สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 871 ยึดสองแคว้น!
บทที่ 871 ยึดสองแคว้น!
เดือนสิบ ด่านชางเสวี่ยหิมะแรกโปรยปราย
ยามราตรีมาเยือน เฟิงอู๋ซิวสวมเสื้อกันลมหนาเตอะ สองมือถือเตาอุ่นมือ เดินกลับไปกลับมาอยู่บนพื้นหิมะหน้ากระโจม
เขาทอดมองประตูค่ายเป็นระยะ
ผู้ติดตามก้าวขึ้นหน้าเอ่ยอย่างเป็นห่วง “ท่านประมุขตระกูล ข้างนอกลมแรง ท่านเข้ามาผิงไฟในกระโจมดีกว่านะขอรับ”
ด่านชางเสวี่ยเหน็บหนาวยิ่ง ระหว่างสนทนาลมหายใจที่พ่นออกมาล้วนเป็นสีขาว ลมพัดหน้าก็เจ็บแสบ
เฟิงอู๋ซิวถอนหายใจเฮือกเอ่ย “ข้าไม่เข้า ข้าจะรอพี่ใหญ่ข้า”
ผู้ติดตามรีบเอ่ย “ท่านชายใหญ่ไม่มีทางเป็นอะไรหรอกขอรับ”
เฟิงอู๋ซิวเอ่ยตำหนิตัวเอง “รู้แต่แรกเช่นนี้ ข้าคงไม่อยากกินซาลาเปาเนื้อแพะหรอก”
พี่ใหญ่เขาลงเขาใช้เวลาสามปีจึงถึงบ้าน ตอนอยู่ในป่าก็เดินวนอยู่สามเดือนจึงวนออกมาได้ ครานี้เดินหลงระหว่างทาง ไม่รู้ว่าปีไหนจะได้เจอพวกเขา
ผู้ติดตามยิ้มเจื่อน “นี่มันก็แค่…ท่านพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คาคคิดว่าท่านชายใหญ่ดึกดื่นค่อนคืนไม่หลับไม่นอน วิ่งไปซื้อซาลาเปาให้ท่านนะขอรับ”
เรื่องนี้เล่าแล้วยาว พวกเขาเจอร้านซาลาเปาท้องถิ่นที่พอจะโด่งดังระหว่างทาง เนื่องจากค้าขายดีเกินไป พอฟ้าสางเปิดร้านก็ขายหมดเกลี้ยงแล้ว
นักบวชชิงเฟิงเพื่อให้น้องชายได้กินซาลาเปา กลางดึกจึงไปรอหน้าร้านซาลาเปา
จากนั้น…ก็ไม่มีจากนั้นแล้ว
เฟิงอู๋ซิวมีภารกิจเจรจาสงบศึกอยู่บนบ่า ไม่อาจรั้งอยู่ที่เดิมรอพี่ชายตัวเองได้ จำต้องทิ้งองครักษ์ไว้สองสามคนตามหาอยู่ที่เดิม ส่วนตัวเองติดตามพระนัดดามายังด่านชางเสวี่ยก่อน
เฟิงอู๋ซิวตำหนิตัวเองต่อ “นอกจากนี้ ข้าไม่ควรแลกภารกิจกับหวังซวี่เลย ข้าไปด่านชื่อสุ่ยคงไม่เจอร้านซาลาเปานั่นเข้าหรอก ไม่เจอข้าก็จะได้ไม่อยากกิน”
ผู้ติดตามเอ่ย “ด่านชื่อสุ่ยมีเป็ดทอดกรอบ ปาท่องโก๋ โรยน้ำผึ้งกับงาด้วย รสชาติหอมหวนยั่วน้ำลายนัก!”
