สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 876 เซวียนผิงโหวมาแล้ว!
บทที่ 876 เซวียนผิงโหวมาแล้ว!
ยามบ่ายแก่ที่ลมพัดแรง
เซวียนผิงโหวและกองทหารจักรวรรดิห้าหมื่นนายเปิดการโจมตีอย่างรุนแรงที่ประตูทิศเหนือ
รถทำศึกหกคันของแคว้นเหลียงกำลังทะยานฝ่าฝูงลูกธนูและก้อนหิน ก่อนจะพุ่งเข้าชนประตูเมือง
เมื่อเดือนก่อนประตูเมืองนี้เพิ่งถูกโจมตีไปอย่างหนัก และเพียงไม่กี่วันหลังจากซ่อมแซม มันก็ถูกโจมตีอีกครั้ง
กองทัพจิ้นที่อยู่ด้านหลังประตูเมืองยืนประจัญบานอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกับยกหอกขึ้น
“เหตุใดพวกมันถึงมากันเร็วขนาดนี้ เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นหรือไม่” หนึ่งในทหารแคว้นจิ้นเอ่ยถาม
ตอนที่พวกเขาโจมตีเมืองผู่ครั้งแรก ระยะเวลาจากตอนที่เป่าแตรให้สัญญาณไปจนถึงช่วงที่โจมตีประตูเมืองอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาตั้งสองเค่อ ส่วนรถทำศึกก็ถูกก้อนหินร่วงใส่จนพังยับเยินไปสี่คันจากทั้งหมดหกคัน
ไม่มีใครตอบคำถามของเขาได้
“ทุกคน โปรดอย่าได้ว้าวุ่นใจแล้วทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด อีกฝ่ายมีกองกำลังไม่มากเท่าพวกเรา นอกจากนี้ อีกฝ่ายเพิ่งต่อสู้กับกองทัพแคว้นเหลียงมาก่อนแล้วเคลื่อนพลมาที่นี่ในชั่วข้ามคืน คงเหนื่อยล้ากันไม่น้อย ยังไงก็สู้พวกเราไม่ได้แน่นอน!” นายพลที่อยู่ด้านล่างตะโกนขึ้นมา
คำพูดนี้ช่วยปลุกใจทหารหลายนายให้มีแรงฮึดต่อ
ทหารที่อยู่บนหอคอยเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง!
ด้านนอกกำแพงเมืองเริ่มรายล้อมไปด้วยรถบันได
รถบันไดของแคว้นเหลียงเป็นยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากมีโล่กำบังอยู่ด้านบน และสามารถใช้กลไกเปิดปิดได้
ขณะที่ทหารแคว้นจิ้นบนกำแพงกำลังเตรียมลูกกระสุน ทันใดนั้นทหารของอีกฝ่ายก็พุ่งตรงมาจากรถบันไดแล้วใช้หอกแทงคอทหารแคว้นจิ้นจนเสียชีวิตคาที่!
ในเมื่อมีคนแรกที่ทำได้ ย่อมมีคนที่สองตามมา
หลังจากที่ทหารแคว้นจิ้นเห็นแล้วว่ารถบันไดที่ทำงานอย่างไร เมื่อโล่กำบังถูกเปิดออก พวกเขาก็ยกกระบี่หรือหอกขึ้นและแทงลงไปอย่างแรง!
มีทั้งคนที่ปีนขึ้นไปได้ และมีคนที่ร่วงหล่นลงมา
ขึ้นชื่อว่าเป็นสงคราม ดังนั้นจะไม่มีผู้ชนะถาวร มีแต่เพียงความเสียหายเท่านั้นที่เกิดขึ้น
โล่กำบังของบันไดอีกอันถูกเปิดออก ทหารกองทัพแคว้นจิ้นร้องตะโกนและโจมตีแบบเดิมอีกครั้ง ทว่าจู่ๆ ทหารแคว้นเยี่ยนก็โผล่มาจากด้านข้างและโจมตีทหารแคว้นจิ้นด้วยกระบี่ยาว!
