สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 872 พี่ใหญ่มาแล้ว!
บทที่ 872 พี่ใหญ่มาแล้ว!
คนสำคัญในการเจรจาสงบศึกครานี้คือหยวนถัง เงื่อนไขแรกที่จะยึดสองแคว้นมาได้คือการสร้างสถานการณ์ให้หยวนถังยินยอมเจรจาสงบศึก หากหยวนถังปฏิเสธการเจรจาสงบศึก เช่นนั้นสถานการณ์ทางแคว้นจ้าวก็จะไม่มีทางราบรื่นนัก
“ไท่จื่อหยวนถังแห่งแคว้นเฉินจะเห็นด้วยหรือ”
หลังจากหยวนถังจากไป แม่ทัพอาวุโสที่ติดตามเข้ามาในกระโจมด้วยถามขึ้น
เซียวเหิงเปิดรายงานด่วนบนโต๊ะ “คิดหาวิธีส่งรายงานด่วนของเมืองฉวี่หยางไปถึงแคว้นเฉิน”
หากไร้ข่าวการปราชัยของแคว้นเหลียง ก็อาจจะจัดการได้ยาก
ทว่ายามนี้ ไร้ข้อผิดพลาดแล้ว
หยวนถังเป็นรัชทายาทที่มีจิตใจทะเยอทะยาน เขาไม่มีทางยินยอมพร้อมใจไปเป็นหุ่นเชิดแน่ ดังนั้นเขาจึงได้รีบร้อนสร้างคุณูปการทางการทหาร สร้างชื่อเสียงในราชสำนัก ในค่ายทหารและในหมู่ปวงชน
แต่หากถูกกำหนดให้ปราชัย เช่นนั้นความเสี่ยงของหยวนถังก็จะกลายเป็นยันต์เร่งตายสุดท้ายที่ทำลายหยวนถัง
“พระนัดดา” เสียงรายงานขององครักษ์นายหนึ่งดังขึ้นหน้าประตู น้ำเสียงของเขาค่อนข้างแปลกพิกลอย่างเห็นได้ชัด
เซียวเหิงกระจ่างก่อนจะเอ่ย “เข้ามาเถิด”
องครักษ์เดินนำคนที่แต่งตัวเหมือนพ่อครัวเข้ามาด้านใน
คนผู้นี้เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง เซียวเหิงกับแม่ทัพอาวุโสจึงไม่แปลกหน้า
ทั้งสองมองเขา เขาประสานมือคำนับให้ ใช้ภาษาแคว้นเยี่ยนแบบมาตรฐานเอ่ย “ทูลพระนัดดาแห่งต้าเยี่ยน นายท่านของข้าอยากถามท่านว่าใคร่ครวญดูเป็นอย่างไรแล้ว สิ่งที่ไท่จื่อประทานให้ได้ นายท่านของข้าก็ให้ได้เช่นกัน สิ่งที่ไท่จื่อไม่อาจประทานให้ได้ นายท่านของข้าก็ให้ได้”
เซียวเหิงเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “ข้าไม่สนใจการขัดแย้งภายในแคว้นเฉินของพวกเจ้า มีปัญญาก็ให้นายท่านของเจ้าเป็นไท่จื่อแคว้นเฉินก่อนสิ”
พ่อครัวหัวเราะ “พระนัดดาคงไม่ได้คิดจริงๆ หรอกกระมังว่าไท่จื่อหยวนถังจะตอบตกลง ต่อให้เขาตอบตกลง แต่เขาไม่เป็นโล้เป็นพาย เกรงว่าถึงเวลานั้นจะถ่วงแข้งถ่วงขาแคว้นเยี่ยนได้”
เซียวเหิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ารู้เพียงว่าเขาได้ขึ้นเป็นไท่จื่อแล้ว แต่นายท่านของเจ้ายัง”
ประโยคนี้ทำเอาพ่อครัวสะอึกจนหน้าแดงเห่อ
เขาย่อมไม่ใช่พ่อครัวตัวจริงอยู่แล้ว แต่เป็นลูกน้องขององค์ชายาสองแห่งแคว้นเฉินต่างหาก
เพลิงโทสะเขาพวยพุ่งขึ้นก่อนจะเอ่ยเหน็บแนมอย่างเย็นชา “ข้าว่าพวกเจ้าแคว้นเยี่ยนอวดดีเกินไปแล้ว คิดจริงๆ รึว่าร่วมมือกับเหล่าแคว้นระดับล่างแล้วจะเอาชนะแคว้นจิ้นกับแคว้นเหลียงได้ คนเขลาเพ้อฝัน! พวกเจ้าแคว้นเยี่ยนโดนล้อมไว้ตั้งนานแล้ว นายท่านของข้ายินดีร่วมมือกับพวกเจ้า ก็เป็นการไว้หน้าพวกเจ้าแล้ว! ผู้เข้าใจสถานการณ์คือผู้เฉลียวฉลาด พวกเจ้าแคว้นเยี่ยนอย่ามั่นใจไปหน่อยเลย!”
