สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 890 จดจำกันได้
บทที่ 890 จดจำกันได้
……….
เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน
รถม้าคันหนึ่งที่มีหิมะกองพะเนินบนหลังคาหรูหราจอดอยู่หน้าประตูเมือง
ซ่างกวานชิ่งเลิกม่านขึ้น ชะโงกหน้าออกไป
เขาทอดมองกำแพงเมืองสูงตระหง่าน ถามด้วยความตกใจ “ข้างหน้า… คือเมืองหลวงหรือ”
“อืม” เซียวเหิงพยักหน้า เลิกม่านให้สูงขึ้นอีกหน่อย ทอดมองฝูงชนขวักไขว่ไม่ขาดสายพลางเอ่ย “เดือนสิบสองคนเข้าออกเมืองหลวงมากมาย ปกติไม่ได้แออัดเช่นนี้หรอก”
“ก็ไม่เลวนี่” ซ่างกวานชิ่งเอ่ย
แคว้นเจาเป็นแคว้นระดับล่าง แม้ว่าจะไม่มั่งคั่งเท่าแคว้นเยี่ยน แต่ราชสำนักมั่นคง ปวงชนอยู่ดีมีสุข เสียงแซ่ซ้องที่มีต่อราชสำนักและฮ่องเต้ก็มากมาย
ต้องบอกเสียก่อนว่า กษัตริย์แคว้นเยี่ยนเป็นทรราช คำวิพากษ์วิจารณ์จากปวงชนที่มีต่อพระองค์ส่วนใหญ่เป็นด้านลบ
เพียงแต่ว่าแผนการของพระองค์ยอดเยี่ยม ภายใต้การปกครองอย่างเผด็จการกลับไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านก็เท่านั้น
เซียวเหิงแย้มยิ้ม ยามนี้แคว้นเจายังไม่แข็งแกร่งมากพอ แต่เขาเชื่อว่าต้องมีสักวันที่แคว้นเจาจะเบียดขึ้นเป็นแคว้นเบื้องบนได้แน่
นั่นต้องใช้ความพยายามของผู้คนมากมายนัก อาจจะเป็นความพยายามจากหลายชั่วอายุคน แต่ตราบใดที่ไม่ยอมแพ้ ก็ย่อมมีหวัง
“จะพักสักหน่อยหรือไม่” เซียวเหิงถามซ่างกวานชิ่ง
ตอนนั้นที่เซียวเหิงกับกู้เจียวออกจากแคว้นเจาล้วนใช้เส้นทางบก มีด่านเยอะ ทางอ้อมเยอะ และเนื่องจากไม่มีสิทธิพิเศษของราชวงศ์ จึงใช้เส้นทางหลวงส่วนใหญ่ไม่ได้ ซึ่งทำให้การเดินทางล่าช้าอย่างมาก ใช้เวลาเกือบสองเดือนจึงถึงเซิ่งตู
ส่วนการกลับมาหนนี้ พวกเขาใช้ตัวตนของพระนัดดา ได้ใช้เส้นทางหลวงที่ราชสำนักใช้ส่งเสบียงโดยเฉพาะ ซ้ำยังเปลี่ยนมาใช้ทางน้ำในครึ่งทางหลังด้วย
พวกเขาโชคดีไม่เลว พอขึ้นฝั่งมาแม่น้ำก็เริ่มแข็งตัวทันที
ตั้งแต่ต้นเดือนสิบเอ็ดจนถึงต้นเดือนสิบสอง ใช้เวลาเดินทางหนึ่งเดือนเต็มๆ
“ไม่ต้อง ข้าไม่เหนื่อย” ซ่างกวานชิ่งเอ่ย
ไม่เหนื่อยน่ะโกหก เซียวเหิงยังเหนื่อยเลย นับประสาอะไรกับคนป่วยอย่างเขา