กองทหารแคว้นเยี่ยนจำนวนมากปีนขึ้นไปบนหอคอย สถานการณ์ตอนนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
แม้พวกเขาจะเหนื่อย แต่พวกเขาจะไม่ยอมหมดแรง
นี่คือดินแดนของพวกเขา ไม่มีใครสามารถรุกรานได้!
“ใช้หน้าไม้โจมตี!” เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี จึงมีคำสั่งให้เปลี่ยนวิธีโจมตี
หน้าไม้นั้นมีระยะการยิงไกลกว่าและมีพลังทำลายล้างมากกว่าธนู พลังของมันเพียงพอที่จะทำลายรถทำศึกได้!
ถังเย่ว์ซานยกคันธนูยักษ์ของเขาขึ้น ยิงไปทีละลูก ล้มมือหน้าไม้ลงทีละคน!
ด้วยระยะทางที่ไกลและมุมที่ยากเช่นนี้ ทหารกองทัพจิ้นแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าอีกฝ่ายทำได้อย่างร!
“จัดการเจ้านั่นเดี๋ยวนี้!”
แต่ไม่ทันเสียแล้ว
เวลานี้ ประตูเมืองบานสุดท้ายถูกทลายลงเป็นที่เรียบร้อย
ถังเย่ว์ซานเก็บคันธนูลง แล้วชักกระบี่ขึ้น พร้อมทั้งตะโกนด้วยภาษาแคว้นเยี่ยนที่เพิ่งเรียนมา “เด็กๆ ทั้งหลาย! ปู่ของเจ้าอยู่นี่แล้ว! พี่น้องเอ๋ย! โจมตีพวกมัน!”
ทหารคนอื่นๆ ตะโกนโห่ร้องพร้อมกับชูกระบี่ขึ้น
ขณะที่ถังเย่ว์ซานกำลังนำทัพ ก็มีใครอีกคนตีเสมอขึ้นมา
อันที่จริงต้องบอกว่ามีสองคน
คนหนึ่งอยู่บนหลังม้า ส่วนอีกคนกำลังใช้วิชาตัวเบาเหาะอยู่กลางอากาศ
“เอ๋ เหล่าเซียว ออกโรงเองเลยหรือ”
ดูไม่ใช่เจ้าเลยนะ
ปกติเจ้าจะชอบดูอยู่ห่างๆ มิใช่รึ
เซวียนผิงโหวมีอาการบาดเจ็บที่เอว และมักจะนั่งอยู่ในรถศึกเพื่อออกคำสั่ง
“งั้นก็ฝากด้วยละกัน อาถัง” เซวียนผิงโหวเอ่ย
“เอ๋” ถังเย่ว์ซานไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
วินาทีถัดมา เขาก็เห็นฉางจิงบุกโจมตีทหารแคว้นจิ้นอย่างอุกอาจเพื่อเปิดทางให้เซวียนผิงโหว
จากนั้นเขาก็เห็นเซวียนผิงโหวควบม้าไปข้างหน้าและทิ้งห่างเขาไปเรื่อยๆ
ถังเย่ว์ซานยังคงมึนงง
เหล่าเซียว ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเจ้ากำลังละทิ้งหน้าที่ เพียงแต่ข้าไม่มีหลักฐานก็เท่านั้น
…
เซวียนผิงโหวแผ่ซ่านไปด้วยรังสีอำมหิต ไม่มีทหารแคว้นจิ้นคนไหนกล้าขวางเขาสักคน
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ระยะทางจากจุดนี้ไปถึงภูเขาผีก็ไกลเสียเหลือเกิน
…
หลังจากที่พยายามอยู่นาน แต่สุดท้ายก็หาทางเปิดประตูที่ขวางกั้นระหว่างนางกับลูกชายไม่ได้อยู่ดี ซ่างกวานเยี่ยนจึงตัดสินใจเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงที่บริเวณหลังเขา และได้เจอกับมู่ชิงเฉินและคนอื่นๆ
“ฝ่าบาท!” มู่ชิงเฉินรีบเข้าไปช่วยพยุงร่างพลางชะเง้อไปมองที่ด้านหลังของซ่างกวานเยี่ยน “พระราชนัดดาละขอรับ…”
“กงซุนอวี่วางแผนจะวางเพลิงอุโมงค์นี้ ชิ่งเอ๋อร์กำลังไปห้ามพวกมัน” น้ำเสียงของซ่างกวานเยี่ยนสั่นเครือ
มู่ชิงเฉินอ้าปากค้าง คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้พระราชนัดดาเดินทางไปที่ด่านชางเสวี่ยหรอกหรือ ไยถึงมาโผล่ที่นี่ได้
