สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 882 ครอบครัวพร้อมหน้า
บทที่ 882 ครอบครัวพร้อมหน้า
……….
ซ่างกวานชิ่งตั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วน้องชายของเขาร้ายกาจแค่ไหน
แค่เขาจินตนาการถึงภาพว่าจะรังแกน้องชายจอหงวนจนร้องไห้ ซ่างกวานชิ่งรู้สึกน่าสนุกมาก
เขาเริ่มรอคอยวันที่นั้นอย่างใจจดใจจ่อ
เซวียนผิงโหวอยู่ในห้องมาประมาณครึ่งชั่วยามแล้ว ว่ากันตามตรงหากจะให้เขาสนิทสนมกับลูกชายอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมานานสองสิบปีนั้นคงเป็นไปไม่ได้
แต่ลูกชายไม่ได้รังเกียจเขา นั่นทำให้เซวียนผิงโหวโล่งใจ
เขามั่นใจในการรบ แต่เขากลับขาดความมั่นใจในวิธีการเป็นพ่อที่ดี
เขานั้นเป็นบุรุษแข็งกระด้าง แต่อาเหิงฉลาดปราดเปรื่องเสียขนาดนั้น ขยันขันแข็งเสียขนาดนั้น อีกฝ่ายท่องกลอนอะไรเขาฟังไม่ออกแม้สักคำ แถมยังมองเขาด้วยสายตาคาดหวัง รอคอยให้เขาต่อบทกลอน
เขาต่อได้เสียที่ไหน
แต่เขาไม่อาจเสียหน้า จึงต้องใช้วิธีโอ้อวดเพื่อปกปิดความขลาดอายในใจ
“โตป่านนี้แล้ว ยังขี่ม้าไม่เป็น”
“แม้แต่กระบี่ยังยกไม่ไหว”
“ท่องจำพวกนี้ไปเพื่อเหตุใดกัน”
ในที่สุด เขาก็ได้เห็นแววตาที่เจ็บปวดและน้อยใจในดวงตาของลูกชาย
ทั้งที่เป็นคนไร้ยางอาย แต่กลับไม่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีต่อหน้าลูกชาย
เขาใช้เวลาสิบเก้าปีกว่าจะสามารถเอ่ยกับเซียวเหิงได้ “สิ่งที่ข้าภูมิใจที่สุดในชีวิตนี้ ไม่ใช่เกียรติยศ ไม่ใช่ตำแหน่ง แต่คือเจ้า”
กับเซียวชิ่ง เขาจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำสองอีกต่อไป
เขาหวังเพียงว่ายังไม่สายเกินไป ความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเขาจะไม่สั้นเกินไป เขายังอยากพยายามชดเชยความบกพร่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แม้ภายนอกจะเย็นชา แต่จิตใจนั้นอ่อนโยน เหมือนกับอาเหิงในตอนให้หลังไม่มีผิด
เซวียนผิงโหวสาบานว่าจะเป็นพ่อที่ใจดี แต่ทว่าจริงจังได้ไม่ถึงสามวินาที
เมื่อได้ยินลูกชายถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง หัวไหล่ก็พลันกระตุก สูดปากซี้ด กุมบาดแผลไว้ก่อนจะเอนตัวนอนลง
แม้ซ่างกวานชิ่งจะเปิดเผยตัวตนอย่างไม่คิดปกปิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติกับพ่อแท้ๆ อย่างไร
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที “เอ๊ะๆ ๆ ท่านเป็นอะไรไป!”
