สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 914 เสี่ยวเป่าเล่นรุนแรง!
บทที่ 914 เสี่ยวเป่าเล่นรุนแรง!
……….
เด็กสาวเอ่ยต่อ “ฮูหยินออกมาซื้อเครื่องประดับให้ท่านชายน้อยหรือเจ้าคะ เอ่อ…ว่าแต่ท่านผู้นี้คือ…”
แล้วมองไปทางกู้เจียว
“นี่คุณหนูใหญ่นะ” แม่นางเหยาตอบ
เด็กสาวทำหน้าตกใจแล้วรีบโน้มตัวทำความเคารพกู้เจียวทันที “ข้าน้อยมีนามว่าชุนหลิ่ว ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
แม่นางเหยาเอ่ยกับกู้เจียว “ชุนหลิ่วเป็นสาวใช้ของจิ่นอวี๋น่ะ…ข้าลืมเล่าให้เจ้าฟังว่าจิ่นอวี๋กำลังจะแต่งงาน และคู่หมั้นของนางมาจากตระกูลเฉวียน ลูกชายคนที่สามของชางผิงโหว”
ครั้งนี้จิ่นอวี๋เป็นคนเลือกคู่ครองด้วยตนเอง
ตอนแรกแม่นางเหยาแนะนำลูกชายของฝ่ายเสนาให้ แม้จะไม่ได้มีรูปร่างสูงโปร่ง แต่เป็นคนจิตใจดี ซื่อตรง ขยัน
คนอื่นๆ ในตระกูลเขาก็น่ารักเช่นกัน
นอกจากนี้พวกเขาไม่ได้สนใจชื่อเสียงอันเสื่อมเสียของกู้จิ่นอวี๋อีกด้วย แม่นางเหยาก็เลยวางใจให้กู้จิ่นอวี๋แต่งเข้าตระกูลพวกเขา
แต่จิ่นอวี๋กลับปฏิเสธ
แล้วบังเอิญที่ช่วงนั้นชางผิงโหวกลับมาประจำที่เมืองหลวงพอดี อีกทั้งยังพาครอบครัวกลับมาด้วย
พอท่านชายสามเฉวียนได้เจอกับกู้จิ่นอวี๋ครั้งแรกก็ตกหลุมรักทันที และรีบมาสู่ขออย่างรวดเร็ว
ด้วยความที่เขาไม่ใช่คนพื้นที่ จึงไม่รู้เรื่องชื่อเสียงของนาง ทั้งคู่ตัดสินใจว่าจะแต่งงานกันในเมืองหลวงจากนั้นค่อยย้ายออกไปอยู่ที่อื่น
แม้ว่าแม่นางเหยาจะโกรธกับสิ่งที่กู้จิ่นอวี๋เคยทำ แต่ลึกๆ ก็ยังคงหวังว่ากู้จิ่นอวี๋จะได้บ้านดีๆ
แม้ความสัมพันธ์ของพวกนางจะจางลงไปมาก แต่ฮูหยินใหญ่กู้ก็ยังช่วยรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลงานแต่งของนาง
“ชุนหลิ่วเพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อปีที่แล้ว เจ้าน่าจะยังไม่เคยเจอ” แม่นางเหยาบอกกับกู้เจียว
หลังจากทักทายกันเสร็จ ชุนหลิ่วก็เริ่มสำรวจกู้เจียว
ดวงตาที่ดูสุขุมและเยือกเย็นแต่ก็งดงามในคราวเดียวกันของกู้เจียวทำให้อีกฝ่ายอดคิดเปรียบเทียบกับเจ้านายของตัวเองมิได้
“ฮูหยินเจ้าคะ งานแต่งของคุณหนูรองจะจัดขึ้นในวันที่สิบแปดเดือนหน้านะเจ้าคะ” ชุนหลิ่วเอ่ยขึ้น
“ก็ไหนว่าลงวันไว้ตั้งนานแล้วมิใช่รึ” แม่นางเหยาสงสัย
“…ก็ฮูหยินไม่เคยถามเลยนี่เจ้าคะ” ชุนหลิ่วเอ่ยเบาๆ
กู้เจียวหันไปจ้องชุนหลิ่วด้วยสายตานิ่งเรียบ พร้อมกับเอ่ย “ต้องให้แม่ของข้าถามเรื่องแบบนี้เองเหรอ คนรับใช้ต้องเป็นคนมารายงานเองสิ”
ชุนหลิ่วทำหน้ารู้สึกผิด “ข้าน้อยนึกว่าท่านโหวบอกเรื่องนี้กับฮูหยินแล้ว…”
ช่วงนี้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่เหมือง และต้องเดือดร้อนกรมโยธาไปแก้ไข ท่านโหวกู้ไม่ได้กลับบ้านมาเกือบเดือนแล้ว
ขณะที่กำลังเอ่ยคุยอยู่นั้น จู่ๆ ผ้าปิดหน้าของกู้เจียวก็เกิดร่วงลงพื้น
สายตาของชุนหลิ่วจับจ้องไปที่ปานแดงบนแก้มของกู้เจียวทันทีพร้อมกับทำหน้าตกใจ ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีพร้อมกับเบ้ปาก
หน้าตาน่าเกลียดชะมัด มิหน้าถึงต้องเอาผ้ามาปิดหน้า
สู้คุณหนูรองไม่ได้เลยสักนิด
และแล้ว ทันใดนั้น กู้เสี่ยวเป่าก็ยื่นมือออกไปแล้วดึงผมของชุนหลิ่วทันที
ด้วยความที่เด็กยังไม่สามารถควบคุมแรงตัวเองได้ เสี่ยวเป่าจึงกะแรงตัวเองไม่ถูก
ทว่าชุนหลิ่วรู้สึกเจ็บจนเผลอร้องออกมา!