แม่ทัพอาวุโสชักกระบี่ขึ้น ไอสังหารเต็มเปี่ยม “ไอ้หลานชายเยี่ยงพวกเจ้า! ก็กล้าดูหมิ่นพระนัดดาแห่งต้าเยี่ยนได้รึ!”
พ่อครัวตกใจจนตัวสั่น
เซียวเหิงเอ่ยนิ่งๆ “ช่างเถิด แม่ทัพฝู อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่ชาวแคว้นเยี่ยน จะจัดการเขาก็ไม่ถึงตาพวกเราหรอก รบกวนรองแม่ทัพฝูไปส่งคนผู้นี้คืนไท่จื่อแคว้นเฉินด้วยตัวเองสักคราเถิด”
จะได้นำรายงานด่วนของเมืองฉวี่หยางไปด้วยพอดี
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
เนื้อแท้ของเซียวเหิงมีนิสัยทำความดีไม่ทิ้งชื่อไว้ แต่เรื่องการบ้านการเมืองแล้วจะทำเช่นนั้นไม่ได้
อย่าได้ซ่อนความดีงามของเราต่อเหล่าพันธมิตร ท่าทีทั้งหมดของเขาที่มีประโยชน์ต่อหยวนถัง ล้วนต้องให้หยวนถังได้ล่วงรู้
คนผู้นั้นตกใจ “เจ้ากล้า…”
แม่ทัพอาวุโสใช้สันมือฟาดเขาล้มกับพื้น หยิบเชือกมามัดเขาไว้
เซียวเหิงเอ่ยนิ่งๆ “แต่ละคนล้วนนึกว่าแคว้นเยี่ยนจะล่มสลายแล้ว อดรนทนไม่ไหวอยากจะขึ้นมาขี่บนหัวแคว้นเยี่ยนแล้ว กลับไปบอกนายของเจ้าว่าศึกนี้ แคว้นเยี่ยนต้องคว้าชัย!”
…
ณ เมืองผู่
หลังจากผ่านการเข่นฆ่ามาแล้ว ม้าเฮยเฟิงกับหน่วยเงามืดบุกทะลวงประตูเมืองฝั่งใต้ได้สำเร็จ
ธงของต้าเยี่ยนโบกสะบัดอยู่บนผืนแผ่นดินตัวเองอีกครา
เหล่าทหารที่เฝ้ารักษาการณ์ต่างฮึกเหิม ใครบอกว่าเฝ้ารักษาการณ์สู้รบไม่ได้ พวกเขาโจมตีประตูเมืองฝั่งใต้ได้แล้วมิใช่หรือไร
จ้าวเติงเฟิงหย่อนก้นนั่งลงบนพื้น หอบแฮ่กๆ ก่อนจะเอ่ย “ไอ้สารเลวตระกูลหัน ช่างทนมือทนตีนนัก…”
ม้าศึกของตระกูลหันแข็งแรง นี่เป็นความจริงที่ไม่เถียง
พวกเขากับหน่วยเงามืดทุ่มเทเรี่ยวแรงและชีวิตทั้งหมดแล้ว ใช้ความศรัทธาที่ไม่ยอมศิโรราบและปณิธานการต่อสู้ยืนหยัดเอาชนะไอ้พวกจัดการยากเหล่านั้น!
