สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 866 ช่วยชีวิต! (1)
บทที่ 866 ช่วยชีวิต! (1)
“เขา…ตายแล้วรึ”
เย่ว์หลิ่วอีมองเซวียนหยวนฉีที่ไม่มีลมหายใจแล้ว นางชักดาบพกออกจากบั้นเอว แค่นเสียงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เขาทำร้ายข้า ข้าจะตัดมือเขา”
“เสี่ยวหลิ่ว” กงซุนอวี่ปรามนางเสียงนิ่ง
มือข้างที่ถือกริชของเย่ว์หลิ่วอีพลันชะงักค้างกลางอากาศ “มีอะไรหรือนายท่าน”
กงซุนอวี่ได้ยินเสียงเกือกม้าที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พลางเอ่ย “พวกเรากลับ”
เย่ว์หลิ่วอีทอดมองบุรุษที่กำลังควบทะยานมาจากปลายทางถนนหลวง ด้านหลังบุรุษมีกองทัพจำนวนมหาศาลติดตามมาด้วย นางขมวดคิ้วอย่างขัดใจ เก็บกริชคืนให้เรียบร้อย “โชคดีของคนผู้นี้แล้ว!”
นางทะยานตัวขึ้นหลังม้า
กงซุนอวี่ไม่ได้นำกำลังทหารจำนวนมากมาด้วย มีเพียงพลธนูยี่สิบนายเท่านั้น ด้านกำลังทหารพวกเขาจึงเสียเปรียบ
ทว่าบุรุษคนเมื่อครู่นี้ดูท่าทางเหมือนจะเก่งกาจนัก หากสังหารเขาย่อมทอนกำลังของกองทัพแคว้นเยี่ยนได้มหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย
เย่ว์หลิ่วอีตามกงซุนอวี่ทัน “นายท่าน คนผู้นั้นเป็นใครหรือ”
กงซุนอวี่ทอดมองก้อนเมฆดำทมิฬบนฟากฟ้า “แม่ทัพใหญ่แคว้นเยี่ยน…เซวียนหยวนฉี”
“เซวียนหยวนฉี ไหนว่าคนตระกูลเซวียนหยวนตายไปหมดแล้วมิใช่หรือ” เย่ว์หลิ่วอีพึมพำกับตัวเอง
นางเงยหน้าขึ้น กงซุนอวี่กับพลธนูยี่สิบนายเดินไปถึงข้างหน้าแล้ว
นางรีบสะบัดแส้ฟาดบนหลังม้าตัวเอง เร่งตามไปก่อนจะเอ่ยกับกงซุนอวี่ “นายท่าน ม้าของพวกท่านยอดเยี่ยมนัก! ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!”
กงซุนอวี่เอ่ยเสียงนิ่ง “ม้าเฮยเซียวที่ตระกูลหันของแคว้นเยี่ยนส่งมา”
เย่ว์หลิ่วอีเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ม้าเฮยเซียวตระกูลเซวียนหยวนมีม้าเฮยเฟิง ตระกูลหันมีม้าเฮยเซียว! น่าสนใจ! นายท่าน ข้าก็อยากได้!”
กงซุนอวี่เอ่ย “จวนเจ้าเมืองยังมี กลับไปก็ไปเลือกเอาเอง”
เย่ว์หลิ่วอียิ้มแหย “เจ้าค่ะ!”
พวกเขาควบม้าไปไม่เห็นฝุ่น
แสงสุดท้ายมืดมิดลง เมฆดำกลืนกินท้องนภามืด สายฟ้าสว่างวาบตรงขอบฟ้า ทันใดนั้นฟ้าก็คำราม ลมตะวันตกรุนแรงพลันกลายเป็นฝนคลั่งห่าใหญ่
ต้นไม้ใบหญ้าไหวเอน ราวกับเสียงสะอื้นไร้เสียงของวิญญาณวีรบุรุษมากมายในชายแดน
เย่ว์หลิ่วอีเปียกชุ่มจนใจเหน็บหนาว แค่นเสียงอย่างไม่แยแส “วันนี้ไม่ใช่ฤกษ์ดีในการโจมตีเมือง วันหลังค่อยโจมตีพวกเขา!”