อีกทั้งเขาเองก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าพระราชนัดดาคนนี้ต่างกับคนที่เขาเคยเจอก่อนหน้า
แล้วไหนจะความเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้อีก
มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นใกล้ๆ กัน ก็เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ
ซ่างกวานเยี่ยนจำได้เพียงแค่ตอนที่พวกเขาตกลงไปข้างล่าง ชิ่งเอ๋อร์คว้าอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกระบอกขึ้นมา อานุภาพของมันรุนแรงมากเสียจนร่างของเซี่ยสิงโจวลอยขึ้นกลางอากาศ
“ต้องรีบตามหาชิ่งเอ๋อร์ให้เจอ” ซ่างกวานเยี่ยนหยิบขวดกระเบื้องในมือออกมา น้ำตาเริ่มไหลรินอย่างควบคุมไม่ได้ “เขาทำขวดยาตกไว้ ถ้าพิษในร่างกายของเขากำเริบ… เขาจะตาย…”
“พวกเราลองเดินกลับไปทางเดิมก่อน ดูว่าเราจะพบถ้ำเล็กเมื่อครู่นี้เจอหรือไม่ขอรับ” มู่ชิงเฉินเอ่ย
ช่างกวานชิ่งเองก็คงเดินกลับไปจุดที่พวกเขาแยกกับกงซุนอวี่
…
ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง
หยดน้ำในทางเดินตกลงบนแก้มของซ่างกวานชิ่ง
เขาฝันเห็น
ตัวเขาในตอนเด็ก
เขามักจะแอบออกไปเล่นที่หลังเขา และไปที่หมู่บ้านเพื่อหาเพื่อนเป็นครั้งคราว
ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นพระราชนัดดา แม่ของเขาไม่เคยทำให้เขารู้สึกว่าตัวตนหรือร่างกายของเขาแตกต่างจากคนทั่วไป
เด็กคนอื่นปีนต้นไม้ เขาเองก็ปีนได้
เด็กคนอื่นทะเลาะกัน เขาเองก็เคย
เด็กคนอื่นดื่มน้ำจากลำธาร เขาเองก็ดื่มด้วย
ราคาที่เขาต้องจ่ายย่อมสูงกว่าคนทั่วไป ถ้าเขาเกิดกลัวขึ้นมา เขาก็จะไม่ทำอีก แม่ของเขาจะไม่ควบคุมเขามากเกินไป
เขาเคยคิดว่าเด็กทุกคนจะถูกวางยาพิษเดือนละหลายครั้ง และจะต้องตายก่อนอายุครบยี่สิบปี
แต่พอมาได้ยินเรื่องของตัวเองจากปากคนอื่น ตอนนั้นเขาถึงระลึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ปกติ
เขาถามแม่ของเขาว่าเพราะอะไร
แม่ของเขาบอกเขาว่าทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน บางคนรวยมาทั้งชีวิต บางคนยากจนตลอดชีวิต บางคนน่าเกลียด บางคนสวย บางคนฉลาด บางคนโง่ บางคนเข้มแข็ง และบางคนอ่อนแอ
บางคนเกิดมาเป็นคนธรรมดา ในขณะที่บางคนเกิดและเติบโตในราชวงศ์
ชีวิตมีรูปร่างที่แตกต่างกัน และอายุขัยก็ต่างกัน
แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องปกติ
แม่ของเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาแตกต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกังวลเกี่ยวกับร่างกายของเขา และเขาก็ไม่รู้สึกเสียใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้
เขายอมรับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายของตนเองอย่างใจเย็น แต่มีอย่างหนึ่งที่เขายังทำใจไม่ได้ นั่นก็คือการต้องพรากจากคนรัก
ติ๋ง… แหมะ!
