สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 867 พ่อลูกสื่อใจ
บทที่ 867 พ่อลูกสื่อใจ
เซวียนผิงโหวกำลังจะสั่งการให้เหล่าแม่ทัพพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าโจมตีเมืองต่อ ปรากฏว่าหลังจากได้รับคำสั่งจากแนวหลังแล้ว
เขาก็ขมวดคิ้ว “สิ้นสุดในคืนนี้ รีบร้อนเพียงนี้เชียวรึ”
หากต้องการให้กองทัพเหลียงเสียหายหนัก วิธีการที่ดีที่สุดก็คือโจมตีเปี้ยนจิง แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ กำลังทหารกับเสบียงมีไม่เพียงพอ
แต่อย่างน้อยต้องชิงคูเมืองชายแดนสองสามแห่งมา เพื่อให้กองทัพเหลียงเสียหายหนัก
คืนนี้พักกันคืนหนึ่ง พรุ่งนี้เขาจะโจมตีตำบลหลี แล้วค่อยเก็บกวาดหัวสุนัขแคว้นเหลียง
องครักษ์ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งด้วยสองมือ “นี่เป็นจดหมายที่องค์หญิงมอบให้ท่าน โปรดอ่านขอรับ”
เซวียนผิงโหวรับมาอย่างไม่ใส่ใจ “ฝากคำมาก็ได้นี่ ยังจะเขียนจดหมายอะไรอีก…”
ในจดหมายไม่ได้มากความ มีอักษรเพียงหกคำ…ชิ่งเอ๋อร์โดนขังในเมืองผู่
สีหน้าเซวียนผิงโหวพลันเย็นเยียบขึ้นมา
เพื่อให้เขานำทัพทำศึกได้สะดวกกว่าเดิม ซ่างกวานเยี่ยนจึงสร้างตัวตนให้เขาเป็นคนเก่าแก่ของตระกูลเซวียนหยวน หลายปีมานี้แอบทำภารกิจอยู่ในที่ลับ และแต่งตั้งให้เข้าเป็นแม่ทัพติ้งหย่วนเป็นการชั่วคราว
แม้ว่าทุกคนจะไม่คุ้นหน้าคนผู้นี้ แต่เขาสังหารฉู่เฟยเผิงก็เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง กอปรกับพวกเขาสี่คนโจมตีทหารมากมายของกองทัพเหลียงให้ล่าถอย ชื่อเสียงบารมีและฝีมือนั้นไม่ต้องสงสัยเลย
นอกจากนี้ ทุกคนก็คิดแค่ว่าองค์หญิงต้องการอาศัยโอกาสนี้สนับสนุนพรรคพวกของตัวเอง จึงไม่ได้รู้สึกแปลกกับเขา
การโจมตีกองทัพเหลียงครานี้ เขาร่วมเดินทางกับแม่ทัพผิงแคว้นจ้าว ราชสำนักแห่งต้าเยี่ยน
“ทางฝั่งแม่ทัพจ้าวก็ได้รับจดหมายเช่นกันหรือ” เซวียนผิงโหวถาม
“อ่า… เหมือนว่า… จะไม่ขอรับ” องครักษ์กัดฟันเอ่ยบอก
เซวียนผิงโหวสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม เพียงแต่มีไอสังหารชวนขนลุกเพิ่มขึ้นมารอบตัว “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปทูลองค์หญิงว่าไม่ต้องพรุ่งนี้หรอก กลางดึกคืนนี้ข้าจะยึดอำเภอหลีให้ได้”
องครักษ์อ้าปากค้าง
มันเหลือแค่หนึ่งชั่วยามเองนะ
จะตีแตกได้จริงๆ หรือ
ซ่างกวานเยี่ยนเดินกลับไปกลับมาอยู่ในกระโจม นางรู้สึกได้รางๆ ว่าตัวเองขาดตกบางอย่างไป แต่กลับคิดไม่ออก
ในหัวนางมีแต่ข่าวที่บุตรชายโดนล้อมอยู่ในภูเขาผี นางไม่เชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องจริง
บุตรชายของนางอยู่ดีๆ จะวิ่งมาชายแดนได้อย่างไร
