ชายที่ตายก่อนเวลาอันควร หากรักชีวิต จงหลีกหนีจากบุรุษ”
กู้ฉังชิง “…” ข้าพูดไม่ออก
หยวนเป่าหลินกอดหนังสือที่อยู่ในมือ ดวงตาของนางกลอกไปมา มองเขาอย่างเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ย “เจ้าไม่อยากแต่งงาน ข้าไม่อยากแต่งงาน เช่นนั้นเรามาร่วมมือกันเถอะ”
กู้ฉังชิงมองนางอย่างลึกซึ้ง “เจ้าหมายความว่า…”
หยวนเป่าหลินเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “แค่หลอกพวกเขาได้ก็พอแล้ว! วันหน้าถ้าเจ้ามีคนในใจ หรือข้ามีคนในใจ ค่อยมาขอหย่ากันก็ได้ไม่สาย!”
กู้ฉังชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “แต่แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับเจ้านะ”
สำหรับบุรุษ การหย่าร้างไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับสตรีแล้ว ต่างต้องเผชิญกับเสียงนินทา แม้เจ้าจะเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านราชเลขาหยวน แต่ก็หนีไม่พ้นกรอบประเพณีนี้ไปได้
หยวนเป่าหลินยิ้มแล้วเอ่ย “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลแทนข้าเลย พูดตามตรง ข้าไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองข้าอย่างไร สายตาและคำพูดของพวกเขาทำร้ายข้าไม่ได้ แค่บอกข้ามาว่าเจ้าจะตกลงหรือไม่ก็พอ”
นิสัยดื้อดึงแบบนี้… คล้ายกับน้องสาวข้าอยู่เหมือนกัน
กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว เรื่องนี้ดีกับเขาไม่มีข้อเสีย แต่สำหรับนางแล้วมัน…
หยวนเป่าหลินเอ่ยขึ้นอย่างเปิดเผย “อย่ามองผู้หญิงว่าอ่อนแอ และอย่าใช้ความคิดของเจ้ามาตัดสินข้า ข้ารู้ว่าข้าต้องการอะไร เว้นแต่เจ้าจะไม่อยากร่วมมือกับข้า เช่นนั้นก็ถือว่าข้าไม่ได้พูดอะไร”
กู้ฉังชิงคิดอยู่นาน มองนางด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ก่อนจะตัดสินใจ
……….