นางพยายามคลายมือเจ้าตัวเล็กออก
แต่เสี่ยวเป่ายังคงกำมือตัวเองไว้แน่น กลายเป็นว่ายิ่งพยายามคลายมืออีกฝ่ายออกก็ยิ่งเจ็บกว่าเดิมจนน้ำตาเริ่มไหล!
“เสี่ยวเป่า!” แม่นางเหยาหน้าถอดสีทันที และรีบดึงแขนเสี่ยวเป่า “ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ปล่อยมือออกเดี๋ยวนี้!”
ทว่าเจ้าตัวเล็กกลับไม่ยอมปล่อยมือ
“ปกติไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา เสี่ยวเป่าไม่ใช่เด็กดื้อ ไม่เห็นจะจับดึงผมใครหรือตีใครเลย…เกิดอะไรขึ้นเนี่ยเสี่ยวเป่า” แม่นางเหยาเริ่มรน
ชุนหลิ่วร้องด้วยความเจ็บปวด จนลูกค้าทุกคนในร้านก็มองมาทางนี้
ถ้าถูกผู้ใหญ่รังแกยังว่าไปอย่าง อาจยังพอมีคนเข้ามาช่วย แต่นี่โดนเด็กอายุ 1 ขวบแกล้ง จะต้องจัดการยังไงดีล่ะ
วันนี้กู้เสี่ยวเป่าดุดันเป็นพิเศษ
“ปล่อยมือ” กู้เจียวเอ่ยเบาๆ
ด้วยความที่พี่สาวน่ากลัวกว่าแม่
กู้เสี่ยวเป่าจึงยอมปล่อยมือแต่โดยดี
ผมของชุนหลิวถูกดึงออกเป็นก้อนใหญ่จนแทบจะกลายเป็นคนหัวล้าน
ชุนหลิ่วด่าไม่ออก เพราะอีกฝ่ายคือท่านชายน้อย
นางไม่อยากอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเลยรีบวิ่งร้องไห้ออกไปโดยที่ลืมหยิบเครื่องประดับของกู้จิ่นอวี๋ไปด้วย
แม่นางเหยาขมวดคิ้วและจ้องลูกชายด้วยสีหน้าโมโห “เสี่ยวเป่า เป็นอะไรไป ไยวันนี้ถึงได้เกเรแบบนี้ล่ะ”
น่าโมโหจริงๆ !