เซวียนผิงโหวร้องด้วยความเจ็บปวด “เจ็บชะมัด… กระบี่นั้นมีพิษ… ข้า… คงจะ… ไม่รอดแล้ว… แต่ถ้าเจ้าเรียกข้าว่าพ่อ… ข้าอาจจะพอมีชีวิตรอดได้…”
ซ่างกวานชิ่งชักจะเหลืออด “…”
เมื่อใกล้ถึงทานอาหารเย็น เพื่อความสะดวกแก่การพักฟื้นของซ่างกวานชิ่ง อาหารเย็นจึงถูกจัดเตรียมไว้ในห้องของเขา
บนโต๊ะมีอาหารที่เขาชอบ แต่ไม่มีผักชี
เขาตักข้าวขึ้นมากินพลางมองดูพ่อแม่ที่นั่งอยู่สองข้าง
หลายปีมานี้ บนโต๊ะอาหารมีเพียงเขาและท่านแม่เท่านั้น แต่ก่อนก็ไม่รู้สึกอะไร
แต่ตอนนี้ เมื่อนึกย้อนไปถึงสุสานกษัตริย์… ก็พลันรู้สึกว่าช่างเงียบเหงาเหลือเกิน
…
สถานการณ์ในเมืองผู่เริ่มคลี่คลาย ไม่จำเป็นต้องใช้กองกำลังทหารจำนวนมากประจำการ ซ่างกวานเยี่ยนจึงย้ายกองกำลังหลักไปยังชายแดนเพื่อโจมตีแคว้นจิ้น
เพียงสามวันแคว้นเยี่ยนที่ยิ่งใหญ่ก็ยึดเมืองชายแดนแห่งแรกของแคว้นจิ้นได้ กองทัพจิ้นจึงล่าถอยไปยังเมืองซี
ทัพหน้าที่บุกโจมตีเมืองซีนั้นประกอบไปด้วยหน่วยเงาทมิฬและทหารม้าเฮยเฟิง
เมื่อเวลาผ่านไป กู้เจียวก็สั่งให้เริ่มโจมตีเมืองซีเป็นครั้งแรก
ทหารของเขาพวกใช้รถศึกและบันไดพาดแบบเดียวกับของแคว้นเหลียง ทหารเหล่านี้ไม่คิดชีวิต พุ่งชนประตูเมืองและปีนขึ้นกำแพงเมือง ทหารคนหนึ่งล้มลง ทหารอีกคนก็รีบขึ้นไปแทน
“พวกหมาแคว้นจิ้น! มาตายใต้คมกระบี่ของข้าเถอะ!” ถังเย่ว์ซานตะโกนร้องด้วยความโกรธและพุ่งเข้าโจมตีที่กำแพงเมือง
ประตูเมืองถูกโจมตีจนแตกร้าว ทหารกล้าตายคนหนึ่งของแคว้นจิ้นก็รีบวิ่งออกมา
ทหารกล้าเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีและต่อกรยากกว่าทหารทั่วไป ทหารหลายคนของแคว้นเยี่ยนล้มตายลงด้วยคมกระบี่ของพวกเขาในไม่ช้า
กู้เจียวตัดสินใจละทิ้งแผนปีนบันไดฟ้า มุ่งหน้าต่อสู้กับเหล่าทหารกล้าตายที่บุกเข้ามา
“เก่งกว่าทหารกล้าตายจากแคว้นเหลียง สมแล้วที่เป็นราชสำนักที่เจี้ยนหลูหนุนหลังอยู่!”
กู้เจียวเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างเต็มที่
ทวนแดงประจำกายของนางยังคงตรึงกงซุนอวี่ไว้กับกำแพงเมือง ทวนเงินที่นางใช้นั้นมาจากภูเขาผีมีความทนทานสูง
แต่ศัตรูมีจำนวนมากเกินไป ทั้งยังพยายามล้อมนางไว้
นางแทงทหารกล้าตายที่อยู่ตรงหน้าด้วยทวน ทหารกล้าตายที่อยู่ด้านหลังยกกระบี่ฟันขาของนาง!
บริเวณนั้นไม่มีเกราะป้องกัน!
ฉับ!
ลูกธนูพุ่งตรงเข้าที่อกของทหารกล้าตายคนนั้น เขาส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและล้มลงไปอย่างหมดแรง
กู้เจียวหันกลับมา
ถังเย่ว์ซานดึงสายธนูอีกครั้ง เขายืนบนรถศึกสูง มองลงมายังสนามรบเบื้องล่าง
ขุนพลใหญ่แห่งแคว้นเจาแผ่พลังอำนาจออกไปทั่ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องห่วงข้า!”
กู้เจียวพยักหน้า หันหลังให้ถังเย่ว์ซานด้วยความไว้วางใจ
ถังเย่ว์ซานยิงธนูไม่พลาดเป้า!
ภายใต้การปกป้องของถังเย่ว์ซาน กู้เจียวจัดการกับทหารกล้าตายทั้งหมดได้อย่างราบรื่น
ในเวลานี้ ท่านเหล่าโหวก็บุกเข้ามาจากทางด้านหลัง
ถังเย่ว์ซานยักคิ้วให้เขาอย่างเย่อหยิ่ง “เหล่ากู้ มาช้าไปแล้ว พวกข้ามันจัดการเสร็จสิ้นไปแล้ว!”
