สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 881 พ่อลูกพบพาน
บทที่ 881 พ่อลูกพบพาน
……….
เซวียนผิงโหวยกมือทาบอก ไยลูกชายของเขาถึงได้น่ารักปานนี้
เซียวเหิงตอนเด็กๆ ก็น่ารักเหมือนกัน แต่พอโตขึ้น ก็ยิ่งเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่เคยเห็นด้านน่ารักน่าชังแบบนี้อีกเลย
อีกทั้งตอนนี้เจ้าลูกชายตัวดีดันแต่งงานแล้ว จะหยอกเล่นนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือเอาเสียเลย
เซวียนผิงโหวเดินเข้าไปด้านในห้อง
ด้วยความที่มีวรยุทธ์ ฟังแค่ลมหายใจก็รู้แล้วว่าหลับหรือตื่น
อีกทั้งซ่างกวานชิ่งเคยแสดงละครให้เขาเห็นมาแล้วครั้งนึง
นั่นทำให้เขาเริ่มคลายกังวลไปได้มาก และสามารถเผชิญหน้ากับลูกชายได้โดยไม่ตื่นเต้นแล้ว
เขากระแอมหนึ่งที แล้วเรียกชื่อลูกชาย “ชิ่งเอ๋อร์”
ซ่างกวานชิ่งเริ่มการเล่นสงครามประสาท “เขาไม่อยู่ที่นี่!”
เซวียนผิงโหว “…”
ก่อนจะโพล่งหัวเราะอย่างอดไม่ได้
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มก่อน เซวียนผิงโหวจึงหยอกกลับ “อ้าว แล้วคนที่อยู่บนเตียงนี่ไม่ใช่อาชิ่งหรอกหรือ อาชิ่งที่บอกว่าจะพาข้าไปดื่มเหล้า เดินเล่นที่หอนางโลมไง เผลอแปปเดียว มาทำเป็นไม่รู้จักกันเสียอย่างนั้น”
อ๊ากกก!
อย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้จะได้ไหม
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกขายหน้าขนาดนี้มาก่อน!
เสียภาพลักษณ์หมด!
เซวียนผิงโหวขำจนหัวไหล่สั่น
ชายหนุ่มที่นอนร้อนอยู่ในผ้าห่มกัดฟันแน่นด้วยความโมโหหลังจากได้ยินเสียงแอบหัวเราะของอีกฝ่าย
ห้ามหัวเราะเด็ดขาด! ข้าเป็นคนหมัดหนักนะ!
หลังจากเซวียนผิงโหวหัวเราะจนพอใจ ก็กระแอมอีกครั้งแล้วเดินเข้ามาใกล้เตียงมากขึ้นและกะว่าจะนั่งบนนั้น
แต่พอเห็นลูกชายที่อยู่ในสภาพไม่รู้จะเผชิญหน้ากับตนอย่างไร เซวียนผิงโหวจึงตัดสินใจลากเก้าอี้มานั่งแทน
เขาพยายามรักษาระยะห่าง ไม่ให้ใกล้เกิน แต่ก็ไม่ห่างไป
แม้พวกเขาจะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่การที่ไม่ได้เจอหน้ากันเลยเป็นเวลายี่สิบปีก็เป็นอุปสรรคต่อการเริ่มบทสนทนาเช่นกัน
พวกเขาต้องการเวลาในการทำความรู้จักกันและกัน
“ชิ่งเอ๋อร์” เซวียนผิงโหวเรียกชื่อลูกชายอีกครั้ง
ทว่าซ่างกวานชิ่งไม่ขานรับ
เมื่อเห็นว่าลูกชายอุดอู้อยู่ในผ้าห่มนานเกิน ก็กลัวว่าจะหายใจไม่ออก จึงถอนหายใจแล้วเอ่ย “ก็ได้ เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าไปก่อนล่ะ เดี๋ยวไว้มาเยี่ยมใหม่”