แต่สองพี่น้องรู้แก่ใจกันดี ซ่างกวานชิ่งเหลือเวลาไม่มากแล้ว อยู่ได้มาจนถึงตอนนี้ก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว ทุกย่างก้าวของเขาล้วนเหยียบย่ำบนหลังคาตำหนักยมราช ไม่รู้ยามใดจะเหยียบพลาดตกลงไป
รถม้าเข้าไปในเมือง
ซ่างกวานชิ่งต่อให้เหนื่อยล้าเพียงใด ก็ไม่พลาดโอกาสชื่นชมเมืองหลวงอย่างละเอียด
“ร้านขายถังหูลู่มากมายเพียงนี้เชียว” เขาร้องอุทาน
ที่แคว้นเยี่ยนมีน้อยนัก
ถนนสายหนึ่งจะหาแผงลอยเล็กๆ ขายถังหูลู่สักร้านยังยาก นึกไม่ถึงว่าที่นี่จะมีร้านขายถังหูลู่มากมายเพียงนี้
เซียวเหิงให้สารถีจอดรถหน้าร้านถังหูลู่ร้านหนึ่ง และซื้อทุกรสมาอย่างละไม้
“เอาไปสิ”
เขายื่นถังหูลู่ในมือให้ซ่างกวานชิ่งทั้งกำ
“ถังหูลู่ส่งมาจากแคว้นเจา” ซ่างกวานชิ่งเลือกไม้ที่ทั้งใหญ่ทั้งแดง “เดิมทีแคว้นเยียนไม่มีหรอกนะ”
ดังนั้นเจ้าชอบกินถังหูลู่ เพราะคิดถึงบ้านเกิดหรือ
เซียวเหิงมองเขากินเงียบๆ
ซ่างกวานชิ่งไม่ค่อยอยากอาหารจริงๆ ถือเล่นอยู่พักหนึ่ง
“เอาอย่างนี้…” เขาหยุดเว้น ก่อนเอ่ย “รออีกเดี๋ยวค่อยไปดีกว่า”
“เป็นอะไรไปเล่า” เซียวเหิงถาม
ซ่างกวานชิ่งมองถังหูลู่ในมือพลางพึมพำ “ข้า…คือว่า…”
เซียวเหิงถามอย่างขบขัน “ท่านตื่นเต้นรึ”
“ไม่ใช่เสียหน่อย!” ซ่างกวานชิ่งปฏิเสธลูกเดียว
เซียวเหิงยิ้มเอ่ย “วางใจได้ ท่านแม่เห็นท่านจะต้องดีใจมากแน่”
ซ่างกวานชิ่งเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าไม่ใช่อื้อๆ เสียหน่อย ข้าอื้อๆ ไม่เป็น”
ทุกประโยคของเขามีสองคำกลางที่อู้อี้ไม่ชัดเจน เซียวเหิงฟังออกแค่อื้อๆ แต่เซียวเหิงอาศัยกระแสจิตระหว่างพี่น้อง สุดท้ายก็เดาออกมาได้ว่า
…ข้าไม่ใช่จอหงวนเสียหน่อย ข้าอ่านหนังสือไม่เป็น
นึกไม่ถึงว่าพี่ชายที่ทระนงตนหยิ่งผยองจะมีตอนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเช่นนี้ด้วย ซึ่งมันได้พิสูจน์ประโยคที่ว่า เมื่อเราสนใจความคิดของคนผู้หนึ่งเป็นพิเศษ ก็จะกังวลกับผลได้ผลเสีย
เซียวเหิงยิ้มจางๆ พลางเอ่ย “ท่านแม่ต้องชอบท่านแน่”
ซ่างกวานชิ่งเบ้ปาก “ดูจากท่าทางเจ้าก็รู้แล้วว่านางชอบลูกชายแบบไหน”
เซียวเหิงเลิกคิ้ว “ท่านแอบท่องกลอนเพราะเรื่องนี้น่ะหรือ”
ซ่างกวานชิ่งสะดุ้งโหยงพลางเอ่ยด้วยความเดือดดาล “ข้าได้ท่องกลอนที่ไหน!”