พวกข้า
นี่คือการโอ้อวดอย่างอวดดี
ดูหลานสาวของเจ้าสิ ช่างไม่มีความสนิทสนมกับเจ้าเลย ต่างกับข้าที่เหมือนพ่อลูกทหารร่วมรบกันมากกว่า!
รู้ใจกันขนาดไหน!
ท่านเหล่าโหวสีหน้าที่ไม่สู้ดี
ทันในนั้นเอง ถังเย่ว์ซานผู้สังหารเหล่าทหารกล้าตายไปนับไม่ถ้วน ดึงดูดความสนใจของทหารจิ้นไปได้ เมื่อถังเย่ว์ซานกำลังปีนบันไดขึ้นกำแพงเมือง รถยิงหินของอีกฝ่ายก็โจมตีเขาอย่างรุนแรง!
บันไดถูกทุบทำลายในพริบตา!
ถังเย่ว์ซานตกลงมาจากที่สูง ธนูบนหลังของเขาก็หลุดลอยออกไปด้วย
แต่นั่นยังไม่จบ มือธนูแคว้นจิ้นก็เล็งธนูไปที่ถังเย่ว์ซาน
ท่านเหล่าโหวตัดสินใจใช้วิชาตัวเบาเพื่อช่วยเขา
ถังเย่ว์ซานร้องโฮ “คันธนูของข้า! คันธนูของข้า! ช่วยคันธนูของข้าด้วย!”
ท่านเหล่าโหวสะดุดล้ม เขาแทบจะสำลักขาดใจตาย!
เจ้าอ้วนถัง! คันธนูสำคัญกว่าคนหรืออย่างไร!
แต่จริงๆ แล้ว ถึงแม้จะจับถังเย่ว์ซานไว้ก็ไม่มีประโยชน์ การโจมตีจากมือธนูคนนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ทันใดนั้น กู้เจียวก็คว้าลูกศรที่ดึงออกมาจากศพทหารกล้า เหยียบรถศึกและกระโดดขึ้นไป
ท่านเหล่าโหวมองดูนาง ก่อนจะกระโจนขึ้นไป ยืนอยู่ใต้เท้าของนาง
กู้เจียวเหยียบไหล่ท่านเหล่าโหวเพื่อใช้แรงผลักดันตัวเองขึ้นไป
นางคว้าคันธนูตระกูลถังที่ร่วงหล่นลงมาด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือก็หยิบลูกศรขึ้นคันธนู ดึงสายธนูจนเต็มแรง และยิงธนูทะลุอกของมือยิงหน้าไม้จากแคว้นจิ้น!
นางไม่มีวิชาเบา แต่นางก็ไม่ตื่นกลัวเมื่อร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว
ท่านเหล่าโหวรับถังเย่ว์ซานไว้และใช้แส้ฟาดออกไป ม้วนตัวกู้เจียวที่ร่วงลงมาไว้
ทั้งสามคนลงจากรถศึกอย่างปลอดภัย
ถังเย่ว์ซานถอนหายใจยาว
พลาดท่าเสียแล้ว เกือบตกลงมาตายแล้วไหมเล่า
ท่านเหล่าโหวมองถังเย่ว์ซานด้วยสายตาดูถูก
ถังเย่ว์ซานถาม “เหล่ากู้ เหตุใดถึงทำสีหน้าเช่นนั้น”
ท่านเหล่าโหวหัวเราะเบาๆ “หึ”
ทั้งสามคนยังคงต่อสู้ต่อไป
ธนูของถังเย่ว์ซานนั้นไม่ได้เปรียบในการต่อสู้แบบประชิดตัว แต่แส้ของท่านเหล่าโหวกลับตรงกันข้าม เขาเต็มใจที่จะรับหน้าที่ปกป้องกู้เจียว คุ้มกันจุดอ่อนและจุดตายทั้งหมด แส้ของเขาฟาดฟันศัตรูทีละคน การประสานงานของพวกเขานั้นไร้ที่ติ
ถังเย่ว์ซานขมวดคิ้ว
…เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเหล่ากู้กำลังอวดฝีมืออยู่อย่างไรก็ไม่รู้…
ในบรรดาหลานชายมากมาย ท่านเหล่าโหวเคยพากู้ฉังชิงออกรบฆ่าศัตรูเพียงคนเดียว กู้ฉังชิงคือหลานชายสายตรงที่เก่งที่สุดของเขา และเป็นคนที่ทุกคนในกองทัพของตระกูลคาดหวังให้เป็นผู้นำคนต่อไป
กู้ฉังชิงรบได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกๆ การต่อสู้
ท่านเหล่าโหวมองดูเด็กสาวที่บุกตะลุยต่อสู้จนเปื้อนเลือด รู้สึกเหมือนถูกมนต์สะกดไปชั่วขณะ
รู้สึกเหมือนตัวเองย้อนกลับไปสู่สมรภูมิรบเคียงข้างกู้ฉังชิง รู้สึกเหมือนกำลังนำทัพลูกหลานที่เก่งกล้าที่สุดของตระกูลเข้าสู่การต่อสู้!
