สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 869 บดขยี้ด้วยฝีมือ!
บทที่ 869 บดขยี้ด้วยฝีมือ!
ประโยคนี้เอ่ยออกไป ทุกคนกลับคล้ายสัมผัสถึงจิตวิญญาณแห่งเซวียนหยวนอันแข็งแกร่ง เหล่าทหารในสนามรบขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ขวัญกำลังใจของทหารม้าเฮยเฟิงกับหน่วยเงาทมิฬเพิ่มขึ้นพรวดๆ ทหารม้าเฮยเซียวของตระกูลหันราวกับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากวิญญาณแห่งเซวียนหยวน
เมืองผู่เป็นสถานที่ฝังกระดูกของกองทัพเซวียนหยวน
เมื่อหลายปีก่อน กองทัพเซวียนหยวนนับไม่ถ้วนฝังร่างอยู่ ณ ที่นี้ บ้างรบจนตัวตาย บ้างก็ตายโหง
บัดนี้บุตรคนที่เจ็ดแห่งเซวียนหยวนหวนคืน วิญญาณวีรบุรุษระหว่างฟ้าดินเหมือนต่างถูกอัญเชิญออกมา ลมตะวันตกหอบหนึ่งพัดมา ทหารม้าตระกูลหันทั้งหมดขนลุกขนพองกันขึ้นมาเป็นระลอก สันหลังเย็นวาบขึ้นอย่างไร้สาเหตุ!
พวกเขาส่วนใหญ่ต่างลืมคิดไปแล้วว่าตระกูลเซวียนหยวนมีบุตรกี่คนกันแน่ มีเพียงนายท่านห้าหันที่มีปฏิกิริยาขึ้นมา
เขาเอ่ยเสียงเย็น “ตระกูลเซวียนหยวนมีบุตรทั้งหมดหกคน มีคนที่เจ็ดออกมาตั้งแต่เมื่อใดกัน เจ้าสวมรอยเป็นคนของตระกูลเซวียนหยวนชัดๆ !”
อย่าพยายามคิดโน้มน้าวคนที่หัวแข็งดื้อรั้นเลย เพราะเขาไม่ฟังด้วยซ้ำ
เหลี่ยวเฉินไม่ไปเปลืองน้ำลายกับนายท่านห้าหัน เขาพลิกมือเสียบกระบี่ยาวเข้าฝักที่อยู่บนอานม้า แล้วชักทวนยาวออกจากแผ่นหลังแทน
ท่าทางการชักทวนยาวและกระบวนท่าอันธพาลที่จบในกระบวนเดียวนั้นทำให้นายท่านห้าหันตื่นตะลึงขึ้นมาอีกหน
นายท่านห้าหันสีหน้าเคร่งขรึมมองเขา “นี่มัน…”
“โจรกบฏ! ตายซะ!”
เหลี่ยวเฉินฟันทวนลงมา นายท่านห้าหันแม้จะใช้กระบี่ยาวต้านไว้ แต่ครึ่งลำตัวเขาก็ชาดิก สองขาทรุดลงไปในพื้นดินเสียงดังพรวด เห็นได้ชัดว่ากระบวนทวนนี้ของอีกฝ่ายมากมายเพียงใด
“ม้าปีศาจดำ!” นายท่านห้าหันตะโกนลั่น ม้าปีศาจดำพุ่งเข้าชนเหลี่ยวเฉิน
เป้าหมายของเหลี่ยวเฉินไม่ใช่มัน แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองโดนชนกระเด็นได้เช่นกัน ในขณะที่เขากำลังจะซัดฝ่ามือใส่ม้าปีศาจดำนั้น ราชาม้าเฮยเฟิงก็ควบวิ่งมาหา แล้วชนม้าปีศาจดำกระเด็นไปอย่างไร้ปรานี!
ม้าปีศาจดำหนุ่มร่างกายแข็งแรง นึกไม่ถึงว่าจะโดนม้าแก่วัยสิบหกปีชนกระเด็นทั้งอย่างนั้น!
แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือหันเย่ที่ประมือกันกับกู้เจียวอยู่ไม่ไกล
เดรัจฉานนี่ ตัวเองเลี้ยงมันมาหลายปีเพียงนั้น พริบตาเดียวมันก็ยอมแพ้ให้ผู้อื่นแล้ว ช่างเป็นสุนัขป่าตาขาวเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ !
หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นตนคงไม่ฟังฉู่หนานปล่อยให้มันไปตามยถากรรมหรอก
เขาควรจะจับมันกลับมา!
“อ้ากกก”
หันเย่โดนฝ่าเท้าหนักๆ ไปทีหนึ่ง กระเด็นลงพื้นอย่างแรง!