เฟิงอู๋ซิวสูดน้ำลาย “รสชาติเป็นอย่างไรรึ”
ผู้ติดตาม “…”
ในกระโจมอีกแห่งหนึ่ง บุรุษรูปร่างสง่าดุจเซียนดั่งหยกคนหนึ่งคลุมเสื้อคลุมจิ้งจอกเงิน นั่งยองๆ อยู่หน้าโต๊ะตัวเล็ก นิ้วมือเรียวประณีตหยิบพู่กันขึ้นมา จิ้มน้ำหมึกเริ่มเขียนจดหมาย
ข้างนอกมีเสียงแค่นหัวเราะลอยมาสองเสียง อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดร้อนระอุ
เพียงไม่นาน หลงอีก็ถือกระบี่ยาวที่ใช้หิมะเช็ดสะอาดแล้วเข้ามาในกระโจม
“รอบที่สิบสามแล้วกระมัง” เซียวเหิงเอ่ยอย่างเอ้อระเหย “แคว้นจิ้นก็ช่างเพียรพยายามเสียจริง”
พระนัดดาไปเจรจาสงบศึกที่ตะวันออก ทันทีที่ข่าวนี้ลือออกไปแคว้นจิ้นก็ให้ความสำคัญอย่างมากทีเดียว
ระหว่างทาง แคว้นจิ้นส่งยอดฝีมือมาลอบสังหารอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายมีสามประการ
หนึ่ง ทำลายการเจรจาสงบศึกกับแคว้นเฉิน
สอง ใช้การตายของพระนัดดาข่มขวัญกำลังใจทหารเยี่ยน
สาม ตัดโอกาสยืมมือแคว้นเฉินมาจัดการแคว้นจ้าว
หลงอีนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายเขา
เซียวเหิงหันหน้ามา ปัดเกล็ดหิมะบนไหล่ให้เขา
หลงอีเงียบงันยิ่ง ไม่โหวกเหวกโวยวาย ปล่อยให้นายน้อยเข้าใกล้
คนที่ได้ใกล้ชิดพิฆาตเวหาเช่นนี้มีน้อยนัก
ความทรงจำที่เกี่ยวกับพิฆาตเวหาแทบจะฟื้นคืนมา แววตาและกลิ่นอายของหลงอีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยด้วย
เซียวเหิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะสูญเสียหลงอีไป แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้หลงอีฟื้นคืนความทรงจำ
เขาถาม “หลงอี จดหมายที่ให้เจ้าส่งไปค่ายทหารแคว้นเฉิน ส่งถึงมือคนผู้นั้นหรือยัง”
หลงอีพยักหน้า
แม้จะพูดไม่ได้ แต่หลงอีก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไม่อาจสนทนากับผู้คนได้เลย
เซียวเหิงยิ้มปลอบใจเขา “หลงอี ได้เวลาเรียนหนังสือแล้ว”
…
อรุณเริ่มเบิกฟ้า
นอกด่านชางเสวี่ย ณ ลานกว้างแห่งหนึ่งระหว่างดินแดนสองแคว้น มีกองทัพเยียนตั้งค่ายปักหลักกันชั่วคราว
เพื่อแสดงถึงความจริงใจ เซียวเหิงรออยู่ในกระโจมนานแล้ว
เวลาในจดหมายที่เขาให้หลงอีเอาไปส่งคือยามเฉินหนึ่งเค่อ ทว่าจนกระทั่งยามซื่อเข้าไปแล้ว คนที่นัดหมายก็ยังไม่มา
อีกฝ่ายสวมชุดคลุมกันลมหนังเตียวสีม่วง รูปร่างกำยำล่ำสัน ผิวสีนวลขาว องคาพยพแข็งกร้าว แต่ดันมีดวงตาประดับรอยยิ้ม
นี่คืออดีตเชลยแคว้นเจา หยวนถัง
ยามนี้เป็นไท่จื่อแห่งแคว้นเฉินแล้ว
หยวนถังยิ้มแย้มเข้ามาในกระโจม ถอดเสื้อคลุมออกโยนให้ขันทีผู้ติดตาม มองเซียวลิ่วหลังพลางเอ่ย “อ้อ ข้าก็นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็ใต้เท้าเซียวนี่เอง ไม่ได้พบกันนาน ยังเหมือนเดิมเลยนะ”