กงซุนอวี่นั่งอยู่บนหลังม้าโดยไม่เอ่ยคำใด สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา ราวกับเทพสูงศักดิ์แห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
แม่ทัพใหญ่คนสุดท้ายของตระกูลเซวียนหยวน สุดท้ายก็ยังมาตายด้วยน้ำมือเขาอยู่ดี
ตำนานของตระกูลเซวียนหยวนสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น
ต้าเยี่ยน ไม่ช้าก็เร็วก็เป็นสิ่งของในถุงหนังของต้าจิ้นอยู่ดี!
ครั้นม้าของเหลี่ยวเฉินควบทะยานมาถึงปากทางที่คับแคบของภูเขา กงซุนอวี่ก็พากองทัพจิ้นจากไปแล้ว
เหลี่ยวเฉินแทบจะล้มลุกคลุกคลานลงจากหลังม้า ตกลงไปในแอ่งโคลนเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน เขาฝ่าฝนห่าใหญ่อันเย็นเยียบดุจน้ำแข็งคลานเข่ามาหยุดตรงหน้าเซวียนหยวนฉี
เขามองบุรุษที่ร่างกายเต็มไปด้วยโลหิต ทรวงอกโดนหอกยาวแทงทะลุ น้ำตาพลันร่วงลงจากขอบตา!
“เพราะเหตุใด…เพราะเหตุใด…”
บาดแผลที่ใช้เวลารักษามานานถึงยี่สิบปีถูกฉีกอย่างทารุณอีกครา ดวงใจคล้ายโดนฉีกกระชากกลายเป็นสองส่วน
เขายกมือขึ้น หมายจะกอดบิดาตัวเอง แต่ก็กลัวว่าจะทำบิดาเจ็บ…
แผลสาหัสเพียงนั้น…เจ็บเพียงนั้น…
เขาคุกเข่าลงตรงหน้าบิดา ร่างสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้
เขาข่มความเจ็บปวดที่ก้นบึ้งหัวใจโดนฉีกกระชากเอาไว้ น้ำตาหลั่งไหลร่วงลงพื้น
“เหตุใด…เหตุใดกว่าข้าจะได้พบท่าน…”
“เหตุใดจึงรอข้าหน่อยไม่ได้…”
“เหตุใดต้องทิ้งข้าไปทุกครั้งเลย…”
“ท่านลืมตาสิ…มองข้า…”
“ท่านมองเจิงเอ๋อร์สิ…เจิงเอ๋อร์โตแล้วนะ…”
เหลี่ยวเฉินคุกเข่ากับพื้นร้องห่มร้องไห้ นิ้วจิกเข้าไปในโคลนแน่น โลหิตไหลลงมาจากนิ้วของเขาวนลงพื้น
ฝนตกหนักทำให้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งเสียหายจากปราณกระบี่หักพังตรงปากทางแคบ ไร้ต้นไม้ใหญ่บดบัง ทุกคนบนกำแพงเมืองเห็นภาพนี้แล้ว
พวกเขาต่างเคยคิดว่าปากทางแคบมีกองทัพขนาดเล็กอยู่ จึงไม่ได้ให้กองทัพจิ้นบุกไป
ไหนเลยจะรู้…นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงคนหนึ่งคนเท่านั้น
คนผู้นั้นใช้ร่างกายและเลือดเนื้อของตัวเองเฝ้าปกป้องปากทางแคบเอาไว้ ต้านกำลังทหารเก้าพันนายของกองทัพจิ้น!
บนร่างเขาเต็มไปด้วยธนูและดาบ ซ้ำยังมีหอกยาวปักคาหน้าอกไว้ด้วย
นี่ต้องมีปณิธานแน่วแน่ไม่ยอมแพ้เช่นใดกันหนอ จึงจะสามารถทำให้คนคนหนึ่งลืมเลือนชีวิตและความตาย…ถึงขั้นเหนือกว่าชีวิตและความตายไปแล้วได้
ทุกคนต่างน้ำตานองหน้า
พวกเขาไม่รู้คนผู้นั้นคือใคร แต่พวกเขาทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากตัวเขา นั่นเป็นวิญญาณศึกของต้าเยียนที่ไม่มีวันดับสูญ!