กู้เจียวถือทวนพู่แดงยืนอยู่เบื้องหน้าเขา กดตามองต่ำพลางเอ่ย “อย่าเสียสมาธิสิ ระวังจะตายเอา”
หันเย่กุมหน้าอกที่เจ็บแปลบพลางลุกขึ้นมา ดวงตาเขาลุกโชนจ้องมองกู้เจียว “เจ้า…ใช้วิธีการพิสดารชั่วร้ายบางอย่างเพื่อเพิ่มวรยุทธ์ของตัวเองใช่หรือไม่”
“สู้ไม่ได้ก็บอกมาตรงๆ ” กู้เจียวพาดทวนยาวไว้บนบ่าตน ท่าทางนี้เหมือนกันกับเซวียนผิงโหวพาดดาบใหญ่ทุกกระเบียดนิ้ว
นางยังใช้ทวนวัดหมวกเหล็กของทหารม้าตระกูลหันนายหนึ่งร่วง แล้วเหยียบหมวกเหล็กด้วยเท้าข้างหนึ่งด้วย “ท่านลุงห้าเจ้าใช้ยามิใช่หรือ แต่เจ้าดูสิ เขาชนะหรือไม่”
หันเย่หันหน้าไปมองลุงห้า เห็นยอดฝีมือหายากของตระกูลหันโดนคนผู้หนึ่งที่เรียกตัวเองว่าบุตรคนที่เจ็ดแห่งเซวียนหยวนซัดเสียไม่อาจโต้คืนได้อย่างผิดคาด
ก่อนจะโดนซัดกระเด็นไปอีกหน นายท่านห้าหันกระแทกพื้นอย่างแรง กระอักเลือดดำออกมาจากปาก
“เป็นไปได้อย่างไร…”
นี่ลุงห้าของเขาเชียวนะ!
ผู้เคราะห์ดีที่รอดจากพิษจื่อเฉ่ามาได้ มีกำลังภายในอันน่าตกใจ รวมถึงร่างกายที่เรียกว่า ‘อมตะ’ ไม่กลัวเจ็บด้วย
ร่างกายอมตะเป็นคำเรียกเกินจริง เขาเพียงแค่อดทนต่อความเจ็บปวดได้มากกว่าคนปกติก็เท่านั้น
ไม่ว่าบาดเจ็บภายในจะรุนแรงเพียงใด วันรุ่งขึ้นก็จะหายไปโดยไม่ต้องรักษา
ครานี้ก็จะต้อง…
ความคิดเพิ่งผุดวาบ เหลี่ยวเฉินก็ซัดฝ่ามือสะเทือนใส่ตันเถียนของเขาแตกซ่าน!
เหลี่ยวเฉินมีโอกาสนับไม่ถ้วนในการสังหารเขาตาย แต่เหลี่ยวเฉินไม่ได้ทำเช่นนั้น เหลี่ยวเฉินเอาแต่ซัดให้เขาล้มกระบวนแล้วกระบวนเล่า!
ใช่แล้ว พิษจื่อเฉ่าฟื้นฟูร่างกายของคนได้ แต่มันสามารถฟื้นฟูปณิธานในการต่อสู้ของนักรบได้หรือ
เมื่อปณิธานในการต่อสู้สุดท้ายของนายท่านห้าหันถูกโจมตีพังทลายลง เขากระอักโลหิตนอนจมกองเลือดเต็มพื้น เขาไม่ได้หมดแรง แต่เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างมหาศาลระหว่างตัวเองกับเหลี่ยวเฉินแล้ว
เขาไม่ใช่อัจฉริยะด้านการฝึกยุทธ์อะไรเลย เพราะโดนพิษจื่อเฉ่าจึงได้มีศักยภาพน่าตกใจเช่นนี้
แต่เหลี่ยวเฉินไม่ได้ เขาแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!
นายท่านห้าหันยอมรับชะตากรรมในที่สุด เขาหลับตาลงรับจุดจบของตัวเอง
เหลี่ยวเฉินจ่อทวนตรงหว่างคิ้วเขา แต่ไม่ได้แทงลงไป
“ตอนนั้นเจ้าปล่อยพี่หกข้าไป ชีวิตนี้ นับว่าข้าคืนให้เจ้าแทนพี่หก”
เอ่ยจบ เหลี่ยวเฉินก็ชักทวนกลับ หันหลังจากไปอย่างแน่วแน่
ทว่าจู่ๆ นายท่านห้าหันก็ลืมตาโพรง ทอดมองแผ่นหลังจากไปของเหลี่ยวเฉินอย่างอ่อนระโหย ถามขึ้นเสียงแหบพร่า “เสี่ยวลิ่วเขา…ยังมีชีวิตอยู่หรือ”
เหลี่ยวเฉินไม่ได้ตอบเขา
เขาพลิกตัวขึ้นหลังม้าก่อนจะเอ่ยกับกู้เจียวที่กำลังประมือกับหันเย่ “ข้าจะไปสังหารกงซุนอวี่ ที่นี่ยกให้เจ้านะ!”