กู้เสี่ยวเป่าได้แต่มองหน้าแม่นางเหยาพร้อมทำตาปริบๆ “แม่จ๋า หนูรักแม่นะ”
แม่นางเหยา “…”
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ได้แต่ขบขันและเอ็นดูเสี่ยวเป่า และบอกแม่นางเหยาว่าอย่าตำหนิเด็กเลย เด็กยังเล็กอยู่ ค่อยๆ สอนไปเดี๋ยวก็ดีเอง
มีเพียงแม่นางเหยาเท่านั้นที่รู้ว่าปกติลูกชายเป็นเด็กที่เชื่อฟังและว่านอนสอนง่ายมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเสี่ยวเป่าเกเรขนาดนี้
กู้เจียวเหลือบมองเจ้าน้องชายหนึ่งที ก่อนจะดีดที่หน้าผากของเขาเบาๆ
…
ไม่นานเจ้าตัวเล็กก็คุ้นเคยกับกู้เจียว และยอมเล่นด้วยขณะที่กำลังช่วยกันเลือกเครื่องประดับ
กู้เจียวพยายามให้เขานั่งบนตัก เสี่ยวเป่าดิ้นแรงในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ยอมนิ่งลง
แต่กระนั้น เขาก็ยังไม่ยอมเรียกกู้เจียวว่าพี่สาว
รู้ตัวอีกที กว่าพวกเขาจะออกมาจากร้านเครื่องประดับได้ก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว
ซึ่งช่วงบ่ายเป็นช่วงนอนกลางวันของยายเฒ่า กู้เจียวไม่อยากรบกวน จึงเปลี่ยนแผนแทน “เราไปหาพ่อบุญธรรมกันก่อนดีกว่า”
“ก็ดีนะ ท่านกั๋วกงอุตส่าห์มาถึงที่นี่ทั้งที ควรไปต้อนรับเขาให้สมเกียรติเสียหน่อย” แม่นางเหยาเห็นด้วย
กู้เจียวขานรับ “ได้เลย!”
กู้เจียวให้รถม้าไปส่งแม่นางเหยากับเสี่ยวเป่ากลับตรอกปี้สุ่ยก่อน พอเสร็จก็เดินทางมุ่งหน้าไปหากั๋วกง
ระหว่างทาง เมื่อสารถีรถม้าเห็นสภาพถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด จึงหันมาถามกู้เจียว “คุณหนูขอรับ รถม้าไม่น่าผ่านเข้าไปได้นะขอรับ”
“งั้นก็ลงตรงนี้แล้วกัน” กู้เจียวเอ่ย “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ขากลับข้ากลับกับรถม้าอีกคัน”
“ขอรับ คุณหนู”
แล้วรถม้าก็ออกไป
กู้เจียวเดินเท้ามุ่งหน้าไปยังจวนของกั๋วกง
ขณะเพิ่งเดินไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาทัก
“ท่านพี่”
กู้เจียวหันไปทางเจ้าของเสียง ก็เห็นใครบางคนกำลังเดินออกมาจากจวนหลังใหญ่ที่อยู่ตรงนั้น
ปรากฏหญิงสาวร่างบางสวมผ้าคลุมหน้าสีม่วงอ่อนโปร่งแสงที่ยังพอทำให้เห็นใบหน้าสะสวยใต้ผ้านั้น
นางคือกู้จิ่นอวี๋นั่นเอง
ข้างหน้าจวนมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ เมื่อสารถีรถม้าเห็นกู้จิ่นอวี๋กำลังเดินออกมา ก็รีบวิ่งเข้ามาเปิดประตูให้
กู้จิ่นอวี๋ยกมือขึ้นเพื่อเป็นการบอกให้สารถีปิดประตูไปก่อน ก่อนจะเดินตรงเข้ามาทางกู้เจียวด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม “ท่านพี่ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าได้ยินว่าท่านพี่พากู้เหยี่ยนไปรักษาที่โยวโจว แล้วนี่เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม”
ยายเฒ่ากับปู่เขยเป็นคนแต่งเรื่องขึ้นเพื่อเอามาบอกกู้จิ่นอวี๋กับท่านโหวกู้
“ก็สบายดี” กู้เจียวตอบ
และไม่ได้ถามกลับอีกฝ่ายว่าสบายดีหรือไม่
ด้วยความที่พวกเขาไม่ได้สนิทกัน
ไม่รู้จะทักทายให้เปลืองแรงทำไม
กู้เจียวยังมีธุระต้องทำต่อ
ทว่ากู้จิ่นอวี๋ยังคงลากบทสนทนา “ท่านพี่…เอ่อ…อย่าเสียใจไปเลย…”