ซ้ำยังตกอยู่ในดินแดนของกองทัพจิ้นด้วย
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในจดหมายมีบรรทัดจำกัด กู้เจียวจึงเลือกแต่ประเด็นสำคัญ ทุกอย่างยังต้องรอให้พบหน้าแล้วค่อยสนทนากันอย่างละเอียด
หวนเอ๋อร์มีแก่ใจเตือนนาง แต่เห็นท่าทางนางรีบร้อนดั่งไฟจึงได้แต่กลืนกลับลงไปเงียบๆ
เกิดเรื่องขึ้นกับพระนัดดา คนแรกที่ท่านนึกถึงคือเซวียนผิงโหว ท่านลืมแม่ทัพจ้าวไปแล้วหรือ
นางลืมไปก็ไม่สำคัญ ทางฝั่งเซวียนผิงโหวล้วนจัดการอย่างกระจ่างแจ้ง
ยามกลางดึก เซวียนหยวนย่างก้าวเข้าสู่ค่ายทหารของอำเภอหลี สังหารแม่ทัพแคว้นเหลียงหกนาย กองทัพเหลียงพ่ายแพ้ยับเยิน คิดจะหนีแต่กลับเจอการปิดล้อมอันแข็งแกร่งของกองทัพแคว้นเยี่ยน
สุดท้าย กองทัพเหลียงก็ยื่นหนังสือยอมแพ้ฉบับหนึ่งอย่างอัปยศ โดยมีผิงหยางอ๋องออกหน้า
หนังสือยอมแพ้มาถึงมือ ผิงหยางอ๋องในฐานะเชลยจึงถูกเซวียนผิงโหวพาตัวไป
ภารกิจทางด้านของหวังหม่านจึงเบาลงไม่น้อย เมืองซินมั่นคงไม่เท่าเมืองฉวี่หยาง กอปรกับทหารรักษาการณ์ตระกูลหนานกงล้วนถูกฉังเวยทิ้งไว้ที่ฉวี่หยาง ในเมืองจึงเหลือกองทัพท้องถิ่นไม่ถึงหนึ่งหมื่นนาย กองทัพใหญ่หลายหมื่นนายของหวังหม่านไล่สังหารมา ตระกูลหนานกงก็พ่ายแพ้อย่างแน่นอนแล้ว
เมื่ออรุณใกล้เบิกฟ้า บุตรคนที่สี่แห่งหนานกงสู้รบจนตัวตาย คนที่เหลือถูกจับกุม
…
ภายในกระโจมผู้บัญชาการของค่ายเฮยเฟิง ณ เมืองฉวี่หยาง
สายตากู้เจียวเบนจากกระบะทราย นางยกมือรับสมุดมา
เหลี่ยวเฉินก็อยู่ในกระโจมนางเช่นกัน
ทั้งคู่อ่านรายงานทหารของกองทัพจิ้นอย่างละเอียด
กู้เจียวเอ่ย “ไม่เพียงแค่กองทัพใหญ่สองแสนนายเท่านั้น กองกำลังที่สามารถทำศึกได้เมื่อตัดกองเสบียงแล้ว มีถึงหนึ่งแสนหกหมื่นนาย”
ดูจากปัจจัยการทำศึกในสมัยนี้แล้ว โดยปกติกองเสบียงจะมีราวๆ หนึ่งในสามของกองกำลังทั้งหมด กองทัพจิ้นก็เช่นกัน
กู้เจียวเอ่ยต่ออีก “กองกำลังที่พวกเราใช้ได้ก็จำนวนพอๆ กันนี้ แต่ว่า ทางฝั่งกองทัพจิ้นยังต้องนับกองกำลังห้าหมื่นนายของตระกูลหันรวมเข้าไปด้วย”
ประเด็นหลักของสถานการณ์นี้คือแคว้นเยียนโดนการล้อมโจมตีของห้าแคว้น แบ่งกระจายกำลังทหารไม่น้อยไปแต่ละแห่ง ยามนี้สิ่งที่แน่ใจได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือแคว้นเจาที่ด่านชื่อสุ่ย
แต่ด่านชื่อสุ่ยส่วนใหญ่มีแต่ทหารเรือ ไม่เหมาะกับการทำศึกบนบก เร่งรุดมาก็เปล่าประโยชน์
แคว้นเฉินกับแคว้นจ้าวค่อนข้างไกล จึงยังไม่มีข่าวที่แน่ชัดส่งมาในตอนนี้