เซียวเหิงหัวเราะยกใหญ่
พวกเขาสองคนช่างสมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ คนหนึ่งแบกภรรยาออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย อีกคนแอบท่องกลอนท่องกวี
ลูกชายโง่อย่างไรก็ต้องเจอมารดาอยู่ดี ครั้นใกล้ยามสนธยา รถม้าก็ยังคงไปถึงถนนจูเชวี่ยอยู่ดี
ซ่างกวานชิ่งละล้าละลังไม่ยอมรถจากรถ
กว่าจะลงจากรถได้ก็มายืนติดกำแพงในตรอกไม่ยอมเดินไปเสียที
เซียวเหิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หนังหน้าหนาออกมิใช่หรือ ไฉนพอเป็นเรื่องพบมารดาแท้ๆ กลับอายเสียยิ่งกว่าข้าอีกเล่า
สองพี่น้องยืนอยู่ในตรอกฝั่งตรงข้ามอยู่เนิ่นนาน เซียวเหิงเห็นเสี่ยวจิ้งคงออกไปแล้ว ซ่างกวานชิ่งจึงได้เดินยืดๆ ยาดๆ ตามหลังเซียวเหิงไป
บนไหล่ของทั้งสองมีเกล็ดหิมะเกราะพราวด้วยสาเหตุนี้เอง
องค์หญิงซิ่นหยางยังไร้ปฏิกิริยาต่อคำว่า ‘พี่ชาย’ คำนั้น แต่เมื่อซ่างกวานชิ่งที่สวมชุดคลุมสีขาวดุจพระจันทร์ถือถังหูลู่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา องค์หญิงซิ่นหยางก็ชะงักฝีเท้าทันที!
คล้ายลมรอบตัวพลันสงัดไป หิมะเกล็ดใหญ่โปรยปรายลงมายกใหญ่ ทั่วทั้งเรือนเงียบสงัด
สายตานางตกลงบนใบหน้าหล่อเหลาที่คล้ายเซียวเหิงอยู่หลายส่วน แทบหยุดลมหายใจ หัวใจเต้นผิดไปจังหวะหนึ่ง!
คำว่า ‘พี่ชาย’ แค่คำเดียวไม่อาจยืนยันอะไรได้
เซียวเหิงใช่ว่าไม่มีพี่ชายเสียหน่อย
ทว่า
จู่ๆ นางก็ปวดใจขึ้นมา
เจ็บนัก เจ็บยิ่งนัก!
เหตุใดเห็นคนผู้นี้แล้ว นางจึงได้ปวดใจเพียงนี้กัน
ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอ
“ท่านแม่ พี่ชายกลับมาแล้วขอรับ” เซียวเหิงเอ่ย
ครู่ต่อมา เขาก็ชะงักงันตามไปเช่นกัน
สายตาของเขาตกลงบนดวงหน้างามขององค์หญิงซิ่นหยาง ก่อนจะตกลงบนท้องที่นูนป่องของนาง
ช้าก่อน
เขาจากไปเพียงเก้าเดือน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ซ่างกวานชิ่งตื่นเต้นจนนิ่งงันไปตั้งนานแล้ว สมองดังวิ้งๆ ไม่อาจครุ่นคิดอะไรได้อีกเลย
เซียวเหิงเดาไว้ไม่ผิด ในเรื่องพบมารดาแท้ๆ น่ะ ซ่างกวานชิ่งตื่นเต้นกว่าเซียวเหิงจริงๆ
ความอับอายทั้งหมดของเขาในหลายปีมานี้ ล้วนใช้กับองค์หญิงซิ่นหยางทั้งหมดแล้ว ณ ขณะนี้
ขะ…เขินมากเลย ทำอย่างไรดี
ซ่างกวานชิ่งเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าในมือตัวเองยังถือถังหูลู่ไว้ด้วย
ต้องโทษที่ตนตื่นเต้นเกินไป ลืมแม้แต่วางของกินเด็กเช่นนี้ไว้บนรถม้า
จะทำเช่นไรดีล่ะ
ภาพลักษณ์เย็นชาเป็นผู้ใหญ่ของเขา!
