สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 894 ถึงมือ
บทที่ 894 ถึงมือ
……….
อาหารที่เพิ่งทำเสร็จสดใหม่ ถูกจัดวางบนโต๊ะอย่างสวยงาม
ฉังคุนได้เชิญเซวียนผิงโหวเข้าไปนั่งในห้องรับรอง ในนั้นนอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีลูกเขยอยู่ด้วยอีกหกคน ฉังคุนจึงแนะนำแต่ละคนให้เซวียนผิงโหวได้รู้จัก
หลังจากที่เหล่าลูกเขยทั้งหลายรู้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยชีวิตฉังคุนไว้ ก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ
ทำให้เซวียนผิงโหวรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อยและทำตัวไม่ถูก
“เชิญนั่งได้เลย ท่านจอมยุทธ์เซียว” ฉังคุนกล่าว
เซวียนผิงโหวนั่งลงทางที่นั่งฝั่งซ้ายของฉังคุน ส่วนเหล่าลูกสาวของฉังคุนไม่ได้มาร่วมโต๊ะทานข้าวกับพวกเขา จากนั้นเหล่าลูกเขยก็นั่งลงประจำที่ของตัวเอง
ด้านข้างของเซวียนผิงโหวเป็นที่นั่งของเย่ชิงที่เขาเว้นไว้ให้ ขณะที่ที่นั่งด้านข้างอีกฝั่งของฉังคุนก็ถูกเว้นว่างไว้เช่นกัน เซวียนผิงโหวจึงเดาว่าน่าจะเป็นที่นั่งของฉังจิ่ง
ดูเหมือนสถานะของฉังจิ่งเองก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าใคร สมกับเป็นว่าที่ผู้นำเกาะคนต่อไป
ไม่นาน ฉังจิ่งก็เข้ามาร่วมวง
เขาไปอาบน้ำมา แล้วเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ที่ดูสะอาดตามากขึ้น ทรงผมของเขาก็เปลี่ยนเช่นกัน จากที่เคยมัดจุกไว้บนศีรษะ ก็เปลี่ยนเป็นถักเปียเหมือนกับชาวเกาะคนอื่นๆ
ซึ่งพี่สาวทั้งเจ็ดของเขาเป็นคนถักให้
พวกนางดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้ถักเปียให้น้องชายสุดที่รักอีกครั้งหลังจากที่เขาหายตัวไปสามปี!
ขณะที่เหล่าลูกเขยต่างพากันอิจฉาตาร้อนฉังจิ่ง… เพราะภรรยาของพวกเขาไม่เคยถักเปียให้เลย!
เมื่อเซวียนผิงโหวได้เห็นฉังจิ่งในรูปแบบใหม่นี้ ก็อดที่จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อที่ได้เห็นลูกเติบโตมิได้
แม้ฉังจิ่งจะไม่ใช่ลูกของเขา แต่ฉังจิ่งก็เป็นคนที่เข้ามาในชีวิตของเขาตอนที่เขาเศร้าโศกจากการสูญเสียอาเหิง
ไม่ใช่ว่าเขามองฉังจิ่งเป็นเหมือนลูก แต่ฉังจิ่งก็เป็นคนที่อยู่เคียงข้างเขาตอนที่ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก
พอฉังจิ่งเข้ามาในห้องรับรอง ก็เข้ามาทักทายทุกคน ก่อนจะเข้าไปนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ด้านข้างเซวียนผิงโหว “ไยท่านจึงมองข้าด้วยสายตาประหลาดแบบนั้น”
เซวียนผิงโหวรีบแก้สีหน้าของตัวเองทันทีและพยายามเบี่ยงประเด็น “เย่ชิงไปไหนแล้วล่ะ”
