สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 873 ปู่และหลานสาว
บทที่ 873 ปู่และหลานสาว
หลังจากที่ประตูเมืองทางใต้ถูกทำลาย สมาชิกที่เหลือของตระกูลหันก็พ่ายแพ้และหนีไปทุกทิศทุกทาง โดยที่กองทัพแคว้นจิ้นไม่ได้ส่งกำลังเสริมออกไปช่วยเหลือแต่อย่างใด
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อยากรับรู้ความเป็นไปของพวกตระกูลหันอีก แต่แท้จริงแล้วเหตุผลคือประตูเมืองหลักอีกสามแห่งก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นกัน
เซวียนผิงโหวขโมยอาวุธยุทโธปกรณ์ขั้นสูงจากแคว้นเหลียงมาได้ ทำให้สถานการณ์ของแคว้นจิ้นยิ่งแย่ลง
จากที่เดิมทีกองทัพแคว้นจิ้นมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในการป้องกันเมืองแม้จะใช้กองกำลังทหารเพียงจำนวนครึ่งหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับต้องเดินหน้าเต็มกำลังแทน
ทุกคนต่างโล่งอกที่กู้เจียวได้รับความช่วยเหลือ
ราษฎรที่ได้รับการช่วยเหลือจากกู้เจียวถูกเหวินเหรินชงพาตัวไปพบทหารม้าเพื่อพาพวกเขาไปค่ายพยาบาลละแวกใกล้ๆ ในขณะที่คนอื่นๆ ยืนรอภารกิจต่อไป
ท่านเหล่าโหววางกู้เจียวไว้ที่ข้างๆ รูปปั้นหินกลมๆ ที่อยู่ข้างถนน เจ้าเฮยเฟิงเดินเข้ามาดมนางครั้งแล้วครั้งเล่า
ครั้นกู้เจียวจะเอ่ย “ข้าไม่เป็นไร”แต่เป็นอันต้องเหลือบมองเหล่าโหวที่อยู่ด้านข้าง และเปลี่ยนใจใช้มือสื่อสารแทน
จากนั้นเหวินเหรินชงและคนอื่นๆ เดินเข้ามาทางนี้
จ้าวเติงเฟิงถามกู้เจียวก่อน “แม่ทัพน้อย ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
กู้เจียวหยิบสมุดขึ้นมา แล้วเขียนว่า “ข้าไม่เป็นไร”
ทั้งสามคนย่นคิ้วทันที
อะไรกัน
เหตุใดต้องเขียนด้วย
หรือว่าจะเจ็บคอจนพูดไม่ได้เชียวรึ
หลังจากที่อยู่ที่นี่มานาน เขาได้เรียนรู้ภาษาแคว้นเยียนหลายคำ และสามารถสื่อสารได้บ้าง
เขาได้ยินอดีตสมาชิกทั้งสามของตระกูลเซวียนหยวนเอ่ยชื่อหันเย่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ข้าจะไปตามจับเขาเอง!” หลี่เซินเอ่ย
“ให้ข้าไปดีกว่า!” จ้าวเติงเฟิงแย้ง “แขนเจ้ายังเจ็บอยู่ ให้พยาบาลช่วยพันแผลให้เจ้าด้วย”
หลี่เซินก้มมองดูแขนตัวเองด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ “แผลนิดเดียวเอง”
“พวกเจ้าทั้งสองคอยคุ้มกันเมืองอยู่ที่นี่ดีกว่า ข้ากับใต้เท้าโจวจะไปจับมันเอง” เหวินเหรินชงเอ่ยขึ้น
เหล่าโหวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจแทรกบทสนทนาของพวกเขา “เอ่อ คนที่ชื่อว่าหันเย่ที่พวกเจ้าพูดถึง ใช่ชายอายุราวยี่สิบปีใช่หรือไม่”
ทั้งสามคนหันมาตอบพร้อมกัน “ใช่!”