“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว…” จ้าวเติงเฟิงหอบหายใจหนัก
หลี่เซินใช้ดาบพยุงตัวเอาไว้ ปรายตามองเขาอย่างเย็นชา หอบแฮ่กเอ่ย “ใครให้เจ้าใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาทั้งวี่ทั้งวัน ร่างกายจึงอ่อนแอ”
จ้าวเติงเฟิงชักฉุนขึ้นมาแล้ว “เฮ้ยๆ ๆ นี่ปรักปรำข้าแล้ว ข้าสำมะเลเทเมาตั้งแต่เมื่อใดกัน นั่นข้าก็แค่ทำให้คนดูมิใช่หรือไร เจ้ามันช่างหัวดื้อนัก! ปากคล้อยตามตระกูลหันแล้วอย่างไร ใช้เงินของตระกูลหัน จัดการหน้าที่ของตัวเอง ค่อยหักหลังตระกูลหัน มันไม่สะใจ!”
ตอนนั้นเขากับหลี่เซินจากค่ายทหารไปได้ไม่นาน ตระกูลหันอยากให้พวกเขาลงใต้ดิน แอบติดต่อคนเก่าแก่ของตระกูลเซวียนหยวนให้พวกเขา
หลี่เซินไม่เห็นด้วย บอกว่าชาตินี้จะไม่หักหลังตระกูลเซวียนหยวน จากนั้นก็จากไปโดยไม่ได้สักเหรียญเดียว
จ้าวเติงเฟิงกลับปลิ้นปล้อนกว่ามาก
เหวินเหรินชงปรายตามองทั้งสองคน ก่อนตีหน้าเคร่งเอ่ย “พวกเจ้าสองคนหยุดทะเลาะกันได้แล้ว หันเย่หนีไปแล้ว และในเมืองยังมีกำลังทหารตระกูลหันอีกสองหมื่นนาย น่าจะมีนายท่านสี่หันเป็นผู้บัญชาการ ภารกิจของพวกเรายังไม่เสร็จสิ้น”
“รู้” จ้าวเติงเฟิงหัวเราะ เขาที่ฟื้นฟูเรี่ยวแรงอย่างรวดเร็วพลิกตัวขึ้นหลังม้าอย่างองอาจอีกหน “ไอ้พวกสารเลวตระกูลหัน ปู่จ้าวของพวกเจ้ามาแล้ว!”
หลี่เซินขมวดคิ้ว “เจ้าหยุดเลียนแบบการพูดของผู้บัญชาการน้อยจะได้หรือไม่”
จ้าวเติงเฟิงหัวเราะคิกคัก “เลียนแบบนิดเดียวเอง สนุกทีเดียว”
เหวินเหรินชงมองไปรอบๆ “ช้าก่อน ผู้บัญชาการน้อยเล่า”
เหลี่เซินเอ่ย “เมื่อครู่นี้เขาอยู่บนกำแพงเมือง…”
พวกเขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน แต่ข้างเสาธงไร้เงาของกู้เจียวไปนานแล้ว
ทั้งสามสบตามองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นในใจโดยพร้อมเพรียง
เหวินเหรินแววตาตื่นตะลึง “แย่แล้ว! มีอุบาย! ขึ้นกำแพงเมือง!”
“หึๆ ๆ …ติดกับแล้ว ติดกับแล้ว…”
เสียงหัวเราะดุจกระดิ่งเงินของเย่ว์หลิ่วอีลอยขึ้นจากบนกำแพงเมือง
นางไม่ได้หลบหนีด้วยซ้ำ แต่เข้าไปซ่อนในห้องลับของกำแพงเมืองโดยกลไกพิเศษ
ยามนี้ในห้องลับมีแขกเพิ่มขึ้นมาอีกคน
เย่ว์หลิ่วอีแย้มยิ้มหวานเงยหน้าขึ้นมองกู้เจียวที่เหยียบไม้กางเขน สีหน้าไร้เดียงสาเอ่ย “เจ้าคือผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิงรึ ดูๆ ไปก็หนุ่มมากทีเดียว แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าทำร้ายข้า ข้าจึงต้องทวงราคาที่ต้องจ่ายกับเจ้าสักหน่อย!”