เหลี่ยวเฉินอ่านรายงานทหารทั้งหมดในสมุดจบก่อนจะเอ่ย “กงซุนอวี่วางกำลังทหารไว้ที่ประตูเมืองเหนือกับประตูเมืองตะวันออกมากมาย ประตูเมืองสองแห่งนี้ใกล้กับประตูเมืองพวกเราที่สุดพอดี ประตูเมืองใต้มีกองทัพตระกูลหันเฝ้ารักษาการณ์อยู่ ทหารม้าเกราะเหล็กทั้งสามหมื่น นอกจากนี้ยังมีทหารราบตระกูลหันสองหมื่นนายด้วย ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นจะโดนโยกย้ายไปที่ประตูเมืองใด การรักษาการณ์ของประตูเมืองตะวันตกอ่อนแอที่สุด น่าเสียดายที่อยู่ไกลกับพวกเราเกินไป”
กู้เจียวเอ่ย “สมควรแก่เวลาแล้ว พวกเราไปรวมตัวกับองค์หญิงที่ช่องแคบเถิด”
เนื่องจากเวลากระชั้น ซ่างกวานเยี่ยนกับกองทัพราชสำนักจึงไม่ได้เข้าไปจัดทัพในเมืองฉวี่หยาง
พวกเขาตีกองทัพเหลียงเสร็จก็นอนพักอยู่ที่เดิมหลายชั่วยาม แล้วเริ่มเคลื่อนทัพไปเมืองผู่
กู้เจียวผลัดมาสวมชุดศึกสีชาด เกราะเหล็กสีนิล ออกไปสวมหมวกเหล็ก ห่มเกราะเหล็กให้ม้าเฮยเฟิงด้วย
ครั้นนางหันกลับมา เหลี่ยวเฉินก็สวมชุดเกราะออกรบแล้ว
กู้เจียวชะงักไปเล็กน้อย
แม่ทัพสวมหมวกเหล็กกับชุดเกราะผู้นี้…ยังเป็นภิกษุรูปงามในความทรงจำที่ชื่นชอบการกินเนื้อสัตว์และดื่มสุราอยู่หรือไม่
ความเจ้าสำราญและเสน่ห์ร้ายในอดีตหายไป ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายสังหารของทวนทองอาชาเหล็กออกมา
“มองอะไร” เหลี่ยวเฉินถามนิ่งๆ
กู้เจียวเบ้ปาก “จู่ๆ เจ้าก็เป็นผู้เป็นคนขึ้นมา ข้าชักไม่ค่อยชิน”
เหลี่ยวเฉิน “…”
เหลี่ยวเฉินพลิกตัวขึ้นหลังม้า นำกำลังทหารออกจากเมือง
กู้เจียวก็พาทหารม้าเฮยเฟิงหนึ่งหมื่นนายไปด้วยเช่นกัน
ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากค่ายรักษาการณ์ พวกเขาเฝ้าคอยการต่อสู้ในสนามรบมานานมากแล้ว
หลังจากที่ตระกูลเซวียนหยวนถูกทำลาย ในที่สุดเหวินเหรินชง หลี่เซิน และจ้าวเติงเฟิงก็ได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันอีกครา
ทั้งสามอยู่บนหลังม้า ไร้ซึ่งท่าทางกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างตอนยี่สิบต้นๆ แล้ว ใบหน้าพวกเขาแต่ละคนอาบย้อมด้วยร่องรอยแห่งการผ่านโลกมามากมาย
แต่ศรัทธาในเนื้อแท้ของพวกเขาไม่เคยลดลงหรือสั่นคลอนเลย
จ้าวเติงเฟิงหัวเราะเสียงเย็นเอ่ย “เหล่าสือไม่อยู่แล้ว ครานี้พวกเราร่วมกันสู้ในส่วนของเหล่าสือด้วยกันเถิด!”
เหวินเหรินชง หลี่เซิน จ้าวเติงเฟิง และสือจงขุยเคยเป็นสี่ขุนพลแกร่งแห่งค่ายเฮยเฟิง สือจงขุยตายในสนามรบเมื่อสิบกว่าปีก่อน
นึกถึงเหล่าสือขึ้นมา เหวินเหรินชงกับหลี่เซินก็มีไอเย็นเยียบวาบผ่านแววตา
การเสียชีวิตของเหล่าสือหนีไม่พ้นแคว้นจิ้น ครานี้พวกเขาจะทบบัญชีแค้นทั้งเก่าทั้งใหม่เข้าด้วยกัน!
“แด่เหล่าสือ”
“แด่ท่านแม่ทัพใหญ่”
“แด่ท่านชายเจ็ด”
ทั้งสามแววตาหนักแน่น ไล่ตามไปอย่างห้าวหาญโดยไม่ยอมหวนกลับ!
