สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 895 การกลับมาของเซวียนผิงโหว
บทที่ 895 การกลับมาของเซวียนผิงโหว
……….
เซวียนผิงโหวหรี่ตาลงอย่างช้าๆ
ฉังอิงอธิบายออกไป “เมื่อวานข้าได้ประลองฝีมือกับน้องชาย กระบวนท่าของเขากับท่านเหมือนกันมาก ข้าจึงเดาว่าช่วงที่ผ่านมาท่านอยู่กับน้องชายของข้ามาโดยตลอด และที่พวกท่านเดินทางมาที่เกาะครั้งนี้ก็เพื่อหญ้านั้นใช่หรือไม่”
คิดหรือว่าพวกนางจะไม่รู้ว่าเจ้าน้องชายตัวดีแอบไปเก็บหญ้านั้นคนเดียว
เซวียนผิงโหวทำหน้าราวกับเข้าใจ “ที่แท้ความก็แตกแบบนี้นี่เอง”
ฉังอิงชี้ดาบไปที่เขา “ท่านก็ฉลาดไม่น้อยนะที่กล้ายอมรับ หากเมื่อครู่นี้ท่านคิดจะโกหกข้า ข้าคงตัดสินใจปลิดชีพท่านไปแล้ว!”
เซวียนผิงโหวได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “ถ้าข้าไม่ฉลาดพอ ก็คงไม่ได้มาเจอเซียนอย่างพวกท่านหรอกจริงไหม”
ดูเหมือนคำเยินยอของเขาจะได้ผล ฉังอิงกระแอมในลำคอหนึ่งทีพร้อมกับตอบไป “จะพูดความจริงไปทำไมกันเล่า”
แค่ชมว่าเป็นท่านเซียน ก็เท่ากับว่าเขากำลังพูดเรื่องจริงนั่นแหละ
ฉังอิงเอ่ยต่อ “แม้ท่านจะเป็นคนลักพาตัวน้องชายของข้าไป แต่ดูเหมือนท่านจะดูแลเขาเป็นอย่างดี เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงไม่พาท่านกลับมาที่นี่ด้วย เพราะทุกวันนี้มีเพียงคนประเภทเดียวเท่านั้นที่คนบนเกาะจะพากลับมาด้วยได้”
“คนประเภทไหนรึ” เซวียนผิงโหวถาม
“คนรักยังไงล่ะ”
เซวียนผิงโหว “…!!”
“เพื่อเห็นแก่น้องชายของข้า ข้าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกกับท่านพ่อ” ฉังอิงเอ่ยต่อพลางเก็บดาบลง
เซวียนผิงโหวยิ้มให้นาง “ขอบคุณท่านมาก เช่นนั้น ข้าต้องขอตัวก่อน”
“ช้าก่อน” ฉังอิงห้ามเขาไว้
“ท่านเซียนต้องการอะไรรึ” เซวียนผิงโหวตอบกลับไปอย่างเกรงใจ
คำก็ท่านเซียน สองคำก็ท่านเซียน ฟังแล้วจั๊กจี้หัวใจดีแท้ ตอนแรกอุตส่าห์สัญญากับเด็กๆ ไว้แล้วว่าจะพาเขาไปให้พวกนางจัดการ…
ช่างมันเถอะ ให้อภัยเขาไปก็แล้วกัน!
