สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 868 บุตรคนที่เจ็ดแห่งตระกูลเซวียนหยวน!
บทที่ 868 บุตรคนที่เจ็ดแห่งตระกูลเซวียนหยวน!
ชายแดนในเดือนสิบ ลมหนาวพัดเอื่อยๆ
หลังจากวางแผนการทำศึกทั้งหมดแล้ว ซ่างกวานเยี่ยนก็รั้งอยู่ที่เดิมรอคอยกองทัพใหญ่ของหวังหม่าน ส่วนกู้เจียวกับเซวียนผิงโหวนำทัพออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน
ทั้งสองเพิ่งจะขึ้นนั่งม้าศึกของตัวเอง เงาร่างอันห้าวหาญเกรียงไกรสายหนึ่งก็ควบม้าทะยานมาหาอย่างองอาจ
“เฮ้ย! พวกเจ้าสองคนไร้คุณธรรมจรรยานัก! ตัวเองออกไปสู้รบ! โยนข้าทิ้งไว้ในกระโจมทหารบาดเจ็บคนเดียว! ช่างไร้คุณธรรมจริงๆ !”
เป็นถังเย่ว์ซาน
“เจ้าบาดเจ็บนี่นา” กู้เจียวเอ่ย
ถังเย่ว์ซานโต้กลับอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นเรียกว่าบาดเจ็บด้วยรึ แค่โดนมดกัดหน่อยเดียวเอง!”
กู้เจียวหน้าทะมึนมองเขา
เจ้าม้าหนุ่มน้อย ระวังน้ำเสียงในการพูดจาของเจ้าด้วย ไม่เช่นนั้นข้าจะฝังเข็มเจ้า!
ถังเย่ว์ซานกระแอมเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “ถอนพิษแล้วก็หายแล้ว ข้าไม่สน ข้าจะไปด้วย!”
คนอย่างเขากระหายสงครามมาตั้งแต่เกิด ขังเขาไว้ในกระโจมทหารบาดเจ็บ เขาไม่เอาหรอก!
“เช่นนั้นก็ตามข้ามา” เซวียนผิงโหวเอ่ย
ถังเย่ว์ซานค่อนข้างลังเล…และเดียดฉันท์ “เจ้ามีฉังจิ่งแล้วยังเอาข้าไปทำไมอีก อยู่กับเจ้าข้าแสดงฝีมือทั้งหมดของผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้… ไอ้หยา…”
บังเหียนของเขาถูกเซวียนผิงโหวกระตุกไปแล้ว
…
ณ จวนเจ้าเมือง เมืองผู่
เย่ว์หลิ่วอีเย้าแหย่ม้าเฮยเซียวของตัวเองที่เพิ่งได้มาใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่ ม้าเฮยเซียวไม่ได้สีดำทุกตัว อย่างเช่นของนายท่านเป็นสีน้ำตาลเข้ม ของนางเป็นสีน้ำตาลแดง
เห็นกงซุนอวี่พาจูจางขวงกับพวกแม่ทัพกลับมาจากค่ายทหาร นางก็แย้มยิ้มกระโดดลงจากหลังม้า “นายท่าน!”
กงซุนอวี่ผงกศีรษะน้อยๆ นางเป็นแม่นางน้อย กงซุนอวี่จึงผ่อนปรนกับนางกว่าพวกบุรุษฉกรรจ์อย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาเอ่ย “ยังเช้าอยู่เลย ไม่นอนต่ออีกหน่อยรึ”
“ไม่แล้วล่ะ! ข้าอยากขี่ม้า!” นางเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ได้ยินว่านายท่านจับนักโทษได้อีกแล้ว ไม่ทราบว่า…จะให้รางวัลแก่ข้าได้หรือไม่”
กงซุนอวี่เอ่ยอย่างใจกว้าง “รอถามจบแล้วข้าจะให้เจ้า”
เย่ว์หลิ่วอียิ้มเอ่ย “ดีจริงๆ ! มีคนใหม่มาให้ลองกลไกอีกแล้ว!”