ซ่างกวานชิ่งหูผึ่งทันที
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ หายไป ตามมาด้วยเสียงบานประตูที่ถูกปิดลง
จู่ๆ เขากลับรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาทันใด
“ออกไปเฉยๆ แบบนี้เลยหรือ ไม่โอ๋ข้าหน่อยหรือ”
เขาเบ้ปากด้วยความน้อยใจ
ตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เคยมีพ่อเลย
และตั้งแต่เล็กจนโต เขาได้รับยาพิษมาโดยตลอด
เพียงแต่ตอนที่เขายังเด็ก เขาคิดมาตลอดว่าเด็กทุกคนจะต้องได้รับพิษ แต่ว่า เด็กทุกคนมีพ่อ
มีแม่ ก็ต้องมีพ่อด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่เขากำลังกินข้าว เขาถามท่านแม่ “พ่อของข้าล่ะ”
ตอนนั้นเขาอายุห้าขวบ
เมื่อเห็นว่าท่านแม่ของเขาไม่ได้ให้คำตอบ เขาจึงไม่ถามต่อ
เด็กๆ ที่หมู่บ้านไม่มีใครไม่มีพ่อเลยสักคน
เด็กเหล่านั้นมักถูกเพื่อนคนอื่นรังแก เขาก็เคยถูกรังแกเช่นกัน แต่เขามักจะเอาคืนคนที่มาแกล้งก่อนเสมอ
เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ท่านแม่ฟังเลยสักครั้ง
และมีหลายครั้งที่เขาคิดว่าพ่อของเขาตายไปแล้วหรือยัง
หากตายแล้ว เช่นนั้นตายเพราะเหตุใด
แต่ถ้ายังไม่ตาย เหตุใดจึงไม่มาหากันบ้างเลย
หรือว่า พ่อจะไม่โปรดเขา
“เฮอะ! สงสัยจะไม่ชอบจริงๆ นั่นแหละ! ถึงได้รีบออกไปขนาดนั้น!”
“ข้าเองก็ไม่อยากจะชอบเหมือนกัน!”
ซ่างกวานชิ่งโมโหจนสะบัดผ้าห่มออก!
รู้ตัวอีกที เขาก็เห็นเซวียนผิงโหวนั่งอยู่บนเก้าอี้เหมือนเดิมไม่ไปไหน
เซวียนผิงโหวมองลูกชายด้วยสายตาที่เอ็นดูพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความห่วงใย
ความขุ่นเคืองในใจมลายไปทันที
เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย เอนไปข้างหน้า แล้วถามลูกชายด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าไม่อยากชอบใครนะ”
ซ่างกวานชิ่งสะดุ้งโหยงและรีบหลบทันที “ไหนว่าจะออกไปไม่ใช่รึ”
น้ำเสียงของเขาช่างนิ่งดูดาย
เซวียนผิงโหว “งั้นข้าออกไปนะ”
ซ่างกวานชิ่งเริ่มโมโหอีกรอบ!
ก็ลองเดินออกไปดูสิ!
เซวียนผิงโหวหัวเราะงอหาย
อันที่จริงความเคอะเขินระหว่างพวกเขาก็เริ่มหายไปแล้ว
อีกอย่าง เซวียนผิงโหวออกจะเอ็นดูเขาขนาดนี้ จะมัวแต่เลิ่กลั่กอยู่ไย
ก็แค่มีพ่อเพิ่มขึ้นอีกคนเท่านั้นเอง
คิดมากไปได้
ลูกผู้ชายกันเองทั้งนั้น!