จากนั้นฉังอิงก็ผิวปาก
ทันใดนั้น เจ้าหมาป่าที่มีขนสีขาวดุจหิมะ อีกทั้งขนที่หัวของมันมีลักษณะตั้งเหมือนกับเปลวไฟก็กระโดดลงมาจากเกาะ
รูปลักษณ์ของมันต่างจากหมาป่าตัวอื่นอย่างสิ้นเชิง ราวกับเป็นจ่าฝูง
มันวิ่งเข้ามาที่ด้านข้างของฉังอิง จากนั้นฉังอิงก็คุกเข่าลงแล้วยื่นมือไปลูบหัวของมัน แล้วหันมาพูดกับเซวียนผิงโหว “เจ้าหลิงหวังเป็นหมาป่าที่เก่งที่สุดบนเกาะ ครั้งแรกที่ข้าได้เจอกับมัน ตอนนั้นมันกำลังบาดเจ็บสาหัส ข้าก็เลยช่วยมันไว้และได้มันมาครอบครอง นี่ข้าไม่เคยให้ใครยืมเลยนะแม้แต่ท่านพ่อ แต่วันนี้ข้าตัดสินใจจะให้ท่านยืมมัน เจ้าหลิงหวังเป็นหมาป่าที่ประสาทสัมผัสไวต่อสภาพอากาศมาก อันที่จริงหมาป่าทุกตัวก็ไวหมด เพียงแต่เจ้าหลิงหวังจะชำนาญกว่าและรู้ว่าควรหลบพายุหิมะอย่างไร”
ขณะที่นางกำลังอธิบายอยู่นั้น จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงกำชับกับเซวียนผิงโหวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ท่านจำไว้นะ หากเจ้าหลิงหวังไม่ยอมนำทางท่าน แสดงว่าเกินความสามารถของมันแล้ว ท่านห้ามฝืนมันโดยเด็ดขาด”
เซวียนผิงโหวพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ว่าแต่ ถ้าข้าไปถึงอีกฟากแล้ว จะคืนเจ้าหมาป่าให้ท่านได้อย่างไร”
“เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวลหรอก เจ้าหลิงหวังจะพาหมาป่าตัวอื่นๆ กลับมาที่นี่ได้เอง” ฉังอิงเอ่ย
“เช่นนั้น ท่านเซียน ข้าต้องขอลาล่ะ” เซวียนผิงโหวประสานมือ
ขนาดตอนที่เรียกนางว่าท่านเซียนยังดูหนักแน่นขนาดนี้ ใครจะกล้าไปสงสัยละว่าเขาจะหลอก
เรื่องเอาใจสตรีขอให้บอก เซวียนผิงโหวถนัดนัก แต่เว้นกับองค์หญิงซิ่นหยางคนหนึ่งแล้วกัน
ฉังอิงพาเจ้าหลิงหวังเดินไปที่แถวหน้าสุด ผูกสายบังเหียนไว้ และกระซิบกับมันเบาๆ ถึงเรื่องที่ควรระวัง
พาแขกไปส่งให้ถึงที่หมายให้ได้ละ ระวังตัวด้วย กลับมาหาข้าให้ได้นะ
หลังจากอำลากับฉังอิง เซวียนผิงโหวก็ขึ้นนั่งบนรถเลื่อน สวมถุงมือหนัง คว้าสายบังเหียนพร้อมกับตะโกนเสียงดัง จากนั้นเจ้าหลิงหวังก็นำขบวนวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ณ บริเวณเนินเขา ฉังคุนและฉังจิ่งก็กำลังยืนมองเซวียนผิงโหวและฝูงหมาป่าเคลื่อนตัวออกไปไกลเรื่อยๆ จนลับสายตา
ฉังจิ่งสวมชุดหนังที่หนาพร้อมกับหมวกที่ปิดใบหูอย่างมิดชิด ทรงผมเปียที่ถูกถักโดยเหล่าพี่สาวของเขาถูกพาดไว้บนไหล่อย่างเป็นระเบียบ
แม้ดวงตาของเขาจะดูใสซื่อและชัดเจน แต่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
นี่ไม่ใช่แววตาที่เด็กอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีควรมี
ฉังคุนวางมือไว้ด้านหลังและใช้ร่างกายอันใหญ่โตของเขาช่วยบังลมหนาวให้ลูกชาย พร้อมกับถอนหายใจแล้วเอ่ย “ที่พี่สาวของเจ้าให้เขายืมหลิงหวังไปใช้ก็ถือว่าสุดความสามารถที่เราจะทำได้เพื่อเขาแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากส่งคนไปช่วยเหลือเขา แต่เจ้าก็รู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์”
