สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 889 แม่ลูกพานพบ
บทที่ 889 แม่ลูกพานพบ
……….
ชายแดนในเดือนสิบเอ็ด ลมหนาวกระโชกแรง
ยามราตรี ซ่างกวานเยี่ยนมาจากเมืองผู่ ตรงไปยังค่ายทหารก่อนเป็นอย่างแรก
นางเพิ่งจะได้ยินว่าพระนัดดามายามที่เข้าเมืองมาแล้ว จากที่นางรู้จักบุตรชายทั้งสองคนมา คนหนึ่งต้องการมาหาภรรยา อีกคนจะมาหาน้องชาย ยามนี้คงจะอยู่ในค่ายทหารกันแล้ว
เป็นดังที่คาดไว้ นางเห็นกู้เจียวกับสองพี่น้องในกระโจมของเซวียนผิงโหว
ซ่างกวานชิ่งหลับไปแล้ว กู้เจียวกำลังให้น้ำเกลือเขาอยู่
หมู่นี้เขาไม่อยากอาหาร กู้เจียวจึงให้น้ำเกลือทดแทนให้เขาเป็นระยะ
ทว่าคืนนี้ บรรยากาศภายในกระโจมคล้ายจะหนักอึ้งเป็นพิเศษ
ซ่างกวานเยี่ยนสีหน้าพลันเปลี่ยน “เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นหรือ ชิ่งเอ๋อร์อาการไม่ค่อยดีใช่หรือไม่”
เดิมทีอาการของซ่างกวานชิ่งก็ไม่ค่อยดีเท่าใดอยู่แล้ว ต้องพึ่งยาจากตำหนักกั๋วซือมาโดยตลอดเพื่อข่มพิษไว้ ทำให้เขาดูเหมือนไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่ความจริงแล้วร่างกายเขาเป็นตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอดแล้ว
เย่ชิงบอกว่า เขาไม่มีทางจากไปด้วยความทรมาน เพียงแต่อยากจะนอนมากขึ้นเรื่อยๆ วันใดอาจจะหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้
เซียวเหิงบอกความคิดของซ่างกวานชิ่งให้ซ่างกวานเยี่ยนฟัง
ซ่างกวานเยี่ยนทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อย่างนิ่งอึ้ง “เขา ตัดสินใจจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ”
ไปแคว้นเจา
ก็หมายความว่าเขายอมจำนนต่อการหายาถอนพิษแล้ว
แคว้นเจาอยู่ห่างไกลมากนัก ผู้ใดก็ไม่อาจรับรองได้ว่าเขาจะพิษกำเริบเสียชีวิตระหว่างทางหรือไม่
เกิดเขาพิษกำเริบขึ้นมา จะไม่เป็นการเดินทางโดยเสียเปล่าหรือ
เมื่อนึกถึงบุตรชายต้องตายอยู่ระหว่างทางกลับแคว้นเจาอย่างเดียวดายขึ้นมา ซ่างกวานเยี่ยนก็ประหนึ่งมีมีดกรีดดวงใจ!
นางไม่อยากพลาดการดูใจบุตรชายครั้งสุดท้าย!