จากนั้นเหล่าโหวชี้นิ้วไปทางตรอกแห่งหนึ่ง “คนที่ถูกมัดอยู่ในนั้น ใช่คนที่พวกเจ้าต้องการตัวหรือไม่”
จ้าวเติงเฟิงจึงรีบสั่งให้ทหารสองคนไปที่ตรอกและอุ้มชายผู้หมดสติและถูกมัดไว้ออกมา
ทุกคนจ้องไปที่ชายหมดสติพร้อมกัน ถ้าไม่ใช่หันเย่แล้วจะเป็นใครไปได้อีก
จ้าวเติงเฟิงกระตุกมุมปากเบาๆ “ท่านรู้จักหันเย่ด้วยหรือนี่”
เหล่าโหว “ไม่รู้จักหรอก ข้านึกว่าเป็นพวกบฏน่ะ”
ทุกคน “…”
กู้เจียวพยักหน้ารัว พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เหล่าโหว
สมกับเป็นพี่ใหญ่!
เหล่าโหว “…”
เอาละ ถึงจะจับตัวหันเย่มาได้แล้วก็จริง แต่เรื่องยังไม่หมดเพียงเท่านี้ จ้าวเติงเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงโมโหขึ้น “ยังมีไอ้เจ้าเยว่หลิ่วอีนั่นอีก! นางคือคนที่วางกับดักและเกือบทำให้แม่ทัพน้อยของเราเสียชีวิต ข้าต้องจับนางมาให้ได้! จะฆ่าไม่ให้เหลือซากเลยคอยดู!”
เมื่อพวกเขาทั้งสามรีบไปที่หอคอย แม้ว่าพวกเขาจะไม่เจอตัวนาง แต่กลับได้ยินเสียงที่หยิ่งผยองและดุร้ายของนางที่ดังขึ้น
นั่นยิ่งทำให้พวกเขาโกรธจัดกว่าเดิม
ตัวแค่นี้ แต่กลับมีจิตใจที่ชั่วร้าย พวกเขาต้องรีบฆ่านางให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นชีวิตผู้คนอาจตกอยู่ในอันตรายได้!
เหวินเหรินชงเอ่ยขึ้น “ใต้หอคอยนี้อาจมีกับดักซ่อนอยู่ พวกเราตามหากันเถอะ”
เหล่าโหวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดขึ้น “บางที…อาจไม่จำเป็นแล้วกระมัง”
คนที่เหลือรีบหันขวับมาทางเหล่าโหวทันที
“หรือว่าท่าน…จับตัวนางได้แล้ว” จ้าวเติงเฟิงถามด้วยสีหน้าตะลึง
“ไม่ใช่เสียทีเดียว” เหล่าโหวเอ่ย
พวกเขาทั้งสามถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน
นั่นสินะ ท่านเพิ่งจะเข้ามาตอนทีเย่ว์หลิ่วอีหายไป จะเอาเวลาที่ไหนไปจับกันล่ะ
แบบนั้นก็เกินไป
จากนั้นเหล่าโหวเอ่ยต่อ “ข้าแค่ไปขยับกับดักของนาง และดูเหมือนว่านางจะติดอยู่ในนั้นแล้วล่ะ”
ทั้งสามคน “???”