คนที่เคยประสบพบเจอภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นจะเข้าใจดีว่าความแข็งแรงของมนุษย์นั้นแทบไม่มีนัยสำคัญเลย
เมื่อเห็นว่าลูกชายยังคงเงียบเฉย ผู้เป็นพ่อก็ถอนหายใจ “เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ข้าสัญญาว่าจะจัดการพวกเจี้ยนหลูให้สิ้นซาก”
ฉังจิ่งเดินออกไปพร้อมกับกอดกล่องลูกแก้วไว้แน่น
…
ณ แคว้นเจา
ในเรือนแห่งหนึ่งบนถนนจูเชวี่ย หลังจากที่องค์หญิงซิ่นหยางร้องไห้จนหมดแรง ก็ลุกไปเตรียมเสื้อผ้าให้ซ่างกวานชิ่ง
พอองค์หญิงซินหยางสงบอารมณ์ลงแล้ว ก็วางห่อผ้าขนาดใหญ่ไว้บนโต๊ะแล้วเอ่ย “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นของน้องชายเจ้า”
เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นของใหม่ทั้งหมด เซียวเหิงเองก็ยังไม่เคยใส่เลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่องค์หญิงซิ่นหยางสามารถโกหกและบอกว่าวานให้คนไปซื้อใหม่มาให้เขาโดยเฉพาะ
แต่นางไม่ทำเช่นนั้น
ซ่างกวานชิ่งเองก็เช่นกัน
“ไม่ได้จะรีบเดินทางคืนนี้ใช่ไหม” องค์หญิงถาม
“อื้อ ออกเดินทางพรุ่งนี้”
เซียวเหิงที่อยู่ด้านนอกเมื่อได้ยินดังนั้นก็ย่นคิ้วทันที
ไหนบอกว่าสามวันไม่ใช่หรือ
ไยถึงเลื่อนมาเป็นพรุ่งนี้ล่ะ
หรือว่า…
พิษในร่างกายของเขาเริ่มปะทุอย่างรวดเร็ว และยาที่กั๋วซือเตรียมไว้ให้เขาก็ค่อยๆ หมดฤทธิ์ เขาไม่สามารถอยู่ได้ถึงสามวัน
เขาสามารถกินมันทั้งหมดได้ในคราวเดียว แต่มันอาจจะทำให้เขากลายเป็นเจ้าชายนิทรา
และจากโลกนี้ไปอย่างสงบ
นับว่าเป็นการตายที่เจ็บน้อยที่สุดแล้ว
แต่ซ่างกวานชิ่งไม่อยากกินมัน เขาไม่อยากหลับ เขาอยากอยู่ข้างๆ มารดาของเขา ได้เป็นตัวเองในแบบที่ต้องการแม้เวลาจะสั้นเหลือเกิน
เขายอมทนความเจ็บปวดดีกว่าที่จะจากโลกนี้ไปอย่างสงบ
แม้ภายในใจขององค์หญิงจะเจ็บราวกับถูดมีดกรีดแทง ทว่าใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้ม “เช่นนั้น คืนนี้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้านะ”
เขาจะปฏิเสธลงได้อย่างไร
ไหนๆ เขาก็จะตายแล้ว ให้เขาได้ทำตามหัวใจของตัวเองเถิด
เขาอยากนอนลงข้างๆ แม่แท้ๆ ของเขา อยากสัมผัสและอยู่ใกล้ๆ เป็นครั้งสุดท้าย
สองแม่ลูกต่างไม่มีใครกล้าหลับ
องค์หญิงซิ่นหยางนั่งอยู่ข้างเตียงและเล่าเรื่องเกี่ยวกับแคว้นเจาให้เขาฟัง
นางอยากได้ยินเขาพูดถึงช่วงเวลาที่เขาอยู่ในแคว้นเยี่ยนเสียมากกว่าว่าเขาเติบโตมาอย่างไร ชอบทำอะไร ไม่ชอบทำอะไร และมีประสบการณ์อะไรบ้าง
แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่มีแรง
เขานอนเงียบๆ ราวกับทารกอ่อนแอที่แม้แต่แรงจะหายใจยังไม่มี
“ข้าชอบปลูกต้นไม้ ที่ห้องดอกไม้ข้าก็ปลูกดอกโบตั๋นไว้เต็มเลย ถ้าเจ้าชอบ พรุ่งนี้ข้าจะเด็ดมาให้เจ้า”
เด็กผู้ชายจะชอบดอกโบตั๋นได้อย่างไร
ตอนนี้จิตใจของนางเต็มไปด้วยความสับสนว้าวุ่นจนเริ่มจับต้นชนปลายไม่ได้
“พ่อข้าล่ะ”
ทันใดนั้น ซ่างกวานชิ่งก็ถามขึ้น “เขาเป็นคนแบบไหน”