“อาเหิง… ข้าทำใจไม่ลง…”
ในยามนี้ นางหาใช่องค์หญิงหัวใจแกร่ง นางเป็นเพียงมารดาธรรมดาคนหนึ่ง
ทว่าในขณะเดียวกัน นางก็รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ห้ามซ่างกวานชิ่งไปพบองค์หญิงซิ่นหยาง
“ท่านโหว ฉังจิ่งและเย่ชิงเดินทางขึ้นเหนือ ข้าสืบความมา เกาะราตรีมืดอยู่ทางนั้น หากถนนหนทางเดินทางได้ง่าย พวกเขาคงพาซ่างกวานชิ่งไปด้วยแล้ว ที่ไม่ได้พาไป ก็หมายความว่าการเดินทางครานี้อันตรายมาก”
แดนเหนือสุดมีสภาพอากาศเลวร้ายถึงขีดสุด ลมแรง หิมะโหมหนาวเหน็บ ซ้ำในขณะที่มันตกหนักลงมา ก็จะทำให้แม้แต่ยอดฝีมือยังไม่อาจเดินผ่านได้
บางทีซ่างกวานชิ่งอาจจะกำลังคิดปลงได้แล้วในเรื่องนี้ จึงตัดสินใจไม่รอหญ้าจื่อเฉ่า
เขาอยากใช้เวลาสุดท้ายในชีวิต กลับไปแคว้นของตัวเอง เจอครอบครัวตัวเองสักหน
พบหน้ามารดาสักหน่อย
ซ่างกวานเยี่ยนสะอื้นเอ่ย “ตอนนั้นข้าพาเขาไป ไม่เคยถามเขาเลยว่าเห็นด้วยหรือไม่…”
ยามนี้เขาเติบใหญ่แล้ว
เขาไม่อาจเลือกเกิดได้ แม้กระทั่งชีวิตตัวเองก็ยังเลือกไม่ได้ แต่เขาหวังว่าจะสามารถเลือกหนทางที่จะจากไปได้
มีชีวิตอยู่หรือตาย ควรให้เขาได้เลือกเอง
กินหญ้าจื่อเฉ่าไปแล้ว และอัตราการรอดชีวิตมีเพียงหนึ่งในหมื่น หากล้มเหลวไป เขาจะไม่อาจรอดกลับไปได้อีกแล้ว
เขาจะเดิมพันกับหนึ่งในหมื่นนี้ หรือว่าใช้ทั้งชีวิตไปพบมารดาของตัวเอง ล้วนควรเป็นตัวเขาเองที่ตัดสินใจ
ภายในกระโจม ซ่างกวานเยี่ยนจับมือบุตรชายเอาไว้ ร้องไห้อยู่ทั้งคืน
…
เหมันต์ที่แคว้นเจาในปีนี้หนาวเหน็บเป็นพิเศษ ปลายเดือนสิบ เมืองหลวงก็มีหิมะแรกตกลงมา เดือนสิบเอ็ดหิมะยิ่งตกอยู่ครึ่งเดือนเต็มๆ
เมื่อเข้าสู่เดือนสิบสองอากาศกลับแจ่มใสอยู่หลายวัน
ณ เรือนแห่งหนึ่งบนถนนจูเชวี่ย องค์หญิงซิ่นหยางนั่งปักผ้าอยู่ข้างเตียงเงียบๆ
เมื่อก่อนบนโต๊ะนางมีเพียงพู่กัน น้ำหมึก กระดาษและแท่นฝนหมึก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่มันกลายเป็นผ้าสารพัดลายเสียแล้ว
นางไม่ชอบที่ในห้องอุดอู้ จึงเรียกอวี้จิ่นมาเปิดหน้าต่างให้
คนที่เข้ามาเป็นสาวใช้คนหนึ่ง
สาวใช้น้อยยิ้มทูล “แม่นางอวี้จิ่นออกไปแล้วเพคะ องค์หญิงมีอะไรจะรับสั่งหรือ”
“เปิดหน้าต่างที” องค์หญิงซิ่นหยางตรัส
“แต่ข้างนอกหนาวมากนะเพคะ” สาวใช้น้อยเป็นห่วงวรกายนาง
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสนิ่งๆ “ข้าร้อน”
“เช่นนั้น ก็แง้มไว้น้อยๆ ” สาวใช้น้อยเอ่ย
“อืม” องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้า
สาวใช้น้อยเดินอ้อมโต๊ะไปแง้มบานหน้าต่างด้วยไม้ค้ำ
ลมหนาวหอบหิมะโชยเข้ามา องค์หญิงซิ่นหยางรู้สึกหนาวขึ้นเป็นระลอก อาการสะลึมสะลือแจ่มใสขึ้นมาไม่น้อย
สาวใช้น้อยตัวสั่นเทา
หนาวยิ่งนัก!
หิมะตกอีกแล้ว!