จูจางขวงแอบตัวสั่นเงียบๆ
เห็นรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กสาวคนนี้แล้ว ก็นึกว่านางเป็นแม่นางน้อยไร้พิษไร้ภัย แต่ตนกลับเคยเห็นนางใช้กลไกทรมานคนเป็นๆ พวกนั้นตายทั้งเป็นมาแล้ว
นี่มันปีศาจน้อยชัดๆ
นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เย่ว์หลิ่วอีก็กระทืบเท้า แค่นเสียงเอ่ย “เหตุใดเซี่ยสิงโจวยังไม่กลับมาอีก กะอีแค่ทหารผีสามร้อยคนก็ทรมานอยู่ได้ตั้งนาน ไร้ประโยชน์นัก! นายท่าน ข้าจะไปช่วยเขา!”
“อืม” กงซุนอวี่ขานรับ
เย่ว์หลิ่วอีแย้มยิ้มอย่างปลอดโปร่ง พลิกตัวขึ้นหลังม้า กำลังจะควบออกจากจวน จู่ๆ องครักษ์นายหนึ่งก็สีหน้ารีบร้อนเดินเข้ามา ประสานมือคำนับให้กงซุนอวี่ก่อนจะเอ่ย “เรียนท่านแม่ทัพใหญ่! สายลับของพวกเราพบความเคลื่อนไหวของกองทัพเยียนบนถนนหลวงขอรับ! มีทหารม้าจำนวนมากกำลังมาทางเมืองผู่!”
ไม่รอให้กงซุนอวี่เอ่ยปาก เย่ว์หลิ่วอีก็แค่นเสียงขึ้นมาก่อน “กองทัพเยี่ยน พวกเขาขวัญกล้าถึงเพียงนี้เชียวรึ เมื่อวานเพิ่งสังหารแม่ทัพใหญ่เซวียนหยวนของพวกเขาไป วันนี้ก็กล้ามาล้างแค้นถึงที่! ช่างไม่กลัวตายจริงๆ !!”
กงซุนอวี่เอ่ยเสียงนิ่ง “กำลังทหารเท่าใด”
“ราวๆ …สามหมื่นขอรับ!” องครักษ์เอ่ย
เย่ว์หลิ่วอีเย้ยหยันอย่างไม่แยแส “กะอีแค่ทหารม้าสามหมื่นนายเท่านั้น นายท่าน! ท่านให้กำลังทหารข้าสองหมื่น ข้าจะออกเมืองไปสังหารพวกมัน!!”
กงซุนอวี่ไม่ได้รีบร้อนตกลง แต่ถามองครักษ์ “เป็นทหารม้าเฮยเฟิงของตระกูลเซวียนหยวนรึ”
“เหมือนจะใช่ขอรับ!” องครักษ์เอ่ย “พวกเขาชูธงอินทรีบังเหินของตระกูลเซวียนหยวน!”
เย่ว์หลิ่วอีเอ่ยอย่างตื่นเต้น “นายท่าน ข้าจะไปฟันธงอินทรีบังเหินของพวกมันเอง!”
กงซุนอวี่เอ่ยเสียงนิ่ง “เรื่องพรรค์นี้ ไม่ต้องถึงมือกำลังทหารแคว้นจิ้นของข้าหรอก ตระกูลหันอยากประมือกับทหารม้าเฮยเฟิงมาโดยตลอด เช่นนั้นก็ให้ตระกูลหันได้พิสูจน์ให้ข้าได้ดูแล้วกัน!”
