สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 865 โทสะของเซวียนหยวน! (1)
บทที่ 864 ราชาม้าเฮยเฟิงผู้แข็งแกร่งที่สุด!
กู้เจียวกับเซวียนหยวนฉีขี่ม้าตัวเดียวกัน ไม่สะดวกอุ้มเด็ก นางกลัวว่าพอหยุดม้าจะเบียดจนเด็กกลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ
“เหล่าถัง เอาไป” กู้เจียวส่งเด็กให้ถังเย่ว์ซาน
ถังเย่ว์ซานอ้าแขนสองข้างออกยาวเหยียด แทบอยากจะจับเด็กให้ไกลตัวเท่าใดยิ่งดี “ข้าปฏิเสธได้หรือไม่”
กู้เจียวเชิดหน้าขึ้น วางมาดใหญ่โตเอ่ย “ไม่ได้!”
ถังเย่ว์ซานมองเซวียนหยวนฉีดุจราชาผีแห่งขุนเขา อุ้มเด็กมาไว้บนตัวตัวเองอย่างยอมรับชะตากรรม
ไม่เป็นไร ข้ากำลังจะเป็นพ่อบุญธรรมคนแล้ว แม้ลูกบุญธรรมข้าจะไม่เรียนการต่อสู้ แต่สมองปราดเปรื่อง รอข้าช่วยลูกบุญธรรมออกมาได้ก่อน ค่อยให้เขาจัดการกับปีศาจน้อยปีศาจใหญ่อย่างพวกเจ้า!
ถังเย่ว์ซานครุ่นคิดด้วยความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม รู้สึกว่าชีวิตช่างงดงามนัก!
พวกเขาคิดแผนออกจากเมืองไว้สองทาง หนึ่งคือแสร้งปลอมตัวเป็นพ่อค้าหรือไม่ก็ชาวบ้านปะปนออกไป แต่วิธีนี้ถูกตัดทิ้งตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงเขตเมือง
เหตุเพราะในเมืองเข้มงวดอย่างผิดคาด ทหารจิ้นที่ลาดตระเวนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า บนถนนแต่ละสายล้วนเห็นเงาทหารจิ้นได้ถ้วนทั่ว
กู้เจียวใคร่ครวญเอ่ย “เป็นเพราะเรื่องภูเขาผีลือมาถึงจวนเจ้าเมืองแล้วหรือ พวกเขาคิดว่าพวกเราหลบหนีออกมาจากภูเขาผีแล้ว เพื่อไม่ให้พวกเราออกจากเมืองได้จึงได้เพิ่มการเฝ้าระวังขึ้นกะทันหันรึ”
ไม่ว่าอย่างไร หากสถานการณ์ตึงเครียดถึงเพียงนี้ คงออกทางประตูเมืองไม่ได้แล้ว
เช่นนั้นคงต้องใช้แผนสอง
“พวกเจ้า รออยู่ตรงนี้นะ” เซวียนหยวนฉีเอ่ย
กู้เจียวกับถังเย่ว์ซานพยักหน้า
เซวียนหยวนฉีทะยานตัวขึ้นเข้าสู่รัตติกาลสีมืด
ราวๆ ครึ่งชั่วยามต่อมาเขาก็สะพายห่อผ้าใบโตกลับมา ในห่อผ้ามีชุดเกราะทหารจิ้นอุ่นๆ สามชุด รวมถึงป้ายเหล็กระบุตัวตนและตราอาญาสิทธิ์ของพวกเขาด้วย
“ข้าไม่รู้หนังสือแคว้นจิ้น บนนี้เขียนว่าชื่ออะไรหรือ” กู้เจียวพึมพำ
“อย่ามามองข้า ข้าก็ไม่รู้” ถังเย่ว์ซานเอ่ย
กู้เจียวนั่งอยู่บนหลังม้า โคลงศีรษะมองเซวียนหยวนฉี แววตาใสแจ๋วนั่นราวกับกำลังบอกว่า ‘เจ้าก็น่าจะไม่รู้เหมือนกันกระมัง เจ้าแห่งเงาทมิฬรุ่นที่สองผู้รอบรู้’
เห็นเพียงเซวียนหยวนฉีฉวยป้ายเหล็กมา แล้วปล่อยมืออย่างเกินจริงสุดจะเปรียบ ปล่อยให้ป้ายเหล็กร่วงลงร่องพื้น “ไอ้ หยา ร่วง หาย แล้ว”
กู้เจียวสีหน้าทะมึน
ความจริงแล้วเจ้าก็อ่านไม่ออกล่ะสิ!