ช่วงที่ผ่านมา เหล่าโหวพยายามสืบข่าวในเมืองผู่มาโดยตลอด เขาไม่ได้ใช้วิธีแฝงจัวเข้าไปในค่ายทหารหรือจวนเจ้าเมืองแต่อย่างใด แต่เขาใช้วิธีสะกดรอยตามพวกทหารฝีมือดีไปยังบ่อนพนันที่อยู่นอกเมือง
เขาจึงค้นพบว่าเย่ว์หลิ่วอีคือคนที่ยึดครองบ่อนพนันและเปลี่ยนมันให้เป็นฐานทัพลับของนางเพื่อทดสอบยาต่างๆ และกับดัก
เหล่าโหวจึงจับตาดูเย่ว์หลิ่วอีมาตลอด
และในช่วงที่เขาสะกดรอยตามนาง ก็ได้เรียนรู้กับดักและกลไกต่างๆ ที่นางได้สร้างขึ้นไว้
“แล้ว ต้องเข้าไปอย่างไร” จ้าวเติงเฟิงถาม
เหล่าโหวชี้นิ้วไปอีกทิศ “ตรงนั้น หลังประตูบานนั้น”
ด้วยความที่เย่ว์หลิ่วอีเป็นบุคคลอันตราย พวกเขาจึงต้องบุกเข้าไปด้วยตนเองและไม่ส่งคนเข้าไป
และแล้วพวกเขาก็ได้เจอกับห้องลับแห่งหนึ่ง อีกทั้งได้เห็นว่าเย่ว์หลิ่วอีกำลังถูกเพดานห้องกดทับร่างของนางอยู่
กระดูกขาของนางถูกบดขยี้ กระดูกซี่โครงหักหลายซี่ จุดชีพจรของนางถูกทำลายจนหมดจนอาเจียนเป็นเลือดไปทั่วพื้น
นางคงไม่เคยคิดฝันว่าจะถูกกลไกที่ออกแบบเองเล่นงานเช่นนี้
…
ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนต่อ ตระกูลหันยังคงมีกองกำลังสองหมื่นนายอยู่ในเมือง และเหล่าโหวไม่เห็นด้วยที่จะติดตามพวกเขา
“การยึดประตูเมืองทางใต้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก รวมถึงการบุกทะลวงแนวป้องกันในระยะเวลาอันสั้น หากกองทัพแคว้นจิ้นพบว่าพวกเขาพ่ายแพ้และต้องการอพยพออกจากประตูเมืองทางใต้ พวกเจ้าวางแผนรับมืออย่างไร เราควรปล่อยกองทัพแคว้นจิ้นไปหรือยึดประตูเมืองดี” เหล่าโหวถาม
ใช่แล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนของแคว้นจิ้น ไม่มีความจำเป็นที่กองทัพแคว้นจิ้นจะยอมลงทุนมากมายเพื่อปกป้องที่นี่ อย่างดีก็แค่สั่งถอนกองกำลังออกไป
ดูเหมือนจะแตะต้องกองกำลังทหารที่นี่ไม่ได้เลย
กู้เจียวหยิบสมุดขึ้นมาแล้วเขียนว่า ‘สมกับเป็นพี่ใหญ่ผู้มากประสบการณ์ ช่างรอบคอบยิ่งนัก!’
แม้ลายมือไม่ค่อยดี แต่ความภูมิใจนั้นแทบล้น!
เหล่าโหวเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชาทันที
กู้เจียวเห็นก็สงสัย หรือว่าพี่ใหญ่กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่
ทั้งทหารค่ายเฮยเฟิงและค่ายเงามืดต่างปักหลักอยู่ที่เดิมโดยมีโจวเหรินและลูกน้องช่วยกันตั้งค่ายและเก็บกวาดพื้นที่ ส่วนจางสือหย่งไปตามจัดการพวกเชลยศึก ส่วนเหวินเหรินชงและคนอื่นๆ กลับเข้ามาที่ตำแหน่งของตัวเอง ทั้งซ่อมชุดเกราะ ทำกับข้าว และผ่าฟืน
กู้เจียวนั่งอยู่บนรูปปั้นหินกลมและมองสายสืบที่กำลังคาบข่าวมาให้
โดยมีเหล่าโหวนั่งจ้องอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา
ดูชุดหมวกเกราะนั่นสิ อีกทั้งใบหน้าที่มีแต่รอยเปื้อน
เหล่าโหวยังคงจ้องนางด้วยสายตาเยียบเย็น และเริ่มนั่งสั่นขา จากขาซ้ายไปขาขวา และจากขาขวาไปขาซ้าย สลับอยู่อย่างนั้น
กู้เจียวกำลังใช้ความคิดในการวางกลยุทธ์
เหล่าโหวยกมือกอดอก
ทว่ากู้เจียวก็ไม่หันมาหาเขาเลย
จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาตรงหน้านาง
กู้เจียวตกใจ พลางนึก ผู้ใดกันมาบังแสงของนาง
จ๊อกๆ
เสียงท้องร้องของกู้เจียวดังขึ้น
กู้เจียวมองไปที่ถุงที่แขวนอยู่ที่เอวของเหล่าโหวด้วยสายตาหิวโหย
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าน้ำลายไหล เหล่าโหวจึงขมวดคิ้วก่อนจะถอดถุงผ้าออกจากเอวแล้วโยนให้
ในถุงนั้นมีถั่วเฮอถัวและลูกกวาดอยู่ไม่กี่ชิ้น
กู้เจียวไม่กินลูกกวาด จึงเลือกหยิบถั่วขึ้นมา
ปกติแล้ว ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงทั่วไป มักจะยื่นถั่วเฮอถัวให้ผู้หลักผู้ใหญ่ช่วยแกะ ‘เปลือกเฮอถัวแข็งมากเลย ข้าเปิดไม่ออก ช่วยแกะหน่อยได้ไหมเจ้าคะ’
แต่แม่หลานสาวคนนี้นั้น
หยิบถั่วขึ้นมาแล้วเคาะกับหมวกเกราะ!