“เขาโดนยาพิษเล่นงานเข้าแล้วล่ะ” ฉังจิ่งกล่าว
“แล้วไปทำอีท่าไหนถึงได้รับพิษล่ะนั่น” เมื่อเห็นสีหน้าของฉังจิ่งที่ดูไร้กังวล เซวียนผิงโหวก็วางใจเปราะหนึ่ง
ฉังจิ่งถอนหายใจ “ก็เพราะร่างกายของพวกเจ้าอ่อนแอเกินไปน่ะสิ จิบชาดอกไม้ป่าไปแค่สองจอกก็ล้มเสียแล้ว ข้าดื่มมันมาตั้งแต่จนโต ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
เซวียนผิงโหว “…”
อาหารหลักบนเกาะจะเน้นพวกเนื้อปลา ด้วยความที่กังวลว่าจะไม่ถูกปากเซวียนผิงโหว ฉังคุนจึงได้เชิญพ่อครัวจากนอกเกาะมาช่วยทำอาการให้
เซวียนผิงโหวเป็นคนไม่เลือกกิน ขนาดศพม้าหรือใบหญ้ายังเคยกินมาแล้ว ได้กินอาหารปรุงร้อนๆ ใหม่ๆ แบบนี้ถือว่าเกินพอแล้ว
ฉังคุนถามขึ้น “จริงสิ ท่านจอมยุทธ์เซียว อีกไม่กี่วัน ที่เกาะของพวกเราจะจัดการประลองวรยุทธ์ ท่านสนใจหรือไม่”
เซวียนผิงโหวยิ้มรับ พร้อมกับตอบ “ข้าอยากอยู่ต่อเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่ครอบครัวของข้ากำลังประสบปัญหา ข้าต้องรีบกลับให้เร็วที่สุด”
ลูกเขยคนโตสุดได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นทันที “ท่านว่าอย่างไรนะ จะออกจากเกาะในสภาพอากาศแบบนี้น่ะหรือ นี่ก็กำลังจะเข้าเดือนสิบเอ็ดแล้ว! พายุหิมะใกล้เข้ามาแล้วนะขอรับ!”
“นั่นสิท่านจอมยุทธ์เซียว ท่านมาที่นี่เป็นครั้งแรก อาจยังไม่เข้าใจถึงสภาพอากาศอันเลวร้ายของที่นี่ ขนาดข้าเองยังไม่กล้าเข้าออกเกาะในช่วงเวลานี้เลย” ฉังคุนพูดไปตามที่รู้สึก
ส่วนฉังจิ่งได้แต่นั่งกินข้าวเงียบๆ พลางคิดในใจ
พวกท่านโน้มน้าวเขาไม่ได้หรอก
เขาต้องการยาถอนพิษให้ลูกชายของเขา
ต่อให้เขาต้องตาย อย่างน้อยเขาก็ต้องนำยาไปส่งให้ลูกชายให้ได้
ฉังจิ่งยื่นตะเกียบออกไปเพื่อจะคีบเนื้อปลา แต่ดูเหมือนเขาจะใหญ่แรงเยอะเกินไปเสียจนจานใส่ปปลาแตกเป็นสองเสี่ยง
เซวียนผิงโหวหันไปเหลือบมองฉังจิ่งหนึ่งที “ทุกท่านในที่นี้ล้วนมีเจตนาดี ข้าขอรับไว้ด้วยใจจริง หากวันข้างหน้ามีโอกาส ข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกท่านอีกครั้ง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ก็ไม่มีใครกล้าโน้มน้าวอะไรเขาต่อ
“จะออกเดินทางเมื่อใดล่ะ” ฉังคุนถาม “ข้าจะให้คนเตรียมของไว้สำหรับเดินทาง”
หากเป็นฤดูกาลอื่น ฉังคุนจะส่งคนติดตามไปด้วย แต่นี่เป็นช่วงฤดูหนาว เขาจะไม่ยอมให้ใครเสี่ยงเด็ดขาด
ที่จริงจะบอกว่าเสี่ยงก็ไม่ถูก เพราะพวกเขาจะต้องประสบกับความตายบนทุ่งน้ำแข็งนี้
ฉังคุนได้แต่อาลัย
“พรุ่งนี้เช้า” เซวียนผิงโหวกล่าว
…
หลังเสร็จจากมื้อเย็น เซวียนผิงโหวก็กลับเข้าห้องพักของตัวเอง