…
กู้เจียวรอรถม้าของซ่างกวานเยี่ยนบนถนนหลวงตรงปากทางแคบ
นางตบท้องราชาม้าเฮยเฟิงให้สาวเท้าไปหารถม้า
ซ่างกวานเยี่ยนขอบตาแดงก่ำ ดูท่าจะร้องไห้เพราะเป็นห่วงซ่างกวานเยี่ยน แต่ยามนี้อารมณ์นางสงบลงแล้ว สามารถพูดคุยกับกู้เจียวได้อย่างใจเย็นแล้ว
นางดึงมือกู้เจียวมาจับ ให้กู้เจียวนั่งลงข้างกายนาง “เจียวเจียว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
กู้เจียวหันกลับไปมอง
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “แม่ทัพเซียว เจ้าก็ขึ้นม้ามาด้วยหน่อย ข้ามีเรื่องจะหารือกับเจ้าและผู้บัญชาการเซียว”
เซวียนผิงโหวขึ้นมาบนรถม้า
กู้เจียวเล่าเรื่องภูเขาผีให้ทั้งสองฟัง ประเด็นหลักๆ มีสามประการ ซ่างกวานชิ่ง เซวียนหยวนฉี ชีวิตคนนับพันใต้ดิน
ในจดหมายกู้เจียวเอ่ยถึงเพียงสถานการณ์ของซ่างกวานชิ่ง ซ่างกวานเยี่ยนไม่คิดไม่ฝันว่าจะโยงใยไปถึงเซวียนหยวนฉีด้วย
“ท่านลุงรองยังมีชีวิตอยู่… นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่… ซ้ำเขายังมีบุตรชายด้วยอีกคน…”
เรื่องเกี่ยวกับหน่วยเงาทมิฬ ซ่างกวานเยี่ยนไม่เคยรู้มากก่อน นางนึกว่าตอนนั้นเซวียนหยวนฉีตายไปจริงๆ
“ก็คืออาจารย์จิ้งคงเพคะ” กู้เจียวเอ่ย
“ดังนั้นจิ้งคงเขาก็คือ… เด็กของตระกูลเซวียนหยวน…” ซ่างกวานเยี่ยนแม้จะสงสัยแต่แรก แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้มาโดยตลอด “เจิงเอ๋อร์อยู่ที่ใดรึ”
กู้เจียวเอ่ย “เขาพากองทัพสองหมื่นนายและกองเสบียงในเมืองบางส่วนออกเดินทางล่วงหน้าไปแล้วเพคะ”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านลุงรองยังพ้นขีดอันตรายใช่หรือไม่”
กู้เจียวพยักหน้าอย่างเสียดาย “เพคะ”
“กงซุนอวี่!” ซ่างกวานเยี่ยนกำหมัดแน่นอย่างเย็นเยียบ
จู่ๆ เซวียนผิงโหวที่เงียบงันไม่พูดจามาตลอดก็โพล่งขึ้น “มีจุดน่าสงสัยสองจุด หนึ่ง เหล่ากู้ไปไหน สอง ชิ่งเอ๋อร์วิ่งไปภูเขาผีได้อย่างไร ซ่างกวานเยี่ยน เจ้าบอกว่าเขาอยู่ในคฤหาสน์นอกเซิ่งตูอย่างสุขสบายดีมิใช่หรือ”
“ข้า…” ซ่างกวานเยี่ยนอ้าปากพะงาบๆ
เซวียนผิงโหวยกมือทำท่าให้หยุด “เอาละ ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้แล้ว”
ทั้งคู่มองเขาด้วยสีหน้างุนงง เจ้ารู้อะไรหรือ
เซวียนผิงโหวไม่อาจซ่อนอารมณ์อ่อนไหวไว้ได้พลางเอ่ย “พ่อลูกสื่อใจถึงกัน เขาต้องมาหาข้าแน่ๆ ”
ตามหาพ่อเป็นพันๆ ลี้ นี่ช่างเป็นบุตรกตัญญูเพียงใดกันหนอ!
กู้เจียว “…”
ซ่างกวานเยี่ยน “…”
…
หวังหม่านไม่ได้ถอนทัพเลยจนกระทั่งรุ่งสาง ยามนี้กำลังอยู่ระหว่างทาง
มู่ชิงเฉินก็อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาเช่นกัน
ในระหว่างที่รอพวกเขาสองคน เซวียนผิงโหวกับซ่างกวานเยี่ยนก็ทำความเข้าใจสถานการณ์การวางกองกำลังทหารของกองทัพจิ้นอย่างรวดเร็ว และวางแผนการทำศึกขั้นแรกแล้ว
ทหารม้าเฮยเฟิงของกู้เจียวกับหน่วยเงาทมิฬของเหลี่ยวเฉินไปลอบโจมตีทหารม้าเฮยเซียวสามหมื่นนายของตระกูลหัน สมรภูมิทำศึกคือประตูเมืองฝั่งใต้
เซวียนผิงโหวนำทหารราบห้าหมื่นนายรวมถึงพลธนูมุ่งหน้าไปโจมตีทหารรักษาการณ์แคว้นจิ้นแปดหมื่นนายที่ประตูเมืองฝั่งเหนือ
ส่วนหวังหม่านนำทัพสามหมื่นนายมุ่งหน้าไปประตูเมืองตะวันออก ประศึกกับกองทัพแคว้นจิ้นสี่หมื่นนาย
สุดท้าย ฉังเวยพาทหารรักษาการณ์สามหมื่นนายอ้อมไปประตูเมืองผู่ฝั่งตะวันตก ต้านกองทัพใหญ่แคว้นจิ้นสองหมื่นนาย
ทหารที่เหลือเฝ้ารักษาการณ์เมืองฉวี่หยาง เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพเหลียงและกองทัพจิ้นที่ปราชัยย้อนกลับมาลอบโจมตี