เรื่องราวคงต้องเริ่มเล่าตั้งแต่กู้เจียวขึ้นไปบนกำแพงเมือง หลังจากที่นางปักธงต้าเยียนลงบนหลังคากำแพงเมืองแล้ว ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติดังขึ้นตรงหลังคาโดยไม่ตั้งใจ
นางเข้าไปในห้องปล่อยตัวชาวบ้านที่โดนมัดคนนั้นไป สุดท้ายจึงกลายเป็นเช่นนี้
จู่ๆ พื้นก็แยกออก เหลือเพียงแผ่นไม้สองแผ่นไขว้กันห้อยกลางอากาศใต้ฝ่าเท้านาง รองรับนางไว้
แต่นางหลบหนีไปข้างนอกไม่ได้ ปีนขึ้นไปก็ไม่ได้ และไต่ลงล่างก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะรอบตัวนางเป็นกรงขังที่ถักทอประสานกันด้วยใยไหมฟ้าแดนหิมะ
ใยไหมฟ้าแดนหิมะแน่นขนัด มีมากกว่าร้อยเส้น ต่อให้นางมีถุงมือใยเงิน ก็ไม่อาจทำลายใยไหมฟ้าแดนหิมะมากมายเพียงนั้นได้ในพริบตา
หากนางฝืนบุกออกไป ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ที่สุดคือนางจะโดนปาดทั่วร่างจนเหลือเพียงมือสองข้าง
เย่ว์หลิ่วอีหัวเราะคิกคักเอ่ย “ชีวิตต่ำต้อยของชาวบ้านมีอะไรให้น่าช่วยกัน พวกเจ้าผู้บัญชาการแห่งต้าเยี่ยนช่างมีคุณธรรมแห่งสตรีเกินไปแล้ว!”
กู้เจียวเอ่ย “นี่หาใช่คุณธรรมแห่งสตรีไม่ น่าเสียดายที่คนเยี่ยงเจ้าไม่มีวันเข้าใจ”
นางก็หาใช่คนปกติเช่นกัน ทุกวันนางล้วนอดทนกับความทรมานของไอสังหาร
แต่พ่อทูนหัวบอกว่า บางคราวคนเราไปรังแกคนอ่อนแอกว่าหาใช่เพราะจิตใจมีเมตตาไม่ แต่เป็นเพราะคนที่แข็งแกร่งคนหนึ่งต้องมีความผยองของตัวเอง
ผู้แข็งแกร่งไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อรังแก แต่เพื่อปกป้องต่างหาก
เย่ว์หลิ่วอียิ้มเอ่ย “ข้าไม่เข้าใจ อย่างไรเสียข้าไม่มีทางโง่เขลาเหมือนพวกเจ้าผู้บัญชาการต้าเยียน! เจ้า บุตรคนที่เจ็ดแห่งเซวียนหยวน ยังมีเซวียนหยวนฉีอะไรนั่นอีก ล้วนเป็นพวกที่เสี่ยงชีวิตเลือดเนื้อเพื่อชาวบ้านต่ำต้อยกลุ่มหนึ่ง! ข้าแค่จงรักภักดีต่อนายท่านเท่านั้น!”
“ไอ้หยา ใช้ชาวบ้านคนหนึ่งแลกกับชีวิตของผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิง คุ้มยิ่งนัก!”
เย่ว์หลิ่วอีนั่งลงในกระเช้ากลไกลอยฟ้า นางเอ่ยจบก็โบกมือให้กู้เจียว “ลาก่อนนะ ผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิง”
นางดีดนิ้ว คนที่อยู่ด้านล่างสุดเปิดกลไก กระเช้าลอยฟ้าของนางค่อยๆ เคลื่อนลง สุดท้ายก็เข้าสู่ห้องลับใต้ดินไป
ส่วนกลไกเหนือศีรษะของกู้เจียวก็เริ่มทำงาน
นั่นเป็นเครื่องกว้านที่ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่เหนือใยไหมฟ้าแดนหิมะพวกนั้น ทุกครั้งที่เครื่องกว้านขยับ ใยไหมฟ้าแดนหิมะก็จะรัดกู้เจียวแน่นหนึ่งทีละนิด
“ผู้บัญชาการน้อย!”