รู้สึกเหมือนมีคลื่นความร้อนพุ่งผ่านหน้าอก รู้สึกเหมือนเลือดทั้งตัวกำลังเดือดพล่านอย่างควบคุมไม่ได้!
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง
ร่างของเด็กสาว เปี่ยมไปด้วยพลังที่กระตุ้นให้หัวใจฮึกเหิม
แม้แต่ท่านเหล่าโหวผู้ผ่านสมรภูมิรบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ก็ต้องยอมรับว่านี่คือการต่อสู้ที่ดุเดือดและน่าจดจำ
น่าเสียดายที่ทั้งสองร่วมรบกันได้ไม่นาน สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
กู้เจียวเพิ่งกระโจนขึ้นบนรถม้าของกองทัพจิ้น ฟันทหารจิ้นคนหนึ่งจนเสียชีวิต แต่นางก็ลื่นและตกลงมา
ท่านเหล่าโหวฟาดแส้เพื่อพยายามดึงนางขึ้นมา
แต่แล้วเงาดำสูงใหญ่ก็พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง เร็วกว่าแส้ของท่านเหล่าโหวมาก เขารับกู้เจียวไว้ในอ้อมแขนอย่างมั่นคง และวางนางลงบนพื้นที่ว่างข้างๆ
ชายผู้นั้นถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่คุ้นเคย
กู้เจียวขยับตา “กู้ฉังชิง”
กู้ฉังชิงยิ้มเล็กน้อย โดยไม่หันมามอง เขาใช้มือข้างหนึ่งประคองนางไว้และฟาดกระบี่ย้อนหลังไปหนึ่งฟัน สังหารทหารจิ้นที่พยายามลอบสังหารเขา
“ใช่ ข้าเอง” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เขาดึงกระบี่ยาวออกจากฝักและใช้กระบวนท่าเบาเหินเหินบิน กู้เจียวกลับไปยังค่ายทหาร “เจ้ากลับไปก่อน ที่นี่ข้าจัดการเอง”
กู้เจียวลุกขึ้นยืนมองเขาด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่ได้ไปเมืองจ้าวกับท่านอาวุโสเมิ่งเหรอ”
กู้ฉังชิงตอบ “ไปมาแล้ว ภารกิจเจรจาสงบศึกสำเร็จแล้ว”
เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เมืองจ้าวอีกต่อไป จึงรีบเร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน มุ่งหน้าสู่ชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ใต้ดวงตาของเขามีรอยคล้ำสีดำ และมีเส้นเลือดแดงจากความอ่อนเพลียปรากฏชัด
เขาเอื้อมมือไปลูบหมวกทหารของกู้เจียว เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รอข้าอยู่ที่บ้านนะ”
กู้เจียว “อืม”
กู้ฉังชิงถือกระบี่กลับไปสู่สมรภูมิที่เต็มไปด้วยเสียงกระบี่ปะทะกันและเสียงม้าร้อง
เขาต่อสู้กับศัตรูไปด้วย รู้สึกตงิดๆ ว่าเงาร่างของแม่ทัพชราที่อยู่เคียงข้างดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ช่างมันเถอะ ไม่สนใจแล้ว รีบฆ่าศัตรูให้หมดแล้วไปหาน้องสาว
ท่านเหล่าโหวถูกเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง โกรธจนกัดฟันกรอด
ดีมาก! แม้แต่ท่านปู่ของเจ้าก็จำไม่ได้!
…
ขวัญกำลังใจของทหารแคว้นเยียนสูงมาก โอกาสชนะที่เมืองซีเฉิงอยู่ในกำมือแล้ว ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว
กู้เจียวคิดอยู่นาน ตัดสินใจเดินทางกลับเมืองฉวี่หยาง
ผ่านมาแล้วห้าวันเต็มๆ นับตั้งแต่เซวียนหยวนฉีกลืนยาพิษจื่อเฉ่า นางอยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
……….