เซียวเหิงบอกตัวตนของตัวเองไปในจดหมายแต่แรกแล้ว
เซียวเหิงยกมือขึ้นบ่งบอกให้เขานั่งลง
หยวนถังนั่งคุกเข่าลงตรงข้ามกับเซียวเหิง หรี่ตาลงอย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวาย “เซียวลิ่วหลัง นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้าไม่ใช่ชาวแคว้นเจาหรอกรึ ไยจึงวิ่งไปเป็นทูตแคว้นเยียนได้เล่า ได้ยินว่าพระนัดดาแคว้นเยี่ยนของพวกเจ้าจะเจรจาขอสงบศึกกับแคว้นเฉิน ไยจึงไม่เห็นเขาเลยเล่า”
ภายในกระโจมนอกจากสองคนนี้แล้ว ยังมีหลงอีกับขันทีของตัวเอง รวมถึงหน่วยกล้าตายแคว้นเฉินด้วยอีกสองคนด้วย
เซียวเหิงเอ่ยอย่างสงบนิ่งไม่สะทกพสะท้าน “ข้านี่แหละพระนัดดา”
“หืม” หยวนถังชะงักงัน
ขันทีข้างกายเซียวเหิงเทน้ำชาให้หยวนถัง
หยวนถังยกมือส่งสัญญาณให้เขาถอยไป
ขันทีค้อมกายถอยไปด้านหลังเซียวเหิง
หยวนถังจ้องเซียวเหิงตาไม่กะพริบ พินิจมองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอยู่พักใหญ่ “เซียวลิ่วหลัง เจ้ากำลังหยอกข้าเล่นรึ เจ้าเป็น…”
เซียวเหิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้ามีนามว่าเซียวเหิง เซียวลิ่วหลังเป็นตัวตนชั่วคราวของข้า บิดาข้าคือเซวียนผิงโหวแห่งแคว้นเจา มารดาข้าคือองค์หญิงซิ่นหยาง มารดาแท้ๆ ของข้าคือไท่หนี่ว์แห่งต้าเยี่ยน”
หยวนถังอ้าปากค้าง
ข้อมูลมากเกินไป เขาย่อยไม่ทัน
บอกก็ตกใจ ไม่บอกก็ตกใจ อย่างไรก็ต้องตกใจอยู่แล้ว ไม่สู้ให้เจ้าได้ตกตะลึงทีเดียวไปเลยดีกว่า
เซียวเหิงไร้ความลังเลใดๆ ก่อนจะเอ่ยต่ออีก “เจียวเจียวโดนอันกั๋วกงแห่งต้าเยียนรับเป็นบุตรสาวบุญธรรมแล้ว เป็นทายาทผู้สืบทอดในอนาคตของจวนกั๋วกง และนางก็เป็นผู้บัญชาการคนใหม่ของทหารม้าวายุทมิฬด้วย กำลังติดตามไท่หนี่ว์ออกรบในครานี้”
“หากเจ้าจะสู้ให้ได้ ก็มาสู้กับพวกเรา”
“เจียวเจียวบอกว่า เจ้าเคยติดค้างบุญคุณนางอยู่หนหนึ่ง นางเขียนจดหมายมาให้เจ้าเองด้วยฉบับหนึ่ง”
เซียวเหิงเอ่ยพลางล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกจากแขนเสื้อกว้างวางบนโต๊ะเล็กตรงหน้าทั้งสอง
หยวนถังกำลังจะยกมือไปหยิบ เซียวเหิงกลับใช้นิ้วกดจดหมายไว้
หยวนถังหันไปมองเซียวเหิงด้วยความฉงน
เซียวเหิงตีหน้าเคร่งเอ่ย “ข้ามาขอเจรจาสงบศึกกับเจ้า หาใช่เพราะข้ามีจดหมายฉบับนี้ไม่ บุญคุณที่เจ้าติดค้างเจียวเจียวยังคงติดค้างต่อไปได้ ข้ามาเพื่อทำข้อตกลงกับเจ้าต่างหาก”
“อ้อ” หยวนถังยิ้มจาง ชักมือกลับอย่างเอ้อระเหย “เจ้าจะทำข้อตกลงอะไรกับข้าเล่า ข้าขอพูดไม่เข้าหูก่อนแล้วกัน ถ้อยคำที่เจ้าพูดมาเมื่อครู่นี้ ข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว! เจ้าคือเซียวลิ่วหลัง! หาใช่พระนัดดาต้าเยี่ยนอะไรนั่นไม่!”