“เขา…” เมื่อได้ยินเสียงของลูกชาย จิตใจของนางก็พลันแจ่มใสขึ้นในไม่กี่วินาที นางไม่รู้จะอธิบายผู้ชายคนนั้นอย่างไร แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เขาเป็นพ่อที่ดี”
…
ณ ทุ่งน้ำแข็งที่มีหิมะโปรย
เซวียนผิงโหวและหมาป่าทั้งสิบเอ็ดยังคงทะยานไปข้างหน้าท่ามกลางลมหนาว
เขายืนอยู่บนรถเลื่อน เมฆดำก้อนใหญ่กำลังไล่หลังเขา
ที่ผ่านมาเจ้าหลิงหวังได้พาพวกเขาหาที่หลบพายุหิมะมาแล้วสองครั้ง รวมถึงหิมะที่ถล่มจากภูเขา ทว่าตอนนี้มันยังคงวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ละความพยายามใดๆ
ไม่มีหมาป่าตัวไหนอู้งานแม้แต่ตัวเดียว
เซวียนผิงโหวเองก็เช่นกัน เขาแทบไม่ได้พักเลย เพราะต้องคอยคุมทิศทางของรถอยู่ตลอด
ตอนแรกที่เขาเห็นว่าทะเลสาบเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็ง ก็เลยคิดไว้ในตอนแรกว่าไม่ต้องวิ่งทางอ้อม แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อเผชิญกับพายุหิมะ ทำให้เขาต้องเปลี่ยนเส้นทางอยู่หลายครั้ง
หลังจากที่ผ่านทางบกมาได้ ในที่สุดก็มาถึงทะเลสาบน้ำแข็ง
“เอ๋ เจ้าหลิงหวัง ไยถึงวิ่งเร็วกว่าเดิมล่ะ อย่าบอกนะว่าพายุหิมะมาอีกแล้ว” เซวียนผิงโหวหันไปทางหลิงหวังพร้อมกับย่นคิ้ว
เขาเริ่มสังหรณ์ไม่ดี และคิดว่าพายุหิมะลูกต่อไปน่าจะรุนแรงไม่น้อย
เขากำบังเหียนจนแน่น
ทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
แย่ละ!
หิมะถล่ม!
“หลิงหวัง!”
เซวียนผิงโหวตะโกนทันที
หลิงหวังจึงเร่งความเร็วขึ้นกว่าเดิม ฝูงหมาป่าก็เช่นกัน
เมื่อเซวียนผิงโหวหันกลับไปมอง ก็พบว่าหิมะบนภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะนั้นกำลังถล่มไหลมาทางนี้
เจ้าหลิงหวังตัดสินใจเปลี่ยนทิศโดยการเลี้ยวหักศอกแล้ววิ่งไปทางขวา ทำให้รถและฝูงหมาป่าถูกเหวี่ยงลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง
ความเร็วนั้นเกือบทำให้ร่างของเซวียนผิงโหวถูกเหวี่ยงออกไปจากรถ!
โชคดีที่เขายังสนุกและตื่นเต้นกับมัน
เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้วไหมล่ะ!
ฉังจิ่งเป็นเด็กที่เติบโตมากับการเล่นรถเลื่อน ทำให้หัวใจของเขาแข็งแรงกว่าคนทั่วไป!
ใบหน้าของเซวียนผิงโหวถูกลมตีหน้าจนแข็งทื่อไปหมด
และไม่นานหลังจากที่พวกเขาเลี้ยวมาได้ หิมะก็ถล่มท่วมตรงเส้นทางเดิมที่พวกเขาวิ่งเมื่อครู่นี้ และมันยังคงถล่มไปเรื่อยๆ จนเนินเขาเล็กๆ ถูกกลืนหายไป
ถ้าไม่ได้เจ้าหลิงหวังช่วยไว้ ป่านนี้พวกเขาคงจมอยู่ในหิมะถล่มแล้ว
เซวียนผิงโหวแอบถอนหายใจโล่งอกเบาๆ
ทว่า ยังไม่ทันไร ก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วทันที
เปรี้ยะ!
เปรี้ยะ! เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!
เสียงแตกอู้อี้ดังมาจากใต้น้ำแข็ง รอยแตกสีขาวเริ่มแผ่กระจายไปทั่วราวกับลายบนแผ่นหินอ่อน
อุณหภูมิของน้ำที่อยู่ใต้น้ำแข็งนั้นต่ำมาก ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถว่ายน้ำที่อุณหภูมิต่ำเช่นนี้ได้
เปรี้ยะ!