ประโยชน์ของป้ายเหล็กชนิดนี้โดยทั่วไปแล้วจะใช้แยกแยะศพหลังตายในสงคราม ปกติจะไม่ตรวจสอบ หายแล้วก็หายไป
นอกจากนี้ เซวียนหยวนฉีไม่รู้ไปเอาตะกร้าสะพายใบน้อยมาจากไหน สามารถวางเด็กทารกน้อยลงไปได้พอดี
เห็นได้ชัดว่ามีแค่ตะกร้าน้อยใบนี้ก็ไม่พอ เสียงร้องของเด็กแรกเกิดดังขึ้นได้ทุกเมื่อ
กู้เจียวเพิ่งใส่เด็กเข้าไปในตะกร้าที่ปูผ้าฝ้ายไว้ เด็กก็ร้องอุแว้ๆ ขึ้นมา
ลำคอแปดหลอดนี้ทำเอาทั้งสามพากันสะดุ้งโหยง!
เสียงดังเกินไปแล้ว กลางกระหม่อมแทบจะเปิดเพราะเสียงร้องของเด็กแล้ว!
ถังเย่ว์ซานหน้าซีดเผือด กัดฟันเอ่ย “อย่าร้องสิ! บรรพบุรุษน้อย! เดี๋ยวเจ้าได้เรียกพวกทหารจิ้นมากันหมดหรอก!”
“อุแว้…อุแว้…อุแว้…”
เขากำหมัดน้อยๆ แน่น ร้องเสียลั่นฟ้าสะเทือนดิน!
“ผู้มีพระคุณ!”
ทันใดนั้น สตรีออกเรือนคนหนึ่งก็ถือโคมปรากฏตัวขึ้นหน้าตรอก
นางสาวเท้าสั้นๆ เดินมาหาถังเย่ว์ซาน “เป็นท่านจริงๆ ด้วย!”
ถังเย่ว์ซานสีหน้างุนงง
ตอนนั้นกู้เจียวไม่ได้ปรากฏตัว นางจึงจำได้แค่ถังเย่ว์ซาน
“ผู้มีพระคุณ ท่านช่วยคุณหนูข้าไว้ ท่านลืมแล้วหรือ” นางเอ่ยพลางหันไปมองทารกในอ้อมอกถังเย่ว์ซาน เอ่ย “เพิ่งเกิดหรือ”
กู้เจียวเอ่ย “บิดาเขาถูกทหารจิ้นสังหาร มารดาเขากำลังหลบหนีการไล่ล่าของทหารจิ้น พวกเราอยากพาเขาจากไป”
“ข้าเองเถิด” สตรีออกเรือนยื่นโคมให้ถังเย่ว์ซาน ยื่นมือไปรับตัวทารกจากมือกู้เจียว “เขาน่าจะหิวแล้ว คุณหนูเล็กของข้าก็เพิ่งคลอดได้ไม่นาน ที่บ้านมีแม่นม ข้าอุ้มไปป้อนให้”
กู้เจียว “รบกวนแล้ว”
สตรีออกเรือนรีบเอ่ย “พวกท่านหากไม่รังเกียจก็เชิญตามข้ามาเถิด”
พวกนางตามนางเข้ามาในเรือน
นี่เป็นตระกูลร่ำรวย น่าเสียดายที่บุรุษในบ้านโดนจับไปหมด มีเพียงสตรีและสาวใช้แม่บ้านปิดประตูใช้ชีวิตอย่างหวาดผวา