เย่ชิงยืนอยู่บนกำแพงเมือง ทอดมองพ่อลูกที่คุกเข่าอยู่ท่ามกลางห่าฝนแม้แต่คำลาสักคำยังไม่ทันจะเอื้อนเอ่ยออกไป ดวงใจพลันเกิดอารมณ์ซับซ้อนนับไม่ถ้วนพลุ่งพล่านขึ้นมา
อาจารย์ คำทำนายของท่านเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างที่ท่านบอกไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่นิดเดียว
วิญญาณของเซวียนหยวนตกอยู่ใต้คมกระบี่ของกงซุนอวี่
แต่อาจารย์ ในเมื่อทราบจุดจบแล้ว ท่านยังจะส่งข้ามาชายแดนเพื่อการใดอีก
ให้ข้าเห็นโศกนาฏกรรมนี้กับตาตัวเองหรือ
ความสามารถของข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้เลย แม้แต่การป้องกันเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่อาจทำได้
“วิญญาณของเซวียนหยวน ไม่ควรร่วงหล่น”
เสียงหมดอาลัยตายอยากจากการสูญเสียของกั๋วซือดังขึ้นในหัว เย่ชิงนัยน์ตาสั่นไหว ราวกับตัดสินใจบางอย่างไปแล้ว
เขากำหมัดแน่น ทะยานตัวขึ้น กระโดดลงจากกำแพงเมือง
“เย่ซ่างซือ!”
แม่ทัพจี้สีหน้าพลันเปลี่ยน ยื่นมือไปคว้า จนด้วยเกล้าที่ช้าไปก้าวหนึ่ง แม้แต่ชายอาภรณ์ของเย่ชิงก็คว้าไว้ไม่ได้
ชุดคลุมผืนโคร่งสีน้ำเงินเข้มของตำหนักกั๋วซือโบกสะบัดพลิ้วท่ามกลางลมฝนทั่วฟ้า ราวกับประทุมเขียวที่อาบย้อมด้วยน้ำหมึกเบ่งบาน
เย่ชิงทะยานลงจากกำแพงเมือง
แม่ทัพจี้สีหน้าเคร่งขรึม “เย่ซ่างซือจะทำอะไร”
เย่ชิงใช้วิชาตัวเบาวิ่งอยู่ท่ามกลางลมฝน
อาจารย์
ในเมื่อวิญญาณแห่งเซวียนหยวนไม่ควรร่วงหล่น เช่นนั้นโปรดอย่าเคืองที่ข้า…ตัดสินใจโดยพลการด้วย!
ขออภัยยิ่งที่ต้องหักหลังปณิธานของท่าน รอกลับตำหนักกั๋วซือแล้วข้ายินดีรับโทษขอรับ!
ข้าไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะช่วยเขาได้หรือไม่
บางทีอาจจะช่วยไม่ได้อยู่ดี และเปลืองสิ่งของล้ำค่าที่สุดที่ท่านมอบให้ข้าไปเปล่าๆ ด้วย
แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็อยากลองให้สุดความสามารถ
หากผิดไป ข้าขอใช้ชีวิตที่เหลือชดใช้ความผิดในวันนี้แล้วกัน!
…
เหวินเหรินชงทะยานลงมาหยุดข้างกายกู้เจียว “ผู้บัญชาการเซียว คนผู้นั้นคือ…”
กู้เจียวทอดมองเงาร่างเย่ชิงที่ทะยานมากลางสายฝน แววตานางวูบไหวก่อนจะเอ่ย “แม่ทัพใหญ่เซวียนหยวนฉี”
เหวินเหรินชงตกตะลึงหนัก “มะ…แม่ทัพใหญ่อย่างนั้นรึ ไม่ใช่ว่าเขา…หรือว่า…”
“ไม่หรอก ใช่” กู้เจียวตอบสั้นๆ กับคำถามที่เขายังถามไม่จบ “เตรียมเปลหาม!”