ซ่างกวานชิ่งพยายามคุมสติตัวเองและลืมเรื่องที่เคยเอ่ยในอดีตไป
“มาคุยกัน” ซ่างกวานชิ่งเอ่ย
“ดี มาคุยกันเถอะ” เซวียนผิงโหวเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่าน…” ซ่างกวานชิ่งพยายามเริ่มบทสนทนา
แย่ละ จะเอ่ยเรื่องอะไรดี
ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเลย
ก็ไม่คิดนี่นาว่าจะได้มาเจอพ่อแท้ๆ ที่นี่
เซวียนผิงโหวเห็นว่าลูกชายทำตัวไม่ถูก จึงอาสาเป็นฝ่ายเริ่มเปิดประเด็นก่อน “เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของตัวเองใช่ไหม”
ซ่างกวานชิ่งพยักหน้าเบาๆ “อื้อ ท่านแม่เคยบอกข้า”
เซวียนผิงโหวไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับคำตอบที่ได้รับ เพราะซ่างกวานเยี่ยนเคยบอกเขาว่าเซียวชิ่งรู้เรื่องแล้ว
“ทั้งหมดเลยรึ” เขาถามต่อ
จะต่อความยาวสาวความยืดไปเพื่ออะไร
ซ่างกวานชิ่งเลิกคิ้ว “ทั้งหมดเลย ก็เล่าว่าบิดาของข้าเป็นท่านโหวจากแคว้นเจา ส่วนมารดาของข้าเป็นองค์หญิงแคว้นเจา ไหนจะเรื่องยาพิษ แล้วก็เซียวเหิง น้องชายของข้า”
ที่เขาเอ่ยถึงเซียวเหิง เพราะเซียวเหิงเป็นลูกแท้ๆ ของซ่างกวานเยี่ยน
“ห้ามโกรธท่านแม่ของข้านะ” ซ่างกวานชิ่งมองคนตรงหน้าอย่างจริงจัง
เซวียนผิงโหวถึงกับอ้ำอึ้ง ก่อนตอบไป “ข้าไม่เคยโทษนาง”
เขาไม่มีสิทธิ์โกรธนางเลยด้วยซ้ำ เพราะทั้งเซียวเหิงและเซียวชิ่งต่างก็เป็นลูกของเขา
ซ่างกวานชิ่งพยายามสบตากับเซวียนผิงโหวเพื่อดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังเอ่ยความจริง “ท่านแม่ดีกับข้ามาก ที่ผ่านมานางต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ถ้าท่านแม่ไม่ต้องมัวแต่มาหายาถอนพิษให้ข้า ก็คงจะอยู่อย่างสุขสบายกว่านี้”
เซวียนผิงโหวถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาพวกเจ้าลำบากกันมากแค่ไหน”
“แต่ข้าไม่ลำบากนะ” ซ่างกวานชิ่งเอ่ยพลางทำท่าแบมือ
ขอแค่ได้ยาจากตำหนักราชครู เขาก็สามารถใช้ชีวิตกินๆ เล่นๆ นอนๆ ได้ตามปกติ
แม้จะมีบางครั้งที่ทรมานจากพิษ แต่เขาก็ชินแล้ว
เซวียนผิงโหวมองออกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้แสร้งทำเหมือนไม่เป็นไร เขาสัมผัสได้ว่าลูกชายของเขาพึงพอใจกับชีวิตที่ผ่านมาจริงๆ
จะติดก็ตรงแค่พวกเขามาเจอกันช้าไป
ชิ่งเอ๋อร์มีชีวิตอยู่ไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ…
“ข้าจะหาคนมารักษาเจ้าให้ได้” เซวียนผิงโหวเอ่ย
ซ่างกวานชิ่งเอนกายลงบนเตียงพร้อมกับเอ่ย “อ้อ ข้าได้ยินคนเอ่ยแบบนี้กับข้าบ่อยแล้วล่ะ เจ้าเด็กที่มาจากตระกูลเซียวคนนั้นก็เอ่ยแบบนี้กับข้าเหมือนกัน”
“ตระกูลเซียวรึ” เซวียนผิงโหวรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงกู้เจียว จึงรีบไขความกระจ่าง “นางเป็นน้องสะใภ้ของเจ้านะ”
“ว่าอย่างไรนะ!” ซ่างกวานชิ่งกระเด้งตัวขึ้นพรวดทันที “เขา เขาคนนั้น เป็น เด็กผู้หญิง อย่างนั้นรึ”
เด็กผู้หญิงที่ไหนจะโหดเหี้ยมปานนั้น!
คนที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา ต้องใช่แน่ๆ !
