สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 885 พี่น้องพบหน้า
บทที่ 885 พี่น้องพบหน้า
……….
ใบหูของกู้เจียวพลันชาวาบ หัวใจดวงน้อยเต้นถี่รัว
เซียวเหิงสวมชุดเสื้อคลุมจิ้งจอกเงิน ขนจิ้งจอกอ่อนนุ่มพลิ้วไหวไปตามแรงลม ไล้ไปตามใบหน้าหล่อเหลาของเขา
สองเดือนที่ไม่ได้พบหน้า เขาเหมือนจะสูงขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าดูคมเข้มงดงามกว่าเดิม แววตามีมาดของราชนิกูลที่เพิ่งรับตำแหน่ง แต่กลับมิได้ดูเย่อหยิ่งจองหองเลยแม้แต่นิด
หิมะขาวโปรยปรายอยู่ด้านหลังของเขา สะท้อนให้ชุดสีเงินนั้นขาวโพลน วิวทิวทัศน์ดุจดั่งภาพวาด ทว่าไม่อาจเทียบเทียมความงดงามของเขาได้เลย
กู้เจียวมองเขาอย่างตกตะลึง “เจ้ามาได้อย่างไร ไม่ได้กลับเซิ่งตูไปแล้วหรอกหรือ”
ข่าวที่นางได้รับบอกว่าพระนัดดาเจรจาเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกลับเมืองหลวงในทันใด
เซียวเหิงหย่อนถังไม้ลงในบ่อ มือข้างหนึ่งจับหูหิ้วของถังไม้ มืออีกข้างหนึ่งลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน “หากไม่บอกเช่นนั้น เจ้าจะประหลาดใจหรือ”
เอาสิ
เดี๋ยวนี้จีบสาวโดยไม่ต้องสงวนท่าทีแล้วหรือ
นับวันยิ่งใจกล้าเสียจริง
สายตาของกู้เจียวหยุดอยู่บนฝ่ามือที่กำหูหิ้วไม้ เมื่อครูนางเห็นอย่างชัดเจน ถังไม้ถังใหญ่เสียขนาดนั้น แต่เขากลับหิ้วขึ้นมาอย่างง่ายดาย
“โอ้ แรงเยอะขึ้นด้วยหรือนี่…”
กู้เจียวพึมพำ
กำลังแขนของเขาเทียบเท่ากับชายหนุ่มโตเต็มวัยแล้ว แม้แต่ลมหายใจและเนื้อเสียงต่างก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นหนักแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เซียวเหิงเชยคางเย็นเฉียบของนางขึ้นเบาๆ “ผอมลงอีกแล้ว ไม่ยอมกินข้าวอีกแล้วใช่หรือไม่”
กู้เจียวเอ่ยเสียงจริงจัง “กินข้าวแล้ว กินเยอะทุกวันด้วย”
นั่นเป็นความจริง เพื่อเติมพลังกาย เธอไม่ทรมานตัวเองด้วยการอดแน่นอน เพียงแต่ว่าออกรบนั้นใช้แรงมากเหลือเกิน จึงผอมลงยิ่งกว่าตอนที่อยู่เซิ่งตู
มุมปากของเซียวเหิงยกขึ้น ปลายนิ้วไล้เกลี่ยไปตามริมฝีปากล่างของเธออย่างแผ่วเบา “คิดถึงคนรักจนตรอมใจหรือ กู้เจียวเจียว”
กู้เจียว “…!!”
เจ้าหมอนี่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนเป็นคนช่างเกี้ยวเช่นนี้
กู้เจียวเม้มปากพลางเลิกคิ้ว “เจ้าเองก็ผอมลงเหมือนกันมิใช่รึ เช่นนั้นก็คงคิดถึงข้าจนตรอมใจเช่นกัน”
เขินสิ เจ้าหนุ่มน้อย!
ใครจะรู้ว่าเซียวเหิงเพียงแค่เผยยิ้มบาง ดวงตาจ้องลึกไปที่นาง “หญิงงามผู้หนึ่ง มิอาจลืมเลือนเมื่อได้พบนาง เพียงวันหนึ่งไม่ได้พบหน้า ดุจดั่งจะขาดใจ”
กู้เจียวเจียวโดนเข้าได้แล้ว
ไอ้หยา!