หยดน้ำขนาดใหญ่กระทบแก้มของเขา
เขาตื่นขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ เปลือกตาของเขาขยับเล็กน้อย
“ยัง ตาย ไม่ได้…”
“นายท่าน! ข้างหน้ามีความเคลื่อนไหวขอรับ!”
เสียงทหารแคว้นจิ้นดังก้อนในอุโมงค์
ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า
“นายท่าน! เขาผู้นี้ต้องเป็นพระราชนัดดาแคว้นเยียนไม่ผิดแน่ขอรับ” ทหารแคว้นจิ้นเดินเข้ามาพร้อมกับดึงคอเสื้อของซ่างกวานชิ่งขึ้น แล้วอุ้มร่างของเขาขึ้นมา
เพล้ง
มีอะไรบางอย่างตกลงมา
จากนั้นทหารคนเดิมก็หยิบสิ่งๆ นั้นขึ้น “นายท่าน ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด”
“เก็บมาให้หมด” กงซุนอวี่สั่ง
จุดที่พวกเขาอยู่ตอนนี้คือปากทางระหว่างอุโมงค์กับพื้นดิน นอกจากนี้ฝั่งซ้ายขวายังมีอุโมงค์อีกสองทาง
ซึ่งไม่รู้ว่าจะเชื่อมไปถึงจุดไหนของภูเขา
ทหารคนเดิมลากร่างของซ่างกวานชิ่งไว้พร้อมกับบ้องไฟ แล้วเดินตามกงซุนอวี่ไป
เขาไม่สนใจเลยว่าร่างกายของซ่างกวานชิ่งจะทนต่อการฉุดกระชากลากดึงที่รุนแรงของเขาได้หรือไม่
รอยเลือดจากหัวเข่าของเขาเริ่มไหลไปตามทาง
“มันยังหายใจอยู่ไหม” กงซุนอวี่ถาม
“ยังหายใจอยู่ขอรับ” ทหารคนนั้นตอบ จากนั้นเตรียมจะยื่นมือเพื่อจิกหัวของช่างกวานชิ่งขึ้นมาเพื่อให้กงซุนอวี่เห็นชัดขึ้น
แต่ขณะที่เขากำลังยื่นมือออกไป มีเสียงหวีดหวิวในอากาศ เบาและแผ่วเบามาก ราวกับว่าเขาหูฝาดไปเอง
รู้ตัวอีกที เขาก็เห็นมือของตัวเองกระเด็นออกไป!
แขนยังอยู่ แต่…มือไม่อยู่แล้ว!
“อ๊ากกก”
เขากรีดร้องลั่นหลังจากที่ได้สติ!
เห็นแต่เพียงเลือดที่พุ่งออกมาราวกับน้ำพุ!
ภาพต่อมาปรากฏชายหนุ่มในชุดดำโฉบเข้ามาและพาร่างของซ่างกวานชิ่งออกไป!
ชายหนุ่มชุดดำกระโดดเตะกำแพง แล้วกลับไปยังปากทาง
มือกระบี่อีกคนคว้ากริชออกมาแล้วพุ่งตัวไปทางชายหนุ่มชุดดำ!
ชายหนุ่มชุดดำมือไม่ว่างเพราะกำลังอุ้มซ่างกวานชิ่ง เขาไม่สามารถละมือออกได้
ทันใดนั้น เซวียนผิงโหวก็พุ่งพรวดเข้ามาแล้วถีบมือกระบี่เข้าที่กลางอกอย่างเลือดเย็น!