กู้เจียวใช้ทวนฟาดหันเย่ลงกับพื้น “ไปเถิด!”
เหลี่ยวเฉินพายอดฝีมือหลายสิบนายของหน่วยเงาทมิฬไล่สังหารเข้าไปในอุโมงค์ประตูเมือง
เขาขี่ม้า คนที่เหลือใช้วิชาตัวเบา
หลังเข้าคูเมืองมาแล้ว ทุกคนก็แยกย้าย เร้นกายหายวับไป!
คนกลุ่มใหญ่จะดึงดูดสายตาผู้คน และถูกกองทัพจิ้นล้อมไว้ได้ง่าย แยกกันปฏิบัติการปิดบังได้มากกว่า
อีกเดี๋ยวพวกเขาจะไปรวมตัวกันที่จวนเจ้าเมือง
ใครจะคิดว่าเขาเพิ่งเข้าเมืองมา บนกำแพงเมืองก็มีเสียงร้องตกใจของเด็กลอยมาแล้ว
เขาเหลือบตาขึ้นมอง
เด็กผู้ชายวัยห้าขวบคนหนึ่งกำลังร่วงลงมาจากกำแพงเมือง ความหวาดผวาเต็มสีหน้าถูกเขาเห็นอยู่ในสายตา
เขาทะยานตัวขึ้นมารับอีกฝ่ายกลางอากาศ
ตอนนี้ล่ะ!
ห่าอาวุธลับพร้อมไอสังหารก็พวยพุ่งมาจากกำแพงเมือง!
เด็กคนนี้เป็นเพียงเหยื่อล่อเท่านั้น!
หากเขาไม่ติดกับ เด็กคนนี้ก็จะตกลงมาตายโดยเปล่าประโยชน์!
หากเขาติดกับ เช่นนั้นก็จะโดนอาวุธลับยิงตายด้วยกันกับเด็กคนนี้!
ช่างเป็นแผนการชั่วร้ายเสียจริง!
เหลี่ยวเฉินสะบัดแขนเสื้อโบก ชักกระบี่เสียบเข้ากำแพงเมือง เขาเหยียบคมกระบี่ด้วยเท้าข้างหนึ่ง แรงดีดมหาศาลทำให้ทะยานตัวขึ้นไปข้างบนราวกับลูกธนูออกจากคันชัก!
อาวุธลับห่าใหญ่ปักเข้ากระบี่ดังเคร้งๆ และยิงโดนพื้นหินอ่อนแข็งปั้กเช่นกัน
พาหนะของเขาได้รับบาดเจ็บแล้ว ไม่อาจต่อสู้ต่อได้
เขาอุ้มเด็กไว้ในอ้อมอกคุกเข่าข้างเดียวในมุมถนน “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
เด็กตกใจจนสติหลุดไปแล้ว แม้แต่ร้องไห้ก็ไม่ร้องสักแอะ
เขาตีหน้าเย็นชา หันหลังทอดมองไปยังกำแพงเมืองสูงตระหง่าน
บนกำแพงเมือง เด็กสาวอาภรณ์ชมพูร่างอรชรนางหนึ่งกำลังแย้มยิ้มมองเขา
“เจ้าคือบุตรคนที่เจ็ดของเซวียนหยวนรึ เซวียนหยวนฉีที่วันนั้นโดนนายท่านสังหารตายก็คือบิดาเจ้า น่าสนใจ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะหลบอาวุธลับบุปผาโปรยของข้าได้!”
น่าสนใจอย่างนั้นรึ
โยนเด็กน้อยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ลงจากกำแพงเมือง นางกลับเอ่ยออกมาจากปากอย่างไม่แยแส
เหลี่ยวเฉินหันไปวางเด็กไว้ในที่ที่ปลอดภัย ไอสังหารดุจดาบทอดมองบนกำแพงเมือง ระยะห่างสูงเพียงนี้ย่อมไม่มีทางใช้วิชาตัวเบาขึ้นไปได้ แต่เมื่อครู่นี้เขาเสียบกระบี่ไว้ สามารถยืมแรงนี้ได้
ลองดูแล้วกัน!
เหลี่ยวเฉินชักทวนยาวออกจากด้านหลัง เสียบลงบนกระบี่ยาว
มีจุดให้ยืมแรงสองจุดแล้ว น่าจะไม่มีทางพลาด!