ฝึกวิชาล้ำลึกไม่เบา
เซียวเหิงเห็นท่าทางตกตะลึงของนาง ในใจก็แอบยิ้มไม่หุบ
อย่างไรเสียก็ต้องเป็นคนที่ต้องตบแต่งกันแล้ว จะยอมถูกนางเกี้ยวจนหน้าแดงหูแดงเหมือนแต่ก่อนได้อย่างไร
เขาโตแล้ว
ต้องเป็นผู้ชายของนางให้ได้
…เขาน่ะฝึกฝนมาอย่างดี
ลมวสันต์หนาวเหน็บดั่งคมมีด ปลายนิ้วของกู้เจียวเย็นเฉียบ
เซียวเหิงปลดเสื้อคลุมจิ้งจอกเงินของตัวเองออก ก่อนจะคลุมร่างแข็งทื่อของกู้เจียว ไออุ่นจากร่างกายที่หลงเหลืออยู่และลมหายใจของเขาช่างอบอุ่นและหอมหวนเหลือเกิน
กู้เจียวสูดหายใจลึก ร่างทั้งร่างเริ่มอุ่นซ่านขึ้นมา
เซียวเหิงยกปลายนิ้วเรียวยาวขึ้น ผูกเชือกไหมของผ้าคลุมให้นางอย่างละเมียดละไม ดึงหมวกของเสื้อคลุมขึ้น ปกคลุมเส้นผมอันเย็นเฉียบบนศีรษะของนางไว้
กู้เจียวมองไปข้างหลังของนาง ก่อนจะถามอย่างสงสัย “เอ๊ะ หลงอีเล่า”
“เขาไปแล้ว” เซียวเหิงเอ่ย
เช้าวันหนึ่งที่หิมะโปรยปราย เขาลืมตาขึ้น หลงอีก็ไม่อยู่ข้างกายเขาอีกต่อไป
หลงอีพาเขามาส่งถึงที่ปลอดภัยแล้วจึงจากไป
หลงอีในยามนี้ คงกำลังตามหาความทรงจำและคำตอบของตัวเอง
“อ้อ” กู้เจียวหลบตาลง เศร้าซึมเล็กน้อย
ในตอนนี้กู้เจียวเริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกมากมาย หนึ่งในอารมณ์เหล่านั้นทำให้เธอเจ็บปวด
ฟุบ
หน้าผากของเธอก้มลงซบแผงอกแกร่งของเขา
เซียวเหิงยกแขนแกร่งขึ้น โอบกอดเธอไว้ท่ามกลางลมหนาว “ไม่เป็นไร ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่ง จะได้เจอหลงอีแน่นอน”
กู้เจียว “อืม”
…
ทว่าเหวินเหรินชง หลี่เซินและจ้างเติ้งเฟิง ทั้งสามคนกำลังมาตักน้ำที่บ่อ ก็เห็นเงาร่างสองคนกอดกันกลมอยู่ไกลๆ คนหนึ่งเป็นชายอย่างแน่นอน อีกคนหนึ่งถูกห่อด้วยผ้าคลุม ทว่าจากดูจากรองเท้าทหารนั้นดูเหมือนจะเป็นทหารภายในค่าย
ท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่อง ชายหนุ่มสองคนคลอเคลียกันในที่แบบนี้มันเหมาะสมแล้วหรือ!
ช่าง…
ทั้งสามถลกแขนเสื้อของตัวเองขึ้น ต้องลากคอเจ้าสองคนนั้นไปลงโทษตามกฎทหารได้ ฝีเท้าของหลี่เซินชะงักไป “ผู้บัญชาการน้อยรึ”
จ้าวเติ้งเฟิงกับเหวินเหรินชงหรี่ตาจ้องมอง
ไอ้หยา จังหวะที่ผ้าคลุมปลิวไสวเผยให้เห็นด้านข้างของดวงหน้าน้อยนั้น… นั่นมันไม่ใช่ท่านผู้บัญชาการน้อยหรอกหรือ!
เขา… เขา… เขา…
เหวินเหรินชงยืนอยู่ระหว่างทั้งสอง เขายกมือขึ้นคนแรก ก่อนจะปิดตาของทั้งสองคนนั้น
ทว่าแทบจะในวินาทีเดียวกัน หลี่เซินและจ้าวเติ้งเฟิงก็ยกมือของตัวเองขึ้นมาปิดตาพร้อมกัน ทั้งยังยื่นไปปิดตาของเหวินเหรินชงด้วย
กู้เจียวรู้สึกอบอุ่นเหลือเกินในอ้อมกอดของเขา
เซียวเหิงก้มหน้าลงเล็กน้อย กระซิบเตือนแกมหยอกเอินข้างใบหูของนาง “ลูกน้องเจ้าเห็นเข้าแล้ว”
ในที่ที่นางไม่เห็น ใบหูของเขาขึ้นสีระเรื่อ
แล้วในขณะเดียวกัน ลมหนาวก็พัดผ่านอีกครั้ง
กู้เจียวในอ้อมกอดของเขาเงยหน้าขึ้น มองซ้ายมองขวา บนที่โล่งฝั่งขวามือ เธอเห็นแม่ทัพทั้งสามปิดตากันและกันด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
“อ๋อ” กู้เจียวยืดตัวขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย หันไปทางทั้งสามคนก่อนจะเอ่ย “หลี่เซิน เหวินเหรินชง จ้าวเติ้งเฟิง มาเข้าเฝ้าพระนัดดาสิ”
ทั้งสามยืนโงนเงน ก่อนจะทรุดเข่าลงในทันที!