องค์หญิงซิ่นหยางตากลมหนาวเย็บปักอยู่ครู่หนึ่ง สาวใช้น้อยไม่กล้าให้นางตากลมนาน จึงปิดหน้าต่างลงด้วยความเสี่ยงที่จะถูกไล่ออกไป
‘แม่นางอวี้จิ่นบอกไว้ ว่าท่านจะตากลมหนาวไม่ได้นะเพคะ ห้ามเสวยของเย็นๆ ด้วย ห้าม…” สาวใช้น้อยก้มหน้าลง ไม่กล้าเอ่ยต่อ
“เอาละ ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะลงโทษเจ้า” องค์หญิงซิ่นหยางไม่คิดถือสาสาวใช้คนหนึ่ง แต่นั่งอยู่ในห้องมาหนึ่งชั่วยามแล้ว ชักจะนั่งไม่ไหวแล้วจริงๆ เช่นกัน
“เอาชุดคลุมมา ข้าจะออกไปเดินเล่น” นางตรัส
“อ๊ะ เพคะ” สาวใช้น้อยหยิบชุดคลุมมาด้วยความอกสั่นขวัญแขวน คลุมให้องค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางลุกขึ้น สาวเท้าบวมเป่งเดินออกจากห้องมายังระเบียงทางเดิน
หิมะภายในลานเรือนถูกกวาดจนสะอาดสะอ้าน พื้นก็ปูหญ้ารองป้องกันลื่นไว้
สาวใช้น้อยกางร่มให้นาง
“ไปดูที่ห้องบุปผาหน่อย” องค์หญิงซิ่นหยางตรัส
“เพคะ” สาวใช้น้อยขานรับ ประคองนางอย่างระมัดระวัง
นายบ่าวสองคนไปยังห้องบุปผา
เรือนหลังนี้เดิมทีก็กว้างใหญ่ องค์หญิงซิ่นหยางโปรดการปลูกดอกไม้ จึงใช้ครึ่งเรือนมาเป็นห้องบุปผา
ภายในห้องบุปผาเผาถ่านเอาไว้ ความอบอุ่นสูง
สาวใช้น้อยรู้ดีว่าองค์หญิงไม่ได้ไปเพื่อชมดอกไม้ นางอยากไปดูว่าอาภรณ์เก่าในอดีตเหล่านั้นอบจนแห้งหมดแล้วหรือยัง
ทั้งสองเพิ่งมาถึงหน้าประตูห้องบุปผา ก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบลอยมาจากด้านใน
“เจ้าว่าองค์หญิงทรงคิดอะไรอยู่ เหตุใดจึงรื้ออาภรณ์เขาเมื่อหลายปีก่อนออกมา ซ้ำยังให้พวกเราซักตากด้วย”
“เจ้าลดเสียงลงหน่อย เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินเข้า”
“ได้ยินก็ได้ยินสิ เจ้าคิดว่าข้าพูดเช่นนี้อยู่คนเดียวหรือ ทุกคนต่างแอบลือกันอย่างลับๆ ทั้งนั้น!”
“ลืออะไรหรือ”
“องค์หญิง…ความจริงแล้วมีโอรสสองคนน่ะสิ!”
“ว่าอย่างไรนะ”
“เสื้อผ้าเด็กเล็กพวกนี้ครึ่งหนึ่งเป็นของท่านโหวน้อย อีกครึ่งหนึ่งเป็นของท่านชายน้อย น่าเสียดายที่เด็กคนนั้นโชคร้าย เกิดมาไม่ถึงเดือนก็สิ้นใจแล้ว! เจ้าคิดดู พวกเราซักตากเสื้อผ้าของท่านโหวน้อยก็แล้วไปเถิด จะซักของเด็กคนนั้นไปเพื่อการใด ปีใหม่มาซักเสื้อผ้าคนตาย อัปมงคลนัก!”
เรื่องที่ท่านโหวน้อยเจาตูรอดกลับมาได้ เมืองหลวงลือกันให้ทั่วแล้ว
และข่าวเกี่ยวกับตัวตนของเซียวชิ่ง แม้จะยังไม่ลือไปด้านนอก แต่คนรับใช้ในเรือนพวกนี้ ก็ได้ยินมาบ้างในตอนที่นางกับอวี้จิ่นจัดการเสื้อผ้า
สาวใช้น้อยไม่กล้าหายใจแรง นางหันไปมององค์หญิงซิ่นหยาง เป็นดังที่คาดไว้ สีพระพักตร์องค์หญิงซิ่นหยางเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
สาวใช้สองคนนั้นคงสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นเยียบด้านหลัง พากันหันกลับมาช้าๆ เห็นองค์หญิงซิ่นหยางเข้า ทั้งสองก็ตกใจจนโผลงคุกเข่ากับพื้น!