พวกเขาใช้เวลาสองวันในการเดินทางจากเมืองฉวี่หยางมาถึงชายแดนแคว้นเยี่ยน และใช้เวลาเจ็ดวันในการเดินทางบนทุ่งน้ำแข็ง และแทบไม่เคยได้หยุดพักร่างกายอย่างเต็มที่เลย ร่างกายของเซวียนผิงโหวเต็มไปด้วยแผลเก่าและแผลใหม่ที่ปะทุอาการบาดเจ็บร่วมกัน
คืนนี้เขาต้องพักผ่อนให้เต็มที เพื่อที่จะเผชิญหน้ากับพายุหิมะที่อาจเข้ามาในวันรุ่งขึ้น
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
พอเซวียนผิงโหวที่เพิ่งจะถอดเข็มขัดออกเพื่อเตรียมจะอาบน้ำได้ยินดังนั้นก็ขานกลับไป “เข้ามาสิ”
เมื่อประตูถูกเปิดออก ฉังจิ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกล่องไม้กล่องหนึ่ง
เขายื่นกล่องไม้ให้เซวียนผิงโหว พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เย็นชาเกินแต่ก็ไม่ได้อบอุ่นจนฟังแล้วเลี่ยน “อ่ะนี่ หญ้าป่าที่ท่านต้องการ มีทั้งดอกและผลของมันด้วย ถ้าเผลอกินหญ้าเข้าไป ให้กินผลตาม แล้วจะดีขึ้น”
พืชพรรณทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณที่ช่วยเสริมกัน สาเหตุที่จื่อเฉ่าไม่มียาแก้พิษ นั่นเป็นเพราะยาแก้พิษที่แท้จริงก็คือผลของมันเอง
“แล้วผลชนิดนี้สามารถถอนพิษชนิดอื่นได้หรือไม่” เซวียนผิงโหวถาม เพราะหากทำได้ ก็อาจจะช่วยชิ่งเอ๋อร์ไว้ได้
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่เคยลองกับตัว อีกทั้งคนบนเกาะก็ไม่เคยมีใครได้รับพิษจากมันมาก่อน” ฉังจิ่งกล่าว
เซวียนผิงโหวนึกถึงเย่ชิงทันที ข้าละสงสัยจริงๆ ว่าคนที่นี่เขาไม่เป็นอะไรกันเลยจริงๆ หรือ
“จะว่าไปแล้ว ไยเกาะเจ้าถึงได้มีพืชพรรณแบบนี้เยอะนัก”
ฉังจิ่งตอบไป “ตอนแรกก็ไม่มีหรอก ผู้นำเกาะคนแรกเป็นคนนำมันมาปลูกที่นี่”
เซวียนผิงโหวถามต่อ “ผู้นำเกาะคนแรก หมายถึง…บรรพบุรุษของเจ้ารึ”
ฉังจิ่งอธิบาย “ผู้นำเกาะคนแรกไม่ได้มาจากตระกูลฉัง แต่เป็นบุคคลลึกลับคนหนึ่ง แผ่นจารึกของเขาถูกตั้งไว้อยู่ด้านในสุดของหอบรรพชน มีเพียงผู้นำเกาะเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปสักการะ ข้าไม่สามารถเข้าไปได้ ก็เลยไม่รู้นามของเขา ตอนแรก หญ้าชนิดนี้มีอยู่ที่เกาะนี้ที่เดียวเท่านั้น ภายหลังมีคนจากด้านนอกเข้ามาขุเขโมยมันไป ข้าละไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดต้องทำเช่นนั้นด้วย”
เท่ากับว่า พืชป่าทั้งหมดที่อยู่ในหกแคว้น…ไม่สิ หมายถึงจื่อเฉ่าทั้งหมด ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากเกาะอั้นเย่สินะ
ฉังจิ่งถอนหายใจ “ขุดไปก็เท่านั้น เพราะหญ้าชนิดนี้จะออกดอกออกผลได้แค่ที่นี่เท่านั้น”
แสดงว่าผู้นำเกาะคนแรกเป็นคนที่เก่งกาจอย่างมาก เก่งเสียยิ่งกว่าผู้นำเจ้าแห่งเงาทมิฬอีก!
ไม่รับความเห็นต่าง!