…
กองกำลังสามหมื่นนายของกู้เจียวกับเหลี่ยวเฉินใช้เวลาหนึ่งวันเดินทัพมาถึงป่าเล็กๆ ละแวกเมืองผู่
กู้เจียวเอ่ย “พวกเราพักกันที่นี่คืนหนึ่ง ฟ้าสางค่อยโจมตีเมือง”
“ได้” เหลี่ยวเฉินรู้สึกว่าไม่เลว
กู้เจียวก็ไม่กังวลว่าร่องรอยของพวกนางจะเปิดเผย แล้วทำให้กองทัพจิ้นมาล้อมโจมตีด้วย จากที่นางรู้จักกงซุนอวี่นั้น เป็นไปได้มากที่กงซุนอวี่จะดูเบากองกำลังทหารสามหมื่นนายนี้ เขาต้องให้กองทัพจิ้นรั้งอยู่จัดการกับกองกำลังหลักของต้าเยี่ยนแน่
กงซุนอวี่น่าจะส่งตระกูลหันมาจัดการพวกนางแทน
ตระกูลหันเพื่อยืนยันในกำลังทหารอันมหาศาลที่สุด ไม่มีทางเลือกออกจากเมืองมาโจมตียามวิกาลหรอก
กู้เจียวนั่งอยู่บนพื้น หันหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ในอ้อมอกกอดหอกพู่แดงไว้ หลับตาลงเอ่ย “พวกมันจะใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามอ่อนกำลัง รอพวกเราอยู่ในเมือง”
ต้นไม้ลำใหญ่ กว้างพอให้สองคนพิงแล้วไม่เบียดกัน
เหลี่ยวเฉินนั่งข้างกายนาง ปรายตามองนางแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าสงสัยมาโดยตลอด”
“สงสัยอะไรรึ” กู้เจียวถาม
เหลี่ยวเฉินเอ่ยเสียงเบา “เจ้า… มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเซวียนหยวนหรือไม่”
กู้เจียวเอ่ย “ไยจึงถามเช่นนี้”
เหลี่ยวเฉินทอดมองกิ่งไม้เหนือศีรษะกู้เจียวก่อนจะเอ่ย “หอกพู่แดงของท่านลุงใหญ่ข้าอยู่ในมือเจ้า ข้ารู้ว่ามันเป็นความบังเอิญ แต่ก็มักจะรู้สึกว่า…เหมือนมันถูกกำหนดไว้แล้ว ว่ามันควรเป็นของเจ้า”
กู้เจียวเงียบงัน
เหลี่ยวเฉินเอ่ย “ชุดศึกบนตัวเจ้าเป็นของเจ้าแห่งเงาทมิฬรุ่นแรก ชุดเกราะเป็นท่านลุงใหญ่ข้าสร้างขึ้นใหม่ แต่ชุดเกราะตัวนั้นเดิมทีก็เป็นเจ้าแห่งเงาทมิฬรุ่นแรกมอบให้เขา”
ที่แท้ชุดเกราะดำของข้าก็มีความเป็นมาเช่นนี้
อันที่จริงยังมีประโยคหนึ่งที่เหลี่ยวเฉินไม่ได้เอ่ยออกไป
ชุดเกราะดำเดิมทีไม่อาจแยกส่วนได้ ยามนี้พวกมันได้มารวมกันในที่สุด ราวกับว่า… รอคอยเจ้าของที่แท้จริงของตัวเอง
ลมอ่อนพัดโชยมาระลอกหนึ่ง
เหลี่ยวเฉินหันไปมองนางอีกหน พบว่านางกอดพู่แดงหลับไปแล้ว
ราชาม้าเฮยเฟิงขยับมาใกล้อย่างเงียบๆ งับเสื้อคลุมกันลมอบอุ่นตัวหนึ่งลงมาจากรถเสบียง วางลงบนร่างของกู้เจียวเบาๆ
เหลี่ยวเฉินหลับตาลงอย่างอิจฉา
ไม่นานเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเพิ่มขึ้นบนตัวเขาเช่นกัน
เขาลืมตาขึ้นมอง เห็นราชาม้าเฮยเฟิงคาบสิ่งเดียวกันมาห่มให้เขา
…กระสอบเก่าใบหนึ่ง
เหลี่ยวเฉิน “…”
…
ยามเฉิน[1] วันรุ่งขึ้น ขอบฟ้ายังสลัว ไอเย็นไร้รูปร่างเจืออยู่ในหมอกมืด
ทหารม้าเฮยเฟิงกับหน่วยเงาทมิฬเคลื่อนทัพเข้าประชิดเมือง