เป็นเสียงของจ้าวเติงเฟิง
พวกเขาสามคนเจอห้องนี้บนกำแพงเมือง พวกเขาเห็นกู้เจียวยืนอยู่บนไม้กางเขน เบื้องล่างเป็นอากาศว่างเปล่า นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว!
ทั้งสามพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด หมายจะช่วยกู้เจียว!
“อย่าเข้ามา!” กู้เจียวเอ่ย
ฝีเท้าทั้งสามพลันชะงัก
กู้เจียวเอ่ย “มีใยไหมฟ้าแดนหิมะอยู่”
ทั้งสามกระจ่าง มองไม่เห็น พวกเขาแยกกันไปด้านข้าง จึงได้อาศัยแสงและมุมเห็นเส้นใยบางๆ สอดประสานกันในเครื่องกว้านภายในห้อง
นึกไม่ถึงว่าจะมีใยไหมฟ้าแดนหิมะมากมายเพียงนี้ ทั้งสามตื่นตะลึงกันหมด
แผ่นไม้ใต้ฝ่าเท้าแคบมาก กู้เจียวต้องรักษาสมดุลอันสมบูรณ์เอาไว้จึงไม่ตกลงไป
นางวางทวนพู่แดงไว้บนแผ่นไม้แผ่วเบา ค่อยๆ หยิบถุงมือใยไหมฟ้ามาสวมช้าๆ
นางอยากจะลองกระชากขาดให้เป็นรู
แต่นางเพิ่งแตะหนึ่งเส้น เครื่องกว้านก็หมุนแรงขึ้นสองหน!
ใยไหมฟ้าแดนหิมะรัดนางเพิ่มหนึ่งชุ่น!
พู่แดงห้อยลงจากทวนพู่แดงถูกปาดขาดสะบั้น
เหวินเหรินชงเบิกตาโต “เครื่องกว้าน! ทำให้เครื่องกว้านหยุด!”
ปัญหามาแล้ว จะทำให้เครื่องกว้านหยุดอย่างไร
พวกเขาลองใช้อาวุธและอาวุธลับ แต่ยังไม่ทันแตะโดนเครื่องกว้านก็โดนใยไหมฟ้าแดนหิมะปาดเป็นชิ้นๆ แล้ว!
กึก!
เครื่องกว้านหมุนต่อ แผ่นไม้แนวนอนโดนปาดไปชิ้นเล็กๆ
เมื่อแผ่นไม้โดนปาดออก กู้เจียวก็จะร่วงลงไป ทำให้ใยไหมฟ้าแดนหิมะด้านล่างปาดนางเป็นเศษเนื้อ
“จะทำเช่นไรดี” จ้าวเติงเฟิงถาม
เหวินเหรินชงขมวดคิ้วเอ่ย “คงต้องลงมือบนหลังคาแล้ว พวกเจ้าสองคนขึ้นไปบนหลังคา ข้าบอกแล้วพวกเจ้าค่อยทำนะ”
ทั้งคู่พยักหน้า ใช้วิชาตัวเบาขึ้นไปบนหลังคา
เหวินเหรินชิงยืนอยู่หน้าประตู จ้องตำแหน่งของเครื่องกว้านเขม็ง “ไปทางขวาหน่อย ใช่ กระเบื้องแผ่นนั้นแหละ แงะออก ระวังอย่าให้โดนกลไกล่ะ”
ทั้งสองแงะกระเบื้องบนหลังคาออกอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็เห็นเครื่องกว้านเบื้องล่าง
หลี่เซินชักกระบี่ยาวออกมา แทงกระบี่ลงไป ขัดคาอยู่ในฟันเฟืองของเครื่องกว้าน
“สำเร็จแล้ว” จ้าวเติงเฟิงพรูลมหายใจโล่งอก
เพิ่งจะเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงดังกึงๆ จู่ๆ เครื่องกว้านก็มีแรงมากเกินไป กดกระบี่ยาวของหลี่เซินจนขาดสะบั้นทั้งอย่างนั้น!
ที่ย่ำแย่กว่านั้นก็คือ ความเร็วในการหมุนของเครื่องกว้านเริ่มเพิ่มขึ้นกะทันหัน!