อวี้จิ่นก็ตกตะลึงไม่เบาเช่นกัน ‘พี่ชาย’ ที่ถูกท่านโหวน้อยพากลับมาเป็นผู้ใดกัน ดูจากอายุอานามแล้ว พอๆ กันกับท่านโหวน้อยเลย คงไม่ใช่…
ไม่กระมัง ไม่กระมัง
คุณชายเซียวชิ่งตายไปนานแล้วมิใช่หรือ
“อะ…องค์หญิง…” นางทอดมององค์หญิงซิ่นหยางบนระเบียงอย่างเหลือเชื่อ
องค์หญิงซิ่นหยางยามนี้เริ่มหายใจไม่ออกแล้ว การตั้งครรภ์ทำให้ร่างกายนางเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะฤทธิ์ของฮอร์โมน น้ำตาคิดจะไหลก็ไหล ไม่เหมือนนางที่เคยเย่อหยิ่งเย็นชาเลยสักนิด
เซียวเหิงลากพี่ชายที่นิ่งงันไปแล้วมาหยุดตรงหน้าองค์หญิงซิ่นหยาง ก่อนเอ่ยกับองค์หญิงซิ่นหยางแผ่วเบา “ท่านแม่ พวกเราเข้าห้องไปพูดคุยกันเถิด”
…
สามคนแม่ลูกเข้าไปในห้อง
อวี้จิ่นก็คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ด้วย
เซียวเหิงนั่งอยู่ตรงกลาง องค์หญิงซิ่นหยางกับซ่างกวานชิ่งนั่งตรงข้ามกัน
องค์หญิงซิ่นหยางมองลูกคนนี้แล้ว น้ำตาอุ่นร้อนก็ไหลไม่หยุด
ซ่างกวานชิ่งเดิมทีไม่ได้เสียใจ แต่เห็นนางหลั่งน้ำตา จู่ๆ เขาก็ปวดใจยิ่งนัก
อารมณ์ของทั้งคู่พลุ่งพล่านเกินไป เรื่องความเป็นมาจึงต้องให้เซียวเหิงเป็นคนเล่า
เซียวเหิงเริ่มจากตัวตนของซ่างกวานเยี่ยนก่อน
ทาสสาวแคว้นเยี่ยนในตอนนั้นความจริงแล้วคือหวงองค์หญิงแห่งแคว้นเยี่ยน เนื่องจากโดนคนใส่ความจึงถูกขายเข้ามาในโรงบู๊ใต้ดิน และถูกเซวียนผิงโหวช่วยไว้
เรื่องราวต่อจากนั้น องค์หญิงซิ่นหยางทรงทราบหมดแล้ว
แต่สิ่งที่องค์หญิงซิ่นหยางไม่ทราบก็คือ องค์หญิงแคว้นเยี่ยนไม่ได้สังหารซ่างกวานชิ่งตาย นางเพียงเอาเขาไปซ่อนไว้ ตอนนางจากไปก็แอบพาซ่างกวานชิ่งไปด้วยกัน
ซ่างกวานชิ่งโดนยาพิษ
วิชาการแพทย์ของแคว้นเฉินสูงส่ง
นางจึงไปขอยาถอนพิษที่แคว้นเฉินเป็นอันดับแรก หมอของแคว้นเยี่ยนก็ยืดอายุขัยให้ซ่างกวานชิ่งมาได้นิดหน่อย น่าเสียดายที่ได้ผลน้อยนิด เพื่อสามารถให้ซ่างกวานชิ่งมีชีวิตอยู่ต่อไป นางจึงต้องพาซ่างกวานชิ่งกลับไปในรังมังกรถ้ำพยัคฆ์อย่างเซิ่งตู
จากนั้น ก็เป็นโศกนาฏกรรมของตระกูลเซวียนหยวน
ซ่างกวานเยี่ยนถูกปลดฐานันดรองค์หญิง แต่ฮ่องเต้รักเอ็นดูซ่างกวานชิ่งมาก ยังคงให้เขาอยู่ในฐานันดรพระนัดดาดังเดิม และให้ตำหนักกั๋วซือรักษาให้เขาต่อไป
เพียงแต่ว่า ซ่างกวานชิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เครื่องหน้าก็ค่อยๆ ชัดขึ้น เขาไม่เหมือนซ่างกวานเยี่ยนมากขึ้นเรื่อยๆ
มีคนไม่น้อยที่เริ่มวิจารณ์โจมตีซ่างกวานเยี่ยน และเอาตัวตนของซ่างกวานชิ่งมาเขียนเป็นบทความ ยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจว่านางสร้างความแปดเปื้อนให้สายเลือดราชวงศ์
ภายใต้ความจนด้วยเกล้า ซ่างกวานเยี่ยนจึงต้องส่งคนแอบไปยังแคว้นเจา แอบวาดภาพเหมือนของเซียวเหิงมา แล้วให้ซ่างกวานชิ่งแปลงโฉมเป็นเซียวเหิง