เมืองผู่ไม่ได้เฝ้ารักษาง่ายโจมตียากเหมือนอย่างเมืองฉวี่หยาง สาเหตุมีอยู่สองประการ หนึ่งเพราะเดิมมันไม่ได้บูรณะซ่อมแซมมาหลายปีมากแล้ว เจ้าเมืองเดิมใช้หน้าที่การงานของตัวเองหาเงินเข้ากระเป๋า ละโมบเงินที่ถูกจัดสรรเอาไว้ ทำให้มันไม่ได้รับการปรับปรุงบำรุงให้ดีเสียที
ประการที่สอง ไม่นานมานี้ตอนที่กองทัพจิ้นโจมตียึดครองเมืองผู่ ก็ทำลายกำแพงเมืองส่วนใหญ่เสียหายไปแล้วคราหนึ่ง
หลังจากกองทัพจิ้นเข้าเมืองมา ทาสแข็งแรงในเมืองจำนวนมากซ่อมแซมกำแพงเมือง น่าเสียดายที่ฝั่งใต้ยังไม่ได้ซ่อมแซม
กู้เจียวกับเหลี่ยวเฉินควบม้ายืนอยู่หน้าสุดของกองทัพใหญ่สามหมื่นนาย แหงนหน้าทอดมองเงาร่างที่คุ้นตาสองสามสายบนกำแพงเมือง
“เป็นคนตระกูลหันจริงๆ ด้วย” นางเดาถูกเสียแล้ว นางเอ่ยแนะนำให้เหลี่ยวเฉินฟัง “บุรุษผมเงินนั่นคือนายท่านห้าหัน ข้างกายเขาเป็นบุตรชายคนโตตระกูลหัน หันเหล่ย หรือก็คือบิดาของหันเย่”
เหลี่ยวเฉินทอดมองพวกเขา
พวกเขาก็ทอดมองเหลี่ยวเฉินเช่นกัน
หันเหล่ยคล้ายคิดบางอย่างเอ่ย “เด็กหนุ่มนั่นข้ารู้จัก เป็นคนที่สวมรอยเป็นเซียวลิ่วหลัง ถูกอันกั๋วกงรับเป็นบุตรบุญธรรม กลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ทหารม้าเฮยเฟิง แต่คนข้างกายเขาเป็นผู้ใดกัน เหมือนข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
หันสือไม่ได้เอ่ยคำใด
เขามองเหลี่ยวเฉินตาไม่กะพริบ เหลี่ยวเฉินก็จ้องเขาโดยไม่หลบไม่หลีกเช่นกัน
หันเหล่ยมองหันสือถาม “น้องห้า เจ้ารู้จักเขาหรือ”
หันสือเอ่ย “ไม่รู้จัก แต่ดวงตาคู่นั้นเหมือนเคยเห็นที่ใดมาก่อน”
กู้เจียวยกหอกพู่แดงในมือขึ้น ชี้ไปทางกำแพงเมืองอย่างอันธพาล ก่อนเอ่ยอย่างอวดดีสุดจะเปรียบ “โจรสุนัขตระกูลหัน กล้าออกจากเมืองมาสู้กับข้าหรือไม่”
หันเหล่ยโมโหจนมุมปากกระตุก!
ครู่ต่อมา ประตูเมืองก็เปิดออกกว้าง ชายหนุ่มในเกราะเงินคนหนึ่งถือกระบี่ยาวควบม้าพุ่งออกมา
กู้เจียวจ้องมองดีๆ
เอ๊ะ
หันเย่
กู้เจียวเลิกคิ้ว พาดหอกพู่แดงไว้บนบ่าตัวเอง มองเขาด้วยความสงบท่ามกลางความวุ่นวาย “เส้นเอ็นเท้าเจ้าต่อกันดีแล้วรึ คงไม่ได้ทำศึกได้แค่บนหลังม้ากระมัง”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหันเย่ก็โมโหนัก เขาลำบากลำบนเท่าใด ได้รับความทรมานเท่าใด ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้แล้ว!
ล้วนเป็นเพราะเซียวลิ่วหลังทั้งสิ้น!
หันเหล่ยขมวดคิ้ว “เย่เอ๋อร์เปิดประตูเมืองได้อย่างไร”
นายท่านห้าหันเอ่ยอย่างสงบ “อย่างไรเสียก็ป้องกันไม่อยู่แล้ว ไม่สู้ออกเมืองไปต้านศึกดีกว่า”
ความแข็งแกร่งของเฮยเซียวคือการรุกโจมตี มีเพียงล่างกำแพงเมืองเท่านั้นที่ม้าเฮยเซียวจะแสดงกำลังรบออกมาได้มากที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น เขารอวันนี้มาเนิ่นนานแล้ว
เขาอยากจะรู้มาโดยตลอดว่าเฮยเซียวที่เขาฝึกออกมาจะสามารถโจมตีเฮยเฟิงของตระกูลเซวียนหยวนได้หรือไม่!