ใยไหมฟ้าแดนหิมะรอบด้านปาดใส่กู้เจียวแน่นขนัด!
เหวินเหินชงราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง “จ้าวเติงเฟิงกระบี่ของเจ้าเล่า!”
จ้าวเติงเฟิงเหงื่อเย็นแตกซิก “เครื่องกว้านหมุนเร็วเกินไป! ขัดเข้าไปไม่ได้!”
เหวินเหรินชงตะโกนลั่น “ขัดเข้าไปไม่ได้ก็ต้องขัด! ผู้บัญชาการน้อยได้ตายแน่!”
จ้าวเติงเฟิงร้อนใจจนควันออกทวารทั้งเจ็ด “ข้าก็อยากอยู่นะ! แต่ขัดไม่ได้จริงๆ !”
จบเห่แล้ว จบเห่จริงๆ แล้ว
ใยไหมฟ้าแดนหิมะจะรัดเข้ามาจากทุกทิศทางแล้ว
ผึง!
ปราณกระบี่รุนแรงสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมาจากด้านหลังทั้งคู่ สั่นสะเทือนทั้งคู่กระเด็นออกไป รวมถึงหลังคาครึ่งหนึ่งก็เลิกเปิดขึ้นด้วย!
เหวินเหรินชงยืนอยู่หน้าประตูห้อง โดนควันระเบิดกับเศษกระเบื้องพุ่งเข้าใส่จนลืมตาไม่ขึ้น
“ผู้บัญชาการน้อย…”
หลี่เซินร้องเสียงดัง
เงาร่างแข็งแกร่งสายหนึ่งทะยานมาจากฟ้า คุกเข่าลงข้างหนึ่งบนหลังคา สองมือถือกระบี่ยาวเหล็กกล้าไว้ ฟันลงไปอย่างแรง ขัดเครื่องกว้านให้เสียการควบคุมในการหมุน!
ทุกคนต่างเหงื่อเย็นท่วมร่าง ทอดมองยอดฝีมือที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างเหลือเชื่อ
นี่ไม่ใช่… ผู้อาวุโสที่หลายวันนั้นเฝ้าอยู่หน้ากระโจมผู้บัญชาการน้อย ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปเยี่ยมผู้บัญชาการน้อยที่หมดสติอยู่หรือ
ได้ยินว่าเขาไปสืบข่าวที่เมืองผู่แล้วนี่
ดูแล้วอายุอานามไม่น้อย วรยุทธ์แข็งแกร่งปานนี้เชียวหรือ
กู้เจียวเงยหน้าขึ้นมองท่านเหล่าโหวที่ทะยานลงมาจากฟ้า ที่แท้ก็เป็นพี่ใหญ่ที่ข้าไหว้สาบานนี่เอง
พี่ใหญ่ร่วมสาบานช่างเก่งกาจจริงๆ สู้ๆ ล่ะ!
ท่านเหล่าโหวเมินเฉยต่อสายตาของพี่น้องที่มองมา หากลไกใต้เครื่องกว้าน ก่อนจะรื้อใยไหมฟ้าแดนหิมะรอบตัวกู้เจียวทิ้ง
กู้เจียวที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำความแตกไปนานแล้วหยิบทวนพู่แดงขึ้นจากแผ่นไม้ ยื่นมือไปหาท่านเหล่าโหว
ดึงข้าขึ้นไป!
ท่านเหล่าโหวมองแม่หนูไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่ หลอกให้ตนไหว้สาบาน ก็โมโหจนควันออกหู! เขาอยู่ดีไม่ว่าดีไปสนใจยัยหนูนี่!
ไหนว่าเก่งกาจสามารถมิใช่หรือไร
มีปัญญาก็ขึ้นมาเองสิ!
ไม่ได้ก็ร่วงลงไปเลย!
หากเขาสนใจใยดีนางอีก! เขาก็ไม่ใช่กู้เฉาแล้ว!
กู้เจียวชี้ไปที่เท้าน้อยๆ ของตัวเอง
ข้อเท้าแพลงเสียแล้ว
…
ครึ่งเค่อต่อมา
ท่านเหล่าโหวเหย่ก็แบกกู้เจียวลงมาจากกำแพงเมืองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
……………………………………………………………………..