และด้วยเหตุนี้เอง การมีตัวตนของเซียวเหิงจึงได้เปิดเผยให้ฝ่ายไท่จื่อได้รับรู้
เพื่อช่วยสายเลือดของซิ่นหยาง ซ่างกวานเยี่ยนเปิดเผยสายเลือดของตัวเอง
การกระทำที่ซ่างกวานเยี่ยนแย่งยาถอนพิษที่เป็นของซ่างกวานชิ่งไปในตอนนั้น น่าชิงชัง
แต่ความมุ่งมั่นที่นางจะใช้ชีวิตที่เหลือชดใช้ให้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องโกหก
หลายปีมานี้นางปฏิบัติต่อซ่างกวานชิ่งประดุจลูกแท้ๆ และไม่ได้เกี่ยวกับการชดใช้แล้ว ความรักระหว่างพวกเขาสองแม่ลูกมีอยู่จริง
แน่นอนว่าในขณะที่เซียวเหิงเล่าเรื่องราวนั้นได้แทรกความเห็นของตัวเองลงไปด้วย เล่าความจริงทั้งหมดจากสภาพจริง
ไม่มีผู้ใดสามารถอภัยให้ซ่างกวานเยี่ยนแทนองค์หญิงซิ่นหยางได้ และไม่มีผู้ใดสามารถแบกรับ ‘ความเจ็บปวดในการสูญเสียบุตร’ ในหลายปีมานี้แทนนางได้เช่นกัน
จะแค้น จะอภัย หรืออย่างอื่น องค์หญิงซิ่นหยางคงมีความคิดของตัวเอง
ซ่างกวานชิ่งมององค์หญิงซิ่นหยางอย่างตึงเครียด ราวกับกำลังรอคำพิพากษาจากนาง
องค์หญิงซิ่นหยางฟังมาถึงตรงนี้ อารมณ์กลับสงบลง
นางหันไปมองซ่างกวานชิ่งพลางเอ่ยอย่างขมขื่น “อันที่จริง ตอนนั้นต่อให้นางไม่ได้ ‘แย่ง’ ยาถอนพิษไป เจ้าก็ไม่รอดเช่นกัน ฮ่องเต้พระองค์ก่อนระแวงท่านพ่อพวกเจ้า ข้าแต่งกับเขาเป็นเพียงหมากทางการเมืองเท่านั้น องครักษ์หลงอิ่งของข้ารอจะสังหารเขาอยู่ตลอดเวลา และเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าใจอ่อนเพราะลูก องครักษ์หลงอิ่ง…จะฆ่าข้ากับลูกของเขา พวกเขาทำไม่สำเร็จหนหนึ่ง ก็มาอีกหน จนกระทั่ง…ข้าสูญเสียเจ้าไปโดยสมบูรณ์แล้ว”
“ข้าก็เคยทำร้ายอาเหิงมากมายเช่นกัน พวกเจ้าสองคนต่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ คนที่ข้าต้องตำหนิติโทษ คนแรกคือเสด็จพ่อของข้า รองลงมาก็ต้องโทษที่ข้าเกิดในราชวงศ์ สุดท้าย โทษที่คนเป็นแม่อย่างข้า…ปกป้องพวกเจ้าไม่ดี”
ไม่ใช่เจ้า แต่เป็นพวกเจ้า
นางมีแต่ความรู้สึกผิดต่อบุตรชายทั้งสอง
หลังจากที่นางทราบความจริงว่า ‘ซ่างกวานเยี่ยนเป็นศัตรูที่สังหารบุตรของนาง’ แล้ว ก็ระบายโทสะไปใส่เซียวเหิงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เช่นกันมิใช่หรือ
นางมีสิทธิ์อะไรไปติโทษซ่างกวานเยี่ยนเล่า
เซียวเหิงกุมมือนางไว้เบาๆ
เรื่องที่ท่านโหวน้อยตายอยู่ในกองเพลิงวันปีใหม่ได้ผ่านไปแล้ว
ปมในใจเขาถูกแก้แล้ว
เขาไม่ใช่เด็กที่ถูกมารดาทอดทิ้งแล้ว
ในช่วงสุดท้าย มารดาของเขาได้ใช้ชีวิตเข้าปกป้องเขาไว้แล้ว
องค์หญิงซิ่นหยางสะอื้นพลางแย้มยิ้ม “ข้าซึ้งใจนักที่นางเลี้ยงเจ้าให้เติบโต หากไม่ได้นาง ข้าอาจจะสูญเสียเจ้าไปแล้วก็ได้”