องค์หญิงซิ่นหยางเร่งฝีเท้าเดินไปหา
สาวใช้น้อยตกใจยกใหญ่ “องค์หญิง! ท่านช้าหน่อยเพคะ!”
องค์หญิงซิ่นหยางมาหยุดตรงหน้าทั้งสอง ตวาดกร้าว “ลุกขึ้น! เจ้าทำเสื้อผ้าของลูกชายข้าสกปรกหมดแล้ว!”
สาวใช้ที่พูดจาไม่ดีเมื่อครู่ในมือกำลังถือเสื้อตัวน้อยที่ตอนเซียวชิ่งเด็กๆ เคยใส่อยู่พอดี
สาวใช้ยื่นเสื้อผ้าที่ร่วงเปื้อนให้องค์หญิงซิ่นหยางด้วยอาการตัวสั่นงันงก
องค์หญิงซิ่นหยางมองเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนของบุตรชาย ไม่รู้อย่างไร พลันเสียพระทัยขึ้นมา
“องค์หญิง!”
อวี้จิ่นกลับมาจากจับจ่ายซื้อของ นางได้ยินว่าองค์หญิงซิ่นหยางไปห้องบุปผา ก็รีบไปดู
ไหนเลยจะรู้ว่าจะมาเห็นภาพตรงหน้า
นางไม่ได้รีบถามสาวใช้สองคนที่คุกเข่ากับพื้นว่าทำอะไรผิด แต่สั่งการสาวใช้น้อยโดยตรง “พาพวกนางสองคนออกไปก่อน เดี๋ยวข้าจะมาจัดการ!”
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้น้อยหุบร่มในมือยื่นให้อวี้จิ่น
อวี้จิ่นรับร่มมา แล้วเอ่ยกับองค์หญิงซิ่นหยางที่ใจสลายเสียงเบา “องค์หญิง จิ้งคงมาหาท่านเพคะ”
หลังจากที่เสี่ยวจิ้งคงกลับมาเมืองหลวงก็มักจะมาเยี่ยมองค์หญิงซิ่นหยางบ่อยๆ เมื่อครู่นี้อวี้จิ่นเจอเขาออยู่หน้าประตู
องค์หญิงซิ่นหยางโปรดปรานจิ้งคงมาก ได้ยินว่าเขามาหา นางก็ดึงตัวเองออกจากอารมณ์จมดิ่ง ถือเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนกลับห้องด้วยตัวเอง
เสี่ยวจิ้งคงเรียนอยู่ที่กั๋วจื่อเจียนมาหนึ่งเดือนแล้ว กลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครา พอผ่านปีใหม่นี้ไป เขาก็จะเต็มหกขวบแล้ว
แต่ดูๆ ไปแล้วก็ยังท่าทางเหมือนห้าขวบอยู่ดี ทำเขากลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว
องค์หญิงซิ่นหยางให้คนต้มนมแพะมาให้เขาชามหนึ่ง ใส่น้ำผึ้งกับถั่วแดงด้วย อร่อยยิ่งนัก
เสี่ยวจิ้งคงดื่มอึกๆ จนหมด นั่งอยู่บนม้านั่งพูดคุยเป็นเพื่อนองค์หญิงซิ่นหยาง
“องค์หญิง วันนี้สีพระพักตร์ท่านไม่เลว สวยวันสวยคืนจริงๆ !”
องค์หญิงซิ่นหยางถูกเขาหยอกจนขบขัน “อย่างนั้นหรือ”
“แน่นอน แล้วก็” เสี่ยวจิ้งคงพินิจมององค์หญิงซิ่นหยางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่ง อ้าปากเอ่ย “น่ารักขึ้นด้วยล่ะ”
องค์หญิงซิ่นหยางเปิดโปงเขา “เจ้าไม่ได้คิดจะพูดเช่นนี้แท้ๆ ”
“อ่า” เสี่ยวจิ้งคงยกสองมือน้อยๆ เกาหัวตัวเองแกรกๆ “ท่านมองออกด้วยหรือ…ก็ได้ เจียวเจียวเป็นคนให้ข้าพูดเช่นนี้!”