น้องชายของเขาต้องคิดสั้นขนาดไหนถึงได้แต่งงานกับคนน่ากลัวแบบนั้น
แล้วอีกอย่าง นี่เขามาที่ชายแดนก็เพื่อมาเที่ยวเล่นเท่านั้น ไหงกลายเป็นว่าได้ทั้งพ่อ ได้ทั้งน้องสะใภ้ติดมาด้วยล่ะ ปล่อยให้เขาเป็นราชาผีล่องลอยต่อไปไม่ได้หรือ
เซวียนผิงโหวจ้องไปที่ใบหน้าอันคมคายของลูกชาย พร้อมกับถาม “อยู่กับข้า ไม่จำเป็นต้องปลอมตัว ช่วยให้ข้าเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้าได้ไหม”
ซ่างกวานชิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมตกลง
เขาจึงเทน้ำร้อนลงบนผ้า แล้วเช็ดใบหน้าจนสะอาด เผยให้เห็นผิวที่แท้จริง
ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับเซวียนผิงโหวมาก ทั้งโครงหน้า สันจมูก แทบจะถอดแบบกันเลยทีเดียว ทว่าคิ้วและดวงตานั้นเหมือนกับขององค์หญิงซิ่นหยาง
รวมถึงหน้าผากและทรงไรผมที่สมบูรณ์แบบ แทบจะเหมือนกับองค์หญิงซิ่นหยาง
“เจ้าเหมือนกับ…แม่ของเจ้าเหลือเกิน” เซวียนผิงโหวเอ่ยปากชม
“ว่าอย่างไรนะ” ซ่างกวานชิ่งตกใจ
“แม่อีกคนของเจ้า” เซวียนผิงโหบอก
ซ่างกวานชิ่งร้องอ๋อ ก่อนจะถามต่อ “หมายถึงองค์หญิงแคว้นเจาคนนั้นรึ”
พอได้ยินคำเรียกที่ฟังดูห่างเหินแบบนี้ เขาไม่ชินเอาเสียเลย
เซวียนผิงโหวพยักหน้า “ชื่อของนางคือฉินเฟิงหวั่น ชื่อพระราชทานคือซิ่นหยาง นางยังไม่รู้เรื่องของเจ้า ถ้านางรู้ นางคงดีใจจนเป็นบ้า…”
ซ่างกวานชิ่งมองเขาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
เซวียนผิงโหวรีบแก้คำเอ่ยตัวเองทันที “เอ๋อ หลังจากสงครามจบลง ข้าจะพาเจ้าไปที่แคว้นเจาไปหาแม่ของเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่อยากไป ข้าจะพานางมาที่นี่แทน”
“ค่อยว่ากันอีกที” ซ่างกวานชิ่งโบกมือปัดราวกับไม่ได้สนใจขนาดนั้น
จากนั้น เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงถามต่อ “ว่าแต่ลูกชายของท่านแม่ เขาใช้ชีวิตมาอย่างไร”
ซ่างกวานชิ่งกำลังเอ่ยถึงเซียวเหิง
“ก็ดี แม่ของเจ้าเลี้ยงดูเขาอย่างดี ปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูกตัวเอง ทั้งยังสอนให้เขาอ่านและเขียนอักขระด้วย” เซวียนผิงโหวตอบ
ซ่างกวานชิ่งตะลึงเล็กน้อย “เรียน… อ่านและเขียนหรือ ท่านเป็นแม่ทัพมิใช่รึ ไยจึงไม่สอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาล่ะ”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เซวียนผิงโหวก็ถอนหายใจ “แม่เจ้าไม่ชอบให้เขาฝึกศิลปะการต่อสู้ นางอยากให้เขาเก่งด้านบุ๋น เรียนหนังสือให้เก่งๆ แล้วเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ตอนเขาอายุสิบสาม ก็ได้เป็นจี้จิ่วที่อายุน้อยที่สุด อีกทั้งยังสอบจอหงวนได้ตอนอายุสิบแปด”
“สอบจอหงวนรึ…” ซ่างกวานชิ่งเริ่มทำท่ากำหมัดแน่น พลางนึกต่อให้เกิดใหม่แปดครั้ง คนอย่างเขาคงไม่มีวันสอบจอหงวนได้…
“หนอนหนังสือชัดๆ !”
และในตอนนั้นเองที่จู่ๆ เขานึกอะไรแผลงๆ ขึ้นมาได้ พร้อมกับคลี่ยิ้มแล้วเอามือกอดอก
มารอดูกันดีกว่าว่าจะจัดการกับเจ้าเด็กหนอนหนังสือนี่อย่างไรดี!
……….