เขามักจะได้ยินผู้คนที่เมืองผู่ชอบพูดถึงผู้นำรุ่นแรกของเจ้าแห่งเงามืด และฉังจิ่งก็มักจะมีท่าทีคัดค้านอยู่เนืองๆ
เซวียนผิงโหวไม่รู้ว่าข้อมูลพวกนี้มีประโยชน์อะไร แต่ก็เผลอจำไปโดยปริยาย
เขาหันไปมองฉังจิ่งที่กำลังทำหน้าบูดเบี้ยว จึงยกมือแล้วลูบหัวของเขาพร้อมกับหัวเราะ “ทำหน้าย่นให้ใครดูรึ”
ฉังจิ่งแสดงท่าทีไม่พอใจกับคำพูดของเขา “ศีรษะเป็นของสูง ห้ามลูบเด็ดขาด”
เซวียนผิงโหวพ่นหัวเราะทันที “สูงเสิงอะไรกัน คิดว่าตัวเองโตแล้วหรือไง ขนงอกหมดทุกที่แล้วรึ”
ฉังจิ่งกลอกลูกตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจถอนเข็มขัดและกางเกงออกเพื่อก้มดู
เซวียนผิงโหว “…”
…
วันรุ่งขึ้น เซวียนผิงโหวเตรียมตัวออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
เขาใช้ขี้ผึ้งทารอบๆ กล่องไม้ที่บรรจุจื่อเฉ่า จากนั้นก็ใช้หนังวัวพันรอบๆ เพิ่มความแน่นหนา เพื่อไม่ให้ถูกลมและหิมะ
อีกทั้งเขายังเตรียมอาหารแห้งไว้กินระหว่างทาง เชือกที่เอาไว้ใช้ฉุกเฉิน โดยฉังคุนสั่งให้คนเตรียมข้าวของจำเป็นไว้ให้และเก็บไว้ในตะกร้าสะพายหลังอย่างดี
เมื่อเห็นว่าตะกร้ายังมีที่ว่างเหลืออยู่ เขาจึงยัดกล่องลงไป
แน่นอนว่าฉังจิ่งเดินทางไปกับเขาไม่ได้ ส่วนเย่ชิงยังคงอยู่ในสภาพเมาพิษทำให้ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี
ทว่าเซวียนผิงโหวก็ไม่ได้คิดจะพาพวกเขากลับไปด้วยอยู่แล้วแต่แรก
เขาต้องรีบกลับไปช่วยลูกชายของเขา
ถ้าเขาเดินทางไปคนเดียว ก็ไม่ต้องลำบากคนอื่น
ฉังจิ่งรู้สึกเสียใจมากๆ
เขานั่งกอดกล่องลูกแก้วอยู่ในห้องทั้งคืนในสภาพตาโหลเพราะหลับไม่ลง
ฉังอิงย่นคิ้วทันทีหลังจากเห็นน้องชายปิดประตูห้องสนิท จึงรีบตามไปดู
มีคนเตรียมรถเลื่อนหิมะตรงจุดที่พวกเขาขึ้นฝั่งมาตอนแรกไว้ให้แล้ว
เซวียนผิงโหวเดินไปที่รถ
เหล่าทหารประสานมือเพื่อแสดงความเคารพให้เขา “ท่านจอมยุทธ์ นี่เป็นรถเลื่อนของท่านผู้นำเกาะ ทำมาจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบา และสามารถเคลื่อนที่ได้เร็ว อีกทั้งเราได้เตรียมหมาป่าลากรถฝูงใหม่ไว้ให้แล้วขอรับ”
เซวียนผิงโหวสังเกตได้ในทันทีว่าทั้งรถเลื่อนและหมาป่าของวันนี้มีสภาพที่ดูดีกว่าของเมื่อวานหลายเท่า
“ฝากขอบคุณท่านผู้นำเกาะให้ข้าด้วย” เซวียนผิงโหวกล่าว
ทหารยามตอบกลับ “ท่านผู้นำฝากบอกมาว่าเป็นเรื่องที่ควรทำขอรับ”
จากนั้นเซวียนผิงโหวก็เตรียมตัวออกเดินทาง
ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้าจากด้านหลัง แววตาของเขาวูบไหวทันทีก่อนจะเอี้ยวตัวหลบแรงอันมหาศาลได้ทัน พร้อมกับหันไปทางอีกฝ่าย
ไม่รอช้า อีกฝ่ายก็สับดาบมาทางเขาอย่างไม่รีรอ!
กลายเป็นว่าอีกฝ่ายคือฉังอิง พี่สาวคนโตของฉังจิ่ง
เหตุใดนางต้องไล่ฆ่าเขาด้วย
พวกเขาสู้กันอยู่ราวสิบกระบวนท่า เซวียนผิงโหวออมแรงให้นาง แม้เห็นว่าอีกฝ่ายมุ่งให้ถึงแก่ชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายอีกฝ่ายแต่อย่างใด
ทันใดนั้น ฉังอิงถูกโจมตีกลับจนต้องรุดถอยห่างจากเซวียนผิงโหวราวสิบก้าว
นางจ้องหน้าเซวียนผิงโหวด้วยแววตาเย็นชา “กะแล้วเชียว เจ้าคือคนที่ลักพาตัวน้องชายของข้าไป!”