กู้เจียวเริ่มทำหน้าสงสัย
กู้จิ่นอวี๋ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะอธิบายต่อ “ข้าไม่รู้ว่าท่านแม่กับท่านพี่เล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังหรือยัง… ปรากฏว่าตัวตนที่แท้จริงของพี่เขยคือท่านโหวเหย่น้อยแห่งแคว้นเจา ที่เคยมีข่าวว่าเขาเสียชีวิตในเหตุการณ์เพลิงไหม้เมื่อหกปีที่แล้ว แต่กลายเป็นว่าเขายังไม่ตาย และตอนนี้เขาก็ได้เจอกับครอบครัวของเขาแล้ว…และเขาก็ไม่ใช่เซี่ยวลิ่วหลังที่พวกเราเคยรู้จักอีกต่อไป ถ้าท่านพี่ไม่เชื่อ ลองเข้าไปพิสูจน์ในวังได้เลย”
จากนั้นกู้จิ่นอวี๋ก็ทำหน้าเศร้า “ตอนข้าได้ยินข่าวนี้ครั้งแรกก็ยังนึกดีใจอยู่เลยว่าท่านพี่ได้สามีเป็นถึงท่านโหวเหย่น้อย แถมยังเคยช่วยเหลือเขาไว้ตอนลำบาก และในอนาคตท่านพี่ก็จะกลายเป็นฮูหยินใหญ่ในจวนเซวียนผิงโหวอีกด้วย เป็นบุญวาสนาแค่ไหนเชียว”
“แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ ข้าได้ยินข่าวเรื่องการแต่งงานระหว่างท่านโหวเหย่น้อยกับเจ้าสาวจากแคว้นเยี่ยน”
พอเล่าถึงตรงนี้ กู้จิ่นอวี๋มองกู้เจียวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์และความเสียใจ
แต่สิ่งที่กู้เจียวเห็นคือความดีใจในสายตาของอีกฝ่าย ประมาณว่า
——ใครจะไปคิดละว่าคนที่มีมีชื่อเสียงไม่ดีอย่างข้า วันหนึ่งจะถูกเลือกโดยทายาทสายตรงของชางผิงโหว ในขณะที่เจ้า คนที่เหยียบหัวข้ามาตลอด จะต้องกลายมาเป็นอนุของท่านโหวเหย่น้อยไปได้!
ไม่เจอกันหนึ่งปี กู้จิ่นอวี๋เปลี่ยนไปเยอะเลย
ดูทรงแล้วคงถูกฮูหยินใหญ่กู้ตามใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ชางผิงโหวเป็นคนมีอำนาจ มีหน้าที่ดูแลและบัญชาในการคุ้มกันชายแดนฝั่งตะวันออกของแคว้น
ท่านชายสามคือลูกชายคนโปรดของเขา และไม่แปลกใจเลยที่ฮูหยินใหญ่กู้จะมีท่าทีที่เปลี่ยนไป แล้วหันมาเอาใจกู้จิ่นอวี๋ขนาดนี้
ดวงตาของกู้จิ่นอวี๋เต็มไปด้วยประกาย “ได้ยินมาว่าตอนที่ยังอยู่ชนบท ท่านพี่ต้องคอยตระหนี่กับอาหารและเสื้อผ้า เพื่อที่จะเคี่ยวเข็ญให้ท่านโหวน้อยสอบจองหวน ข้าคิดว่าทุกคนควรได้เห็นความพยายามของท่านพี่ แต่ว่าตอนนี้…”
กู้เจียว “ดูเจ้าเป็นห่วงข้ามากเลยนะ”
“แน่นอนสิ ข้าเป็นห่วงท่านพี่นะ” เสียงของกู้จิ่นอวี๋เริ่มขึ้นจมูก “ท่านพี่รู้หรือไม่ว่าคู่หมั้นของท่านโหวเหย่น้อยก็คือลูกสาวของท่านกั๋วกงแคว้นเยียน…อีกทั้งมีคนที่เป็นภูมิหลังอย่างฮองเฮาแคว้นเยี่ยน ไหนจะตระกูลเซวียนหยวนอีก ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วยท่านพี่ แต่เกรงว่าแม้แต่ฮ่องเต้กับไทเฮาเองก็ยังไม่กล้าจะคัดค้านเรื่องนี้ด้วยซ้ำ”
จากนั้นกู้จิ่นอวี๋ชี้นิ้วไปทางเหล่าทหารที่กำลังง่วนอยู่กับการขนย้ายกล่อง “ท่านพี่เห็นนั่นไหม ตรงนั้นเป็นจวนของท่านกั๋วกงที่เขาซื้อให้เพื่อเป็นของขวัญให้ลูกสาวของเขา ใหญ่กว่าจวนติ้งอันโหวเสียอีก เมื่อคืนข้าเห็นพวกเขาช่วยกันขนสินสอดมาหลายร้อยชิ้น และวันนี้ยังขนมากันเพิ่มอีก”
ขณะที่เอ่ย กู้จิ่นอวี๋ก็เข้าขยับเข้ามาใกล้ๆ และกระซิบเบาๆ ข้างหูกู้เจียวด้วยท่าทีเยาะเย้ย “รู้สึกอิจฉาบ้างไหม”