ว่าอย่างไรนะ
ชายคู่รักของท่านผู้บัญชาการน้อยคือพระนัดดาอย่างนั้นหรือ!
ทั้งสามตะเกียกตะกายกว่าจะลุกขึ้นยืนบนหิมะได้ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียวและเซียวเหิงอย่างกระอักกระอ่วน
เมื่อครู่ยังบอกว่าจะจับทหารสองคนนั้นมาลงโทษด้วยกฎทหารอยู่เลย กลับกลายเป็นว่าคนหนึ่งคือผู้บัญชาการน้อย อีกคนหนึ่งคือพระนัดดา
ทั้งสามคนตามองตรงยกมือขึ้นคำนับ
“หลี่เซินถวายบังคมพระนัดดา”
“เหวินเหรินชงถวายบังคมพระนัดดา”
“จ้าวเติ้งเฟิงถวายบังคมพระนัดดา”
แววตาของเซียวเหิงมองเขาอย่างสงบนิ่ง เอ่ยเสียงไม่ช้าไม่เร็ว “อดีตทัพเซวียนหยวน ข้าเคยเห็นชื่อของพวกเจ้าในหอตำรา”
ทั้งสามพลันตื้นตันใจด้วยความเมตตากรุณา
เซียวเหิงและกู้เจียวสงบนิ่งเหลือเกิน ไม่ตกใจเลยสักนิดที่โดนจับได้ แถมยังปล่อยให้ทั้งสามสงสัยว่าพวกเขานั้นไม่บริสุทธิ์ใจต่อกัน คิดไปไกล
พระนัดดากับท่านผู้บัญชาการน้องเป็นแค่สหายกันเท่านั้น…
วินาทีต่อมา พระนัดดาที่เป็นแค่สหายนั้นกลับจูงมือผู้บัญชาการน้อยแล้วเดินผ่านหน้าพวกเขาไป
ทั้งสามแข็งทื่อเป็นหินอยู่กับที่
“หิ้วถังน้ำไปให้ที”
เซียวเหิงเอ่ย
“เอ่อ… เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ!” จ้าวเติ้งเฟิงขานตอบเป็นคนแรก ตอบโต้ในทันใด กัดฟันเดินเข้าไปหิ้วถังน้ำ
เขาคว้าถังน้ำได้ก็วิ่งหนีไปทันที ไม่กล้าแม้จะอยู่นานไปมากกว่านี้
จ้าวเติ้งเจิ้งกลับไปยังริมบ่อน้ำ กุมหน้าอกที่หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง กำมือชูขึ้นพลางทอดถอนใจ “ผู้บัญชาการน่าสงสารนัก ชอบบุรุษจริงหรือนี่”
น้อยครั้งนักหลี่เซินจะเห็นด้วยกับเขา “แถมยังเป็นบุรุษสูงส่งเกินเอื้อมถึงด้วย”
จ้าวเติ้งเฟิงส่ายหน้า “บุรุษที่สูงส่งเกินเอื้อมทั้งยังอายุสั้นด้วย”
“ฮัดชิ่ว”
ในจวนเจ้าเมือง ซ่างกวานชิ่งจามอย่างรุนแรง
…
เซียวเหิงใช้ตัวตนของซ่านกวานชิ่งเพื่อไปเจรจายังแคว้นจ้าว ซ่างกวานชิ่งจึงไม่สามารถใช้ตัวตนนี้ได้อีก คราวก่อนที่เขาแต่งตัวเป็นพระนัดดาปรากฏตัวกลางถนนนั้นก็เพื่อหลอกให้กงซุ่นอวี่สับสน
ยามนี้ไม่มีภัยคุมคามแล้ว ซ่านกวานชิ่งควรกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง เข้าไปยังจวนเจ้าเมืองในฐานะราชาผีน้อย
ทุกวันกู้เจียวจะไปเยี่ยมเขา แต่วันนี้ยังไม่ได้ไป
ภายในกระโจมหนาวเหน็บ กู้เจียวต้องการประหยัดถ่านฟืน ยามอยู่ในกระโจมคนเดียวจึงแทบไม่ตั้งเตาถ่าน
เพราะเซียวเหิงมาเยือน นางถึงได้จุดเตาถ่าน
เซียวเหิงมองเปลวไฟที่ค่อยๆ ลุกโชน อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงคืนวันในชนบท
ตอนนั้นครอบครัวข้นแค้น มีเพียงเตาถ่านเพียงหนึ่งเตา นางยังไม่ยอมใช้แถมยังยกเข้ามาในห้องเขาอีก
ทว่านางจะเข้ามานั่งในห้องเขาเป็นครั้งคราว เขาหมกหมุ่นอยู่กับการคัดหนังสือ นางผึ่งเสื้อผ้าให้แห้งริมกองไฟท่ามกลางลมหนาวอย่างเงียบๆ
เซียวเหิงมองเอวบางของนาง จิตใจว้าวุ่นอย่างอดไม่ได้ เขาในตอนนั้นคัดหนังสืออย่างสงบนิ่งต่อไปได้อย่างไร
กู้เจียวเหลียวกลับมาก็เห็นเซียวเหิงกำลังจ้องมองตนเองอย่างลึกซึ้ง นางเอ่ย “ใกล้เสร็จแล้ว”
เซียวเหลิงประคองตัวนางขึ้นให้นั่งบนเก้าอี้ “เจ้านั่งเถิด ข้าจะก่อไฟเอง”
กู้เจียว “อืม”
หากคนมาเห็นพระนัดดานั่งย่อต่อก่อไฟให้นาง คงตกใจจนอ้าปากค้าง
กู้เจียวมองเขาอย่างนึกสนุก
หน้าตาหล่อเหลาปานนี้ งานหยาบอย่างก่อไฟแต่เขากลับทำให้มันมองเพลินเสียหรือเกิน
เพราะเคยลำบากยามอยู่ชนบท แต่ท่วงท่าของเขาไม่ได้ดูเงอะงะแต่อย่างไร เพียงไม่นานไฟก็ติด
เขาเดินมานั่งข้างกู้เจียว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเตาไฟ หรือเป็นเพราะเขาอยู่ข้างกายนาง
กู้เจียวรู้สึกว่าฤดูหนาวของตะวันตกเฉียงเหนือนั้นกลับไม่หนาวขนาดนั้น
ทั้งสองห่างไกลกัน ข่าวคราวที่รับมีเพียงเรื่องส่วนตัวของกันและกันที่เอ่ยถึงในศาลาพักม้า
อย่างเช่นข่าวของเซวียนหยวนฉีและลูกชายคนที่เจ็ดของเซวียนหยวน ระหว่างทางเซียวเหิงรู้ข่าวก่อนแล้ว แต่พอได้ฟังกู้เจียวเล่าให้ฟังอีกครั้งก็ยังคงตกตะลึง
“ว่าแต่ ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน” เขาถาม
กู้เจียวเอ่ย “แม่ทัพใหญ่เซวียนหยวนพักฟื้นตัวอยู่ที่จวนเจ้าเมือง เหลี่ยวเฉินไปยังแนวรบศัตรูพี่บุกแคว้นจิ้น องค์หญิงอยู่ที่เมืองผู่ คืนนี้…หรืออย่างช้าที่สุดคงคืนพรุ่งนี้ นางคงมาถึง”
เซียวเหิงพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะรอนางอยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวข้าจะไปจวนเจ้าเมืองเพื่อเคารพท่านแม่ทัพใหญ่”
กู้เจียวเอ่ย “ดี ข้าจะไปกับเจ้า ถือโอกาสไปเยี่ยมซ่างกวานชิ่งด้วย”
เซียวเหิงตกใจ “ซ่างกวานชิ่งก็อยู่ที่นั่นรึ”
เขาคือพี่ชายของเขา
ว่าไม่ทันขาดคำก็มา
นอกประตู ทหารผีตะเบ็งเสียงคำราม “ราชาผีเสด็จ…”
เซียวเหิงมึนงงไปหมด “ราชาผีหรือ”
กู้เจียวอธิบาย “พี่ชายเจ้าน่ะ”
เพิ่งจะสิ้นเสียง ม่านของกระโจมก็เลิกเปิดออก
วินานที ภาพของพี่ชายที่เคยแวบผ่านเข้ามาใหหัวเขานับไม่ถ้วน แท้จริงแล้วคือลูกที่แท้จริงของมารดาของเขา คงหน้าตาเหมือนองค์หญิงซิ่นหยางกระมัง
เพียบพร้อม สูงส่ง สง่างาม คงแก่เรียน
กลับกลายเป็นคนที่เขาเห็นคนชายคนหนึ่งที่แบกปืนไฟและขวานด้ามยักษ์ เดินกร่างเข้ามาราวกับโจรป่า
เซียวเหิง “…”
……….