เซียวเหิงพยักหน้า “ดียิ่ง ข้าก็ไม่ได้จะมาทำข้อตกลงกับเจ้าในฐานะพระนัดดาเช่นกัน”
วันนี้หยวนถังตกใจระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่รู้ว่าเซียวลิ่วหลังจะมาไม้ไหนกันแน่
เขายิ้มเย็นเอ่ย “เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้หน่วยกล้าตายของเจ้าจับตัวข้า ใช้ข้าเป็นตัวประกันบีบแคว้นเฉินหรอกกระมัง”
เซียวเหิงเอ่ย “คนในราชสำนักแคว้นเฉินที่มุ่งหวังให้เจ้าตายมีมากมายนัก ข้าจับตัวเจ้าขึ้นมาจริงๆ พวกเขาคงแทบอยากจะให้เจ้าตายในน้ำมือข้าด้วยซ้ำ แล้วจะโดนข้าบีบได้อย่างไร”
รอยยิ้มหยวนถังแข็งทื่อ
“ตำแหน่งไท่จื่อของเจ้าไม่มั่นคง ตอนนั้นหรงเหยา ลุงของเจ้าช่วยป๋อชินอ๋องก่อกบฏ เจ้าเป็นคนนำราชโองการไปจับตัวเขาด้วยตัวเอง แม้ว่าเขาจะตายด้วยน้ำมือของป๋อชินอ๋อง แต่แล้วจะไม่ตายด้วยน้ำมือเจ้าเช่นกันด้วยหรือ ตระกูลหรงกับเจ้าดูลักษณะปรองดองกันแต่ที่แท้แตกแยกกันตั้งนานแล้ว ข้าขอพูดตามตรงว่า คนที่ต้องรับศึกนอกศึกในที่แท้จริงในยามนี้ก็คือเจ้า”
หยวนถังเอ่ย “ดังนั้นข้าจึงยิ่งต้องชนะในศึกนี้ให้ได้ และสั่งสมบารมีความมั่งคั่งให้มากพอจากต้าเยียนอย่างไรเล่า!”
เซียวเหิงถาม “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้ายังมีกำลังเหลือมากพอจะจัดการกับต้าเยี่ยน”
หยวนถังมองเขาอย่างประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
เซียวเหิงถอนหายใจอย่างเสียดาย “กองทัพแคว้นจ้าวมาถึงเขตแดนตะวันตกของแคว้นเฉินแล้ว หากพวกเรากับแคว้นจ้าวเปิดศึกใส่แคว้นเฉินพร้อมกัน ไม่รู้ว่าแคว้นเฉินจะต้านได้หรือไม่ ‘พวกเรา’ ที่ข้าหมายถึงคือแคว้นจ้าว แคว้นเยียนและแคว้นเจา”
หยวนถังขมวดคิ้วมุ่น “เจ้า!”
เซียวเหิงเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “หากเจ้าไม่เชื่อก็กลับไปรอได้ ข้ารับรองได้เลยว่าไม่เกินสามวัน ข่าวกองทัพแคว้นจ้าวประชิดเมืองจะถูกสายลับของพวกเจ้าส่งมาถึงมือเจ้าแน่นอน”
หยวนถังกำหมัดแน่นก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “แคว้นเจาไม่ช่วยพวกเจ้าหรอก!” และแคว้นจ้าวก็ไม่ขวัญกล้าเพียงนั้นด้วย!