เหลี่ยวเฉินทะยานตัวขึ้น
“ไม่กระมัง ปีนขึ้นกำแพงเมืองด้วยมือเปล่า! เหอะ เจ้ามั่นอกมั่นใจกับวิชาตัวเบาของตัวเองเกินไปนะ!” เย่ว์หลิ่วอีก็ไม่ได้ลงมือ เอาแต่มองเหลี่ยวเฉินอย่างนั้น นางรอให้คนผู้นี้ร่วงลงไปเอง!
ใครจะคิดว่าเหลี่ยวเฉินจะขึ้นมาได้จริงๆ !
เย่ว์หลิ่วอีเบิกตาโพรงอย่างเหลือเชื่อ มองบุรุษที่ทะยานมาตรงหน้าตน ตกใจจนลืมลงมือไปเลย
ชิ้ง!
ปราณกระบี่ทรงพลังสายหนึ่งฟันใส่ด้านหลังเย่ว์หลิ่วอี!
เหลี่ยวเฉินแววตาเป็นประกายวาบ ซัดผ่ามือใส่กำแพงของกำแพงเมือง ใช้ฝ่ามือยันร่างตีลังกากลับหัวหลบการโจมตี
ชั่วขณะต่อมา ปราณกระบี่สี่ห้าสายที่ทรงพลังกว่าเดิมก็พุ่งเข้าฟาดฟันเหลี่ยวเฉิน!
นี่เป็นการลอบโจมตีกันซึ่งๆ หน้า!
เหลี่ยวเฉินสีหน้าพลันเปลี่ยน
หลบไม่ได้…
เขาโดนปราณกระบี่รุนแรงซัดกระเด็นลงจากกำแพงเมือง
ชั่วขณะที่ทั่วร่างชาดิก กำลังภายในกับวิชาตัวเบาไม่อาจใช้ได้
ต้องตกลงไปตายแล้วหรือ
เขาทอดมองท้องนภาสีฟ้า เมฆขาวโพลนไม่รู้มุดออกมาเมื่อใด เขาเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนมีเมตตาของบิดา
ยังไม่ได้ล้างแค้นให้ท่านพ่อเลย ก็จะ…มาตายไปทั้งอย่างนี้แล้วหรือ
ชั่วขณะนั้น เงาร่างในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่งก็ทะยานตัวขึ้นกลางอากาศด้านหลัง โอบเอวที่สวมชุดเกราะของเขาเอาไว้ด้วยมือหนึ่ง พาเขาร่อนลงพื้น
เขาใช้ปลายเท้าแตะพื้น ทั่วร่างพลันหนักอึ้ง หันหน้าไปมองบุรุษที่ปรากฏกายขึ้นกลางอากาศข้างกายเขา แววตาพลันตื่นตะลึงอย่างหนัก “หนิวปี๋จื่อ”
นักบวชชิงเฟิงไม่สนใจเขา ทำเพียงแหงนหน้า ดวงตาเย็นเยียบทอดมองนักกระบี่ห้านายบนกำแพงเมืองก่อนจะเอ่ยนิ่งๆ “ชีวิตของเขา เป็นของข้า”
เหล่ายอดฝีมือสำนักกระบี่พากันขมวดคิ้ว
ไอ้หนูนี่จัดการยากอยู่แล้ว ไยจึงมีเพิ่มมาอีกคนอีก
ดวงตาเมล็ดซิ่งของเย่ว์หลิ่วอีเบิกโพรง “นักบวชหน้าเหม็นนี่เหมือนท่าทางจะแข็งแกร่งเช่นกันนะ จับตัวเขาให้ข้า! พวกเขาสองคนข้าเอาหมด! ข้าจะจับพวกเขาไปลองยา!”
ยอดฝีมือสำนักกระบี่ทั้งห้าพากันทะยานลงจากกำแพงเมือง!
นักบวชชิงเฟิงมองเหลี่ยวเฉินที่มีสีหน้าซีดขาวก่อนจะเอ่ย “เจ้าบาดเจ็บ”
เหลี่ยวเฉินปาดคราบเลือดตรงมุมปาก “ไม่เป็นไร เจ้ามาได้อย่างไร”
นักบวชชิงเฟิงเอ่ย “คำถามนี้ข้าควรเป็นคนถามมากกว่า แต่ก่อนที่เจ้าจะตอบข้า ข้ามีอีกคำถามหนึ่ง”
เห็นแก่ที่คนผู้นี้เจตนาดีช่วยเหลือ เหลี่ยวเฉินจึงไม่เถียงเขาอย่างหาได้ยาก “เจ้าว่ามา”
นักบวชชิงเฟิงถือซาลาเปาแห้งห่อหนึ่งไว้ในมือ ถามอย่างจริงจัง “ที่นี่ใช่ด่านชางเสวี่ยหรือไม่”
เหลี่ยวเฉิน “…”
ด่านชางเสวี่ยอยู่ตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นี่…คือตะวันตกเฉียงเหนือ