ซ่างกวานชิ่งผ่อนคลายลงไม่น้อยแล้ว เขาแย้มยิ้มเอ่ย “เสด็จแม่ก็บอกเช่นกันว่า ซึ้งใจยิ่งที่ท่านเลี้ยงน้องให้เติบโตมา เพราะหากพระนัดดาตัวจริงกลับแคว้นเยี่ยนไป เขาอาจจะเติบโตอย่างปลอดภัยได้ยากเช่นกัน”
โชคชะตาเป็นสิ่งที่พิศวงนัก ทว่าเมื่อทำความดีแล้ว ก็อย่ากังวลถึงอนาคตข้างหน้า
“เสด็จแม่” องค์หญิงซิ่นหยางชะงักไปเล็กน้อย
ซ่างกวานชิ่งลูบจมูกยิ้มแหยๆ “นั่นคือ คือแม่ข้าน่ะ”
องค์หญิงซิ่นหยางลิ้มรสคำเรียกนางอยู่ครู่หนึ่ง สัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างซ่างกวานเยี่ยนกับชิ่งเอ๋อร์เลยว่าเข้ากันได้ดีและเป็นธรรมชาติยิ่ง
เซียวเหิงเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องในอดีตก็ไม่เอ่ยถึงแล้วนะ”
องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้า
ซ่างกวานชิ่งก็ไม่ได้แย้งอะไร
องค์หญิงซิ่นหยางมองบุตรชายที่สูญเสียไปแล้วได้กลับคืนมา ไม่อยากจะเชื่อว่าคือความจริง “อาเหิงเจ้าหยิกข้าที”
เซียวเหิงเอ่ยอย่างขบขัน “ไม่สู้ท่านหยิกข้าดีกว่า”
ข้าไหนเลยจะหักใจทำท่านเจ็บได้
จากนั้นองค์หญิงซิ่นหยางก็หยิกเข้าให้จริงๆ
เซียวเหิงเจ็บจนหน้าเบี้ยว
ท่านแม่ ท่านเปลี่ยนไป ท่านไม่เคยลงมือได้เช่นนี้
ข้าตกกระป๋องจริงๆ ด้วย…
องค์หญิงซิ่นหยางยิ้มแหยๆ ลูบขาบุตรชายที่โดนหยิกแดง
ชิ่งเอ๋อร์กลับมาหา ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก นางจมสู่ความปีติมหาศาล ค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
ซ่างกวานชิ่งปากอ้าตาค้างมอง รู้สึกว่าองค์หญิงซิ่นหยางเหมือนจะสนิทสนมด้วยยากเพียงนั้น (ต้องโทษเจ้าน้องชายหน้าเหม็น ชอบบอกเขาว่าท่านแม่เย็นชาดุจเทพธิดา ไม่กินอาหารมนุษย์)
เขากลัวว่าตัวเองจะโดนรังเกียจยิ่งนัก
แต่เขาคิดมากไปเอง
มารดาคนนี้ต่อกันติดได้ทีเดียว
“แต่ว่าท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับท่านกันเล่า” เซียวเหิงมองหน้าท้องนางที่แทบจะชนโต๊ะแล้ว “ของท่านพ่อรึ”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา องค์หญิงซิ่นหยางก็โมโห
กินน้ำแกงห้ามครรภ์แล้วแท้ๆ !
ไฉนยังตั้งครรภ์ได้อีกเล่า
ที่น่าชังก็คือนางเพิ่งจะรู้ตัวตอนสามเดือนแล้ว!
หากรู้แต่แรกตอนนั้นน่าจะกินน้ำแกงห้ามครรภ์ให้มากหน่อย!
ไม่รู้ว่าสัมผัสได้ถึงความไม่ต้อนรับจากมารดาหรือไม่ เจ้าตัวน้อยในท้องจึงได้พลิกตัวอย่างน้อยอกน้อยใจ ถือโอกาสถีบอีกสองสามหน ถีบจนเห็นเป็นรอยเท้าน้อยๆ ของตัวเองบนหนังท้องมารดาเลย
องค์หญิงซิ่นหยางกุมท้องสูดหายใจลึก
เด็กคนนี้ก่อกวนเก่งจริงๆ
ชิ่งเอ๋อร์ตอนอยู่ในท้องสงบมาก
เซียวเหิงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ดูท่าจะเป็นของท่านพ่อข้า”
นอกจากท่านพ่อข้าแล้ว ข้าก็คิดไม่ออกอีกว่ายังมีบุรุษคนใดสามารถทำให้ท่านขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเช่นนี้ได้