“เจียวเจียวกลับมาแล้วหรือ” องค์หญิงซิ่นหยางถาม
เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้า เอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่พ่ะย่ะค่ะ เจียวเจียวเคยบอกไว้! เจียวเจียวบอกว่า ห้ามบอกว่าเด็กผู้หญิงอ้วน เด็กผู้หญิงอ้วน ล้วนเป็นเพราะน่ารักจนตัวบวมต่างหาก!”
“อุ๊บ” อวี้จิ่นที่อยู่ข้างๆ ทนไม่ไหว หัวเราะออกมา
อยากบอกว่าองค์หญิงอ้วนก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า
แต่ว่า องค์หญิงไม่ได้อ้วนนี่นา
“วันนี้เจ้าเรียนอะไรมาที่กั๋วจื่อเจียน” องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้สนทนาในหัวข้อนั้นต่อ เปลี่ยนไปถามการเรียนของเขาแทน
“วันนี้เรียน ‘คัมภีร์ศึกษา’ พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวจิ้งคงท่องเนื้อหาที่เรียนในห้องอย่างไม่ตกหล่นรอบหนึ่ง แล้วใช้ภาษาตัวเองอธิบายอีกรอบ
องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้า ถูกต้องทั้งหมด
นางลูบหัวน้อยๆ ของเขา “ช่างเป็นเด็กฉลาดจริงๆ ”
เสี่ยวจิ้งคงดวงตาขยับไหว “นั่นเพราะข้าฉลาดหรือว่าพี่เขยฉลาด”
องค์หญิงซิ่นหยางถูกเขาหยอกให้ขัน “ฉลาดทั้งคู่”
เสี่ยวจิ้งคงขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคืองเหลือแสน
เหตุใดพี่เขยนิสัยไม่ดีกับเขาจึงฉลาดทั้งคู่
พี่เขยนิสัยไม่ดีมักจะสอบได้ที่โหล่ตลอดแท้ๆ
อันที่จริงเขาตอบคำถามนี้ได้ จิตใต้สำนึกได้ยอมรับแล้วว่าพี่เขยนิสัยไม่ดีฉลาด เพียงแต่ตัวเขาเองไม่รู้ตัวก็เท่านั้น
เขายืดตัวน้อยๆ ขึ้นพลางเอ่ย “ข้าจะสอบจอหงวนให้เก่งกว่าพี่เขยให้ได้เลย!”
สิ่งที่เสี่ยวจิ้งคงในยามนี้ไม่รู้ก็คือ เขาสอบได้จอหงวนไวกว่าพี่เขยนิสัยไม่ดีก็จริง แต่ไม่ใช่จอหงวนด้านอักษร
“จิ้งคง! ต้องไปยิงธนูแล้วนะ!”