สตรีออกเรือนอุ้มเด็กไปห้องหลัก เสียงร้องของเด็กพลันเงียบลง ดูท่าจะได้กินนมแล้ว
ราวๆ ครึ่งเค่อต่อมา สตรีออกเรือนก็ออกมาจากห้อง ไปยังห้องบุปผาคำนับให้พวกกู้เจียว แล้วเอ่ยกับถังเย่ว์ซาน “ฮูหยินข้ายังอยู่เดือนอยู่ ไม่สะดวกออกมาขอบพระคุณบุญคุณช่วยชีวิตของผู้มีพระคุณ แต่ฮูหยินข้าบอกว่าหากผู้มีพระคุณไม่รังเกียจ ให้เด็กคนนี้อยู่ที่นี่ก่อนได้ รอผู้มีพระคุณเสร็จงานในมือแล้ว ค่อยมารับเขา”
สตรีออกเรือนไม่ได้โง่ ฮูหยินผู้นั้นก็ไม่ได้โง่
บนตัวพวกเขาสวมชุดเกราะของทหารจิ้น แค่มองก็รู้ว่ากำลังทำธุระอยู่
กู้เจียวถาม “จะนำอันตรายมาสู่พวกเจ้าหรือไม่”
สตรีออกเรือนเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ไม่หรอกเจ้าค่ะ ลูกแม่นมก็อยู่ในห้อง เด็กน้อยทั้งสองร้องกันทั้งวัน มีเพิ่มมาอีกคนก็ไม่เป็นไร ไม่มีผู้ใดสังเกตรู้ ยิ่งไปกว่านั้นทหารจิ้นก็แค่ปล้นสะดมชาวบ้าน ไม่สนใจเด็กทารกหรอก”
กู้เจียวใคร่ครวญอย่างจริงจังครู่หนึ่ง รู้สึกว่าวิธีนี้เป็นไปได้
“นางพูดว่าอย่างไรหรือ” ถังเย่ว์ซานถาม
กู้เจียวเอ่ย “นางให้พวกเราฝากเด็กไว้ที่นี่ก่อน อีกสองสามวันค่อยมารับไป”
กู้เจียวเอ่ย “เป็นไปได้น้อยมาก ในห้องมีลูกของแม่นมคนหนึ่ง ไหนจะมีทารกแรกเกิดไม่นานอีกคนหนึ่ง”
ด้วยเหตุนี้ถังเย่ว์ซานจึงได้วางใจลง
เมื่อปัญหาอย่างเด็กน้อยจัดการเรียบร้อย ทั้งสามก็เดินทางต่อ
ระหว่างนั้น เซวียนหยวนฉีแอบเอา (ปล้น) ม้าศึกของทหารจิ้นมาตัวหนึ่ง แล้วบีบบังคับให้ทหารจิ้นคนนั้นสอนภาษาแคว้นจิ้นให้สองสามประโยคเดี๋ยวนั้นเลย
จากนั้นเขาก็สังหารคนทิ้ง พากู้เจียวกับถังเย่ว์ซานไปหน้าประตูเมือง
เขาปล่อยหน้ากากที่ติดกับหมวกเหล็กลง ชูป้ายคำสั่งของตัวเองออกมาด้วยมาดเต็มเปี่ยม!
ทหารเฝ้าประตูเมืองตกใจจนตัวสั่น รีบประสานมือคำนับให้ “ท่านแม่ทัพหลิว!”