เฮยเซียวพุ่งออกมาจากกำแพงเมืองไม่ขาดสาย ทหารม้าเฮยเฟิงกับคนของหน่วยเงาทมิฬไล่เข่นฆ่าสังหารด้วยกัน
การปะทะมาเร็วกว่าที่คิดไว้ และรุนแรงกว่าด้วย
พริบตาเดียวก็มีทหารม้าหลายสิบนายล้มลงแล้ว มีทั้งฝ่ายตนและฝ่ายตรงข้าม
เป้าหมายของหันเย่คือกู้เจียว
“ไอ้คนที่มันชื่อกู้ฉังชิงไยจึงไม่มาด้วยกันกับเจ้า!”
“เจ้ายังไม่คู่ควรจะประมือกับเขา!”
“วาจาสามหาว ดูกระบี่!”
หันเย่ฟันกระบี่ใส่เหนือศีรษะกู้เจียว!
กู้เจียวยกหอกพู่แดงขึ้นต้านไว้ หอกยาวส่งเสียงเคร้งกังวานยามปะทะกับกระบี่ล้ำค่า หันเย่ไอสังหารพวยพุ่ง แทบจะปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดิน
หันเย่ตกใจยิ่ง
ตอนประมือครานั้น ไอ้หนูนั่นยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนชัดๆ เหตุใดวันนี้แค่สิบกว่ากระบวน ไอ้หนูนี่กลับมีท่าทางสบายๆ ยิ่ง หน้าไม่แดง ไม่มีอาการหอบเลย
ฉัวะ!
กู้เจียวแทงหอกใส่ทหารม้าตระกูลหันนายหนึ่งตาย แล้วพลิกมือมาแทงท้องของหันเย่!
มุมนี้เจ้าเล่ห์ยิ่ง จะขวางก็ไม่ได้ จะหลบก็ไม่ได้
หันเย่กัดฟัน ใช้วิชาตัวเบาทะยานตัวขึ้น หลบการโจมตีนี้ไปอย่างสวยงาม จากนั้นเขาก็พุ่งลงใส่กลางหัวกู้เจียว แทงกระบี่ไปยังกระหม่อมบนศีรษะนาง!
“นี่จะเสียบไม้ข้าหรือ ฝันไปเถิด!”
กู้เจียวจ้องมองเขาเขม็งอยู่อย่างนั้น จู่ๆ ก็เอนตัวนอนลงไปข้างหลัง
หอกยาวของหันเย่แทงใส่ชุดเกราะของกู้เจียว
ทว่ากลับแทงไม่เข้า!
หันเย่แววตาตื่นตะลึง
กู้เจียวใช้หอกฟันต้นขาเขา
หันเย่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดชุดเกราะของไอ้หนูนี่จึงได้แกร่งเพียงนี้ อยากจะชักกลับถอยหนีก็สายไปเสียแล้ว…
เมื่อเห็นว่าต้นขาของหันเย่จะโดนกู้เจียวฟันขาดทั้งเป็นแล้ว จู่ๆ นายท่านห้าหันก็ควบม้าปีศาจดำมา เร่งรุดมาด้านหลังทั้งสอง ใช้กระบี่ต้านหอกยาวกู้เจียวไว้
สองรุมหนึ่ง กู้เจียวโดนโจมตีทั้งหน้าทั้งหลัง
หันเย่เอ่ย “เจ้าโจมตีสองแขนมัน ข้าจะฆ่าม้ามัน!”
เพิ่งจะเอ่ยจบ เหลี่ยวเฉินก็ทะยานมาจากกลางเวหา ซัดฝ่ามือใส่ม้าปีศาจดำของนายท่านห้าหัน!
นายท่านห้าหันพลิกตัวเพื่อทรงตัวให้มั่น เขาหันกลับมา มองบุรุษตรงหน้าที่ซัดม้าเขาอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าคือผู้ใด! บอกนามมา!”
เหลี่ยวเฉินไอสังหารดุจดาบ “บุตรคนที่เจ็ดแห่งเซวียนหยวน เซวียนหยวนเจิง!”
[1] ยามเฉิน 07.00-09.00 น.