เสียงสวี่โจวโจวลอยมาจากหน้าประตู
“ไอ้หยา! ลืมไปเลยว่านัดพวกเขาไว้ว่าจะไปยิงธนู!” เสี่ยวจิ้งคงกระโดดผลุงจากม้านั่ง ประสานมือคำนับให้องค์หญิงซิ่นหยางอย่างมีมารยาท “องค์หญิง ข้าขอตัวก่อน วันหลังจะมาหาใหม่”
“ได้” องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้าด้วยแววตาอบอุ่น ให้อวี้จิ่นส่งเสี่ยวจิ้งคงขึ้นรถม้า
เมื่ออวี้จิ่นกลับมา องค์หญิงซิ่นหยางก็กำลังจัดเสื้อผ้าตัวน้อยที่สาวใช้ทำเปื้อนตัวนั้น
“จิ้งคงเหมือนกับอาเหิงตอนเด็กๆ เลย” ดังนั้นพอเห็นจิ้งคง ก็เหมือนได้เห็นอาเหิงครึ่งชั่วยาม ทำให้องค์หญิงซิ่นหยางคะนึงหายิ่ง
อวี้จิ่นแย้มยิ้ม “นั่นสิเพคะ ฉลาดกันทั้งคู่ และชอบเป็นที่หนึ่งเหมือนกันด้วย ซ้ำยังซนทีเดียว”
เซียวเหิงตอนเด็กๆ ไม่ได้เชื่อฟังเหมือนที่เห็นภายนอก ไม่ให้เขาปีนต้นไม้ เขาก็แอบปืน ไม่ให้เขากินลูกอม เขาก็มุดเข้าห้องครัวกับหลงอี
บางคราองค์หญิงซิ่นหยางก็โมโหจนจะตีเขา เขายังรู้จักเรียกหลงอีให้พาเขาหนี รอนางหายโมโหแล้วค่อยกลับมา
นึกถึงเรื่องราวยามเซียวเหิงยังเด็กขึ้นมา องค์หญิงซิ่นหยางก็รู้สึกขบขัน หัวเราะอยู่พักหนึ่ง สีพระพักตร์ก็อาบย้อมไปด้วยความโศกเศร้า
นางก้มหน้าลง ลูบเสื้อผ้าตัวน้อยในมือ ตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าว่า หากชิ่งเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ จะเป็นอย่างไรนะ”
ซนเหมือนอาเหิงหรือไม่
ฉลาดเหมือนอาเหิงหรือไม่
จะมีความคิดพิเรนทร์มากมายอย่างอาเหิงจนปกปิดเอาไว้ไม่อยู่หรือไม่
เขาจะถนัดด้านอักษร หรือว่าด้านการต่อสู้
เขาจะชอบท่องเที่ยวไปทั่ว หรือชอบอยู่ข้างกายนางกันนะ
อวี้จิ่นมองนางด้วยความเป็นห่วง “องค์หญิง…”
องค์หญิงซิ่นหยางส่ายหน้า ข่มความเศร้าโศกเอาไว้ “ข้าไม่เป็นไร แค่หมู่นี้ชอบนึกถึงเด็กคนนั้นบ่อยๆ ”
อวี้จิ่นมองเสื้อผ้าตัวน้อยในมือนาง “เห็นของคะนึงถึงคน องค์หญิง ข้าเอาเสื้อของคุณชายน้อยไปเก็บดีกว่าเพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้ตรัสอะไร สายตานางกวาดมองบนโต๊ะก่อนจะตรัส “เสี่ยวจิ้งคงลืมหนังสือไว้ที่นี่เสียแล้ว เดี๋ยวเจ้าหาคนเอาไปส่งที่ตรอกปี้สุ่ยด้วยนะ”
“เพคะ” อวี้จิ่นเพิ่งขานรับ
เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้นจากด้านนอก
“ข้าไปเปิดประตูให้” อวี้จิ่นเอ่ย
นางมาหยุดหน้าประตู ออกแรงดึงประตูเรือนเปิด
อวี้จิ่นเห็นเงาร่างคุ้นตา ดวงหน้าประณีต รูปงามดุจหยก ความไม่ประสีประสาแบบเด็กหนุ่มหายไป หว่างคิ้วมีความเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังจะถึงวัยสวมกวานเพิ่มขึ้นมา ทั้งสุขุมและหยิ่งทระนงสูงชาติ
อวี้จิ่นตกใจยกใหญ่ “ท่านโหวน้อย! องค์หญิง! ท่านโหวน้อยกลับมาแล้วเพคะ!”
“อาเหิง” องค์หญิงซิ่นหยางพลันปรีดา ไม่สนใจจะสวมชุดคลุม รีบเดินออกมาจากห้องทันที
ท่ามกลางลมหนาวเจือหิมะลอยอวล นางเห็นบุตรชายที่คะนึงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
บนตัวเซียวเหิงมีหิมะเกาะพราว เห็นได้ชัดว่ายืนอยู่หน้าประตูพักใหญ่แล้ว
เขาก้าวข้ามธรณีประตูมา ไม่ได้รีบร้อนไปหาองค์หญิงซิ่นหยาง แต่หันกลับไปมองด้านหลัง
“เข้ามาสิ”
“พี่ชาย”