เอ่ยจบนางก็หันหลังกลับ ลงจากกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเย่ชิงมายังข้างกายสองพ่อลูก ทั้งสามคนต่างโดนน้ำฝนจนตัวเปียกชุ่ม
เย่ชิงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ล้วงขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาจากอ้อมอก “เซวียนหยวนเจิง ช่วยข้าประคองหัวบิดาเจ้าที”
เหลี่ยวเฉินนิ่งอึ้งเล็กน้อย
ไม่ได้ยินใครเรียกชื่อเขามานานหลายปีแล้ว เขาพลันไร้ปฏิกิริยาขึ้นมา
“ข้านามว่าเย่ชิง ศิษย์คนโตแห่งตำหนักกั๋วซือ” เย่ชิงเอ่ยพลางหว่างคิ้วเย็นชาขึ้น “หากไม่รีบ พอบิดาเจ้าสิ้นใจตายแล้ว ต้าหลัวจินเซียนเสด็จมาก็ช่วยไม่ได้แล้ว!”
น้ำตาเหลี่ยวเฉินร่วงริน เขาเหม่อลอยพยุงศีรษะบิดาที่ค่อยๆ สูญเสียอุณหภูมิร่างกายไว้ เขาสัมผัสถึงสัญญาณชีพจรและลมหายใจของบิดาไม่ได้แล้ว
เช่นนั้น…จะยังช่วยให้ฟื้นกลับมาได้จริงๆ หรือ
เย่ชิงดึงฝาขวดออก “ที่ตำหนักกั๋วซือ มีผู้ป่วยที่หยุดหายใจและสัญญาณชีพจรหยุดเต้นมากมาย ใช่ว่าจะสามารถช่วยให้ฟื้นคืนมาได้ทุกคน แต่ตราบใดที่ยังไม่สิ้นลมสนิท ก็ยังมีความหวังอยู่”
เหลี่ยวเฉินสะอื้นถาม “แบบนี้เรียกว่าสิ้นลมสนิทหรือยัง”
เย่ชิงเทยาลูกกลอนที่เหลืออยู่เม็ดเดียวออกมา ง้างปากเซวียนหยวนฉี แล้วป้อนให้เขา “ลมหายใจกับสัญญาณชีพจรหยุดเกือบครึ่งเค่อ โดยทั่วไปก็สิ้นลมสนิทแล้ว ยอดฝีมือเยี่ยงบิดาเจ้า…อาจจะสามารถยืดเวลาออกไปได้เล็กน้อย”
ลูกกลอนชนิดนี้ดูเหมือนจะไม่ละลายในปาก
เย่ชิงจึงตบบริเวณท้องของเซวียนหยวนฉีไปอีกหนึ่งฝ่ามือ ใช้กำลังภายในส่งยาลงไปในท้องเขา
เหลี่ยวเฉินหลบอาวุธบนตัวบิดาเขาอย่างระวัง ให้บิดาพิงอกตัวเอง
เมื่อก่อน บิดาเป็นที่พึ่งของเขา
ต่อไปนี้ เขาหวังว่าตัวเองจะกลายเป็นที่พึ่งให้บิดาได้
“มีอยู่สองกรณี” เย่ชิงมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ย “กรณีแรก ข้าไม่แน่ใจว่าบิดาเจ้าสิ้นลมสนิทไปหรือยัง หากเขาสิ้นลมสนิทไปแล้ว เช่นนั้นลูกกลอนเม็ดนี้เขากินไปก็เปล่าประโยชน์”
“กรณีที่สอง”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ เย่ชิงก็หยุดไปครู่หนึ่ง “ต่อให้บิดาเจ้ายังไม่สิ้นลมสนิท ลูกกลอนเม็ดนี้ก็อาจจะไม่มีฤทธิ์ใดเลยก็ได้”
เหลี่ยวเฉินสีหน้าซับซ้อนมองเขา “สิ่งที่เจ้าให้บิดาข้ากินคือ…”
“พิษจื่อเฉ่า” เย่ชิงสบสายตาเขาก่อนจะเอ่ยด้วยความสัตย์จริง “เจ้าน่าจะเคยได้ยินพิษชนิดนี้มาก่อน มันมีโอกาสเก้าในสิบที่จะทำบิดาเจ้าตายได้ทันที ทำให้เขาสิ้นลมสนิท”
เหลี่ยวเฉินกำมือพึมพำ “ซึ่งหมายความว่า ความหวังที่จะรอดชีวิตมีเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น”
“ไม่ได้มากเพียงนั้นหรอก” เย่ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “จากอาการของบิดาเจ้า หนึ่งในหมื่นก็เต็มกลืนแล้ว”