เซียวเหิงยิ้มจางๆ “แคว้นจ้าวไปโจมตีต้าเยี่ยน ระยะทางยาวไกล ได้ไม่คุ้มเสีย ไหนเลยจะเร็วเท่าฮุบดินแดนแคว้นใกล้เมืองเคียงอย่างพวกเจ้าเล่า ยิ่งไปกว่านั้น ทางแคว้นจ้าวก็เชื่อมั่นแล้วว่าแคว้นเจากับต้าเยี่ยนจะเปิดศึกกับแคว้นเฉิน ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะไม่มีความกล้าไปแบ่งน้ำแกงถ้วยนี้”
หยวนถังเอ่ยเหน็บ “พวกเขาจะเชื่อได้อย่างไร!”
เซียวเหิงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “นายน้อยกองทัพตระกูลกู้ของแคว้นเจา และปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นนำลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้แคว้นเยียนแฝงตัวเข้าไปในแคว้นจ้าวแล้ว ข้าว่าน้ำหนักของสองคนนี้เพียงพอจะได้รับความเชื่อถือจากแคว้นจ้าวแล้วกระมัง”
หยวนถังได้ฟังถึงตรงนี้ ก็ไม่อาจรักษาความสงบนิ่งของจิตใจได้อีก “จะจะจะ…เจ้าอย่าได้ทำเกินไปเชียวนะ! เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้ารึ!”
เซียวเหิงถอนใจ “อันที่จริงข้าจะเป็นพระนัดดาหรือไม่นั้นไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญก็คือข้าสามารถขัดขวางพวกเจ้าแคว้นเฉินไม่ให้โดนสามแคว้นยกทัพไปปราบได้ เลือกเถิด ไท่จื่อแคว้นเฉิน”
หยวนถังตบโต๊ะดังปั้ง “เซียวลิ่วหลัง เจ้ากำลังเหยียบคนล้ม! เจียวเจียวรู้หรือไม่ว่าเจ้าต่ำช้าเพียงนี้!”
เซียวเหิงไม่เหลือบตาขึ้นแม้แต่น้อย “เจ้าคิดดูดีกว่าว่าจะจัดการกับการยกทัพมาปราบของสามแคว้นได้อย่างไร”
เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินออกไปจากกระโจม
คนถึงหน้าประตูแล้ว กลับหยุดฝีเท้าลง ราวกับจู่ๆ นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ร้องอ๊ะขึ้นคำหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าชื่นมื่น “แต่หากเจ้ายอมร่วมมือกับข้า ข้ารับรองได้ว่าจะแบ่งดินแดนแคว้นจิ้นกับเจ้า”
“แคว้นจิ้น” หยวนถังตกตะลึงอีกหน
ทำให้หยวนถังเข้าสู่สภาวะสิ้นหวังก่อน ค่อยวาดขนมเปี๊ยะก้อนโตให้เขา
ใครมันจะไปทนไหวเล่า
และตราบใดที่หยวนถังยอมเข้าฝั่งแคว้นเยี่ยน ทางแคว้นจ้าวก็จัดการได้ง่ายขึ้นเยอะเลย
“ฮ่องเต้แคว้นจ้าว หากท่านไม่ยอมรับการเจรจาสงบศึก เช่นนั้น แคว้นเยี่ยน แคว้นเจาและแคว้นเฉินก็คงต้องเปิดศึกกับท่านแล้ว!”
“แคว้นเฉินไม่มีทางช่วยพวกเจ้าหรอก! แคว้นเยี่ยนยังเอาตัวเองไม่รอด ยังจะมาตีพวกข้าได้อีกรึ”
“นี่เป็นลายพระหัตถ์ของไท่จื่อแคว้นเฉิน เขาลงนามร่วมพันธมิตรกับต้าเยียนแล้ว ส่วนแคว้นเยี่ยน เมืองฉวี่หยางส่งรายงานด่วนมาแล้วว่าแคว้นเหลียงปราชัย!”
ไม่เสียทหารสักนายให้ตายเปล่า ก็ยึดทั้งแคว้นจ้าวและแคว้นเฉินได้แล้ว
นี่เรียกว่ากองทัพที่ไม่รบแต่สยบทหารของข้าศึกได้!
……………………………………………………………………..