แทบไม่เหลือความเป็นกุลสตรี!
เหล่าโหวยืนตัวสั่นและมองไปที่หลานสาวตัวดีด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย!
กู้เจียวยื่นถั่วให้เขา
นี่ กินสิ
เหล่าโหว “…”
…
หลังจากเหลี่ยวเฉินแยกกับนักพรตชิงเฟิงแล้ว เขาก็รีบเหาะมาที่จวนเจ้าเมือง
เป้าหมายของเขาคือการกำจัดกงซุนอวี่
แต่ไม่ว่าจะตามหาเท่าไหร่ ก็ไม่พบตัวกงซุนอวี่
จากนั้นเหลี่ยวเฉินจึงเหาะขึ้นไปที่หลังคา พร้อมกับสังเกตบริเวณรอบๆ ที่ดูเหมือนว่าการคุ้มกันไม่ได้หนาแน่นเหมือนเดิม พร้อมกับพึมพัม “แปลกจริง หายไปไหนของมันนะ”
…
“ฝ่าบาท ระวังด้วยขอรับ!”
มู่ชิงเฉินรีบเข้าไปพยุงร่างของซ่างกวานเยี่ยนที่เกือบล้ม
“ข้าไม่เป็นไร” ซ่างกวานเยี่ยนพยายามคุมสติและร่างกายตัวเองให้นิ่งไว้
“ฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ พื้นทั้งลื่นและมีน้ำขัง ต้องระวังเป็นพิเศษขอรับ” มู่ชิงเฉินเอ่ย
อุโมงค์นี้เป็นเส้นทางที่เซวียนหยวนฉีเคยนำทางให้กับกู้เจียวกับถังเยว่ซาน เซวียนหยวนฉีไม่ได้ตั้งกับดักไว้ในนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถใช้อุโมงค์นี้ได้อย่างสบายใจ
กู้เจียววาดแผนที่ไว้ให้พวกเขาอย่างละเอียด
รอบเมืองผู่เต็มไปด้วยสงคราม ไท่หนี่ว์จึงนำทัพไปหาซ่างกวานชิ่งโดยใช้อุโมงค์นี้
มู่ชิงเฉินเดินนำหัวแถว มีคนถือคบเพลิงเป็นระยะ โดยทหารที่อยู่คนสุดท้ายของแถวรับหน้าที่ปิดประตูไม้ที่อยู่บนพื้นลง
ที่พื้นอุโมงค์เต็มไปด้วยน้ำขัง จนรองเท้าของซ่างกวานเยี่ยนเริ่มเปียก
ทว่านางไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้เลย จิตใจของนางคิดถึงเพียงแต่ลูกชาย ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่กุ่ยซานจะเป็นอย่างไน
ประตูเมืองทางใต้ถูกยึดแล้ว และการสู้รบที่ประตูเมืองตะวันออกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ไม่รู้ว่ากงซุนอวี่จะสั่งให้เซี่ยสิงโจวถอนกำลังทหารหรือไม่
อีกฝ่ายไม่รู้ว่าพระราชนัดดาของราชวงศ์แคว้นเยี่ยนกำลังซ่อนตัวอยู่ใต้เขากุ่ยซาน
ถ้าเซี่ยสิงโจวไม่ถอนกองกำลังออก เท่ากับว่าอุโมงค์นี้เป็นหนทางรอดทางเดียวของพวกเขา
ชิ่งเอ๋อร์ อดทนไว้นะ
แม่กำลังไปช่วยเจ้าแล้ว
……………………………………………………………………..