กู้เจียว “…”
นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะทำให้ตัวเองเป็นถึงท่านแม่ทัพ
“ฟ้ายังไม่สางเลย ท่านแม่ทัพหลิวจะออกจากเมืองหรือ” ทหารรักษาการณ์ถาม
เซวียนหยวนฉีวางมาด มองกู้เจียวอย่างใหญ่โตยิ่ง
ทหารน้อยกู้เจียวใช้ภาษาจิ้นที่เพิ่งเรียนมาสดๆ ร้อนๆ เอ่ยเสียงขรึม “ท่านแม่ทัพใหญ่มีคำสั่งลับ! เปิดประตูเมือง!”
“…ขอรับ! ขอรับ!”
ออกจากเมืองได้ราบรื่นกว่าที่คิดไว้
กู้เจียวครุ่นคิดว่าท่านผู้เฒ่าไปปล้นชิงบุคคลเก่งกาจใดมากันนี่ คงไม่ใช่เข้าจวนเจ้าเมืองไปปล้นมาหรอกกระมัง
“ไม่ใช่” หลังจากกู้เจียวสงสัยอยู่ในใจ เซวียนหยวนฉีก็วางมาดจริงจังปฏิเสธ
เขาออกจากจวนเจ้าเมืองหลวง
ปล้นตรงหน้าประตูแทน!
หลังออกจากเมืองไม่นานฟ้าก็สาง
ราชาม้าเฮยเฟิงเป็นม้าผู้นำที่ยอดเยี่ยมมาก ภายใต้การนำของมัน ม้าเฮยเฟิงกับม้าศึกทหารจิ้นก็แสดงความเร็วออกมาได้จนถึงขีดสุด
กู้เจียวกำบังเหียนแน่น “ลูกพี่ พวกเราต้องไปถึงฉวี่หยางก่อนฟ้ามืดนะ!”
ราชาม้าเฮยเฟิงต้านลมตะวันตก ควบวิ่งฮ่อตะบึงอยู่บนถนนหลวง พวกเขาใช้เส้นทางลัดตอนขามา
หลังจากลงถนนหลวงแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในป่าที่มีเงาไม้ร่มรื่น ลัดเลาะไปตามเส้นทางคดเคี้ยวและลำธารเล็กๆ ภูเขาสูงชัน มุ่งไปยังประตูเมืองฝั่งตะวันออกของฉวี่หยาง!
การรีบเร่งโดยไม่คิดชีวิตเช่นนี้ครั้งล่าสุดเป็นตอนคัดเลือกผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิงรอบสุดท้าย จากเมืองผู่ไปถึงฉวี่หยางเส้นทางตรงไม่ถึงสามร้อยลี้ แต่เดินทางยาก
เมื่อออกมาจากป่าอีกครา ม้าทั้งสามตัวก็ได้รับบาดเจ็บกันหมด
ราชาม้าเฮยเฟิงไม่กล้าหยุดพัก
เซวียนหยวนฉีไล่ตามมาตลอดทาง มองมันจากไกลๆ
เสี่ยวเย่ว์น้อยเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน
คราเมื่อเสี่ยวเย่ว์น้อยเพิ่งเกิดเกือบจะเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก เขานึกว่ามันจะโตไม่ได้แล้ว
แต่มันไม่เพียงเติบโตขึ้นเท่านั้น ยังกลายเป็นราชาม้าเฮยเฟิงตัวใหม่เอาชนะเหนือม้าตัวผู้แล้ว
มันเป็นราชาม้าเฮยเฟิงที่เก่งกาจที่สุด มีกำลังห้าวหาญและแข็งแกร่งกว่าราชาม้าเฮยเฟิงของพี่ใหญ่อีก
มันเข้าร่วมสงครามศึกแรกหลังจากเข้าร่วมการเกณฑ์เมื่ออายุสิบหก แต่นี่ก็อาจจะเป็นสงครามศึกสุดท้ายในชีวิตของมันแล้วก็ได้
ทำศึกครานี้เสร็จ มันก็ควรเกษียณแล้ว
ราชาม้าเฮยเฟิงเนื่องจากการฝึกที่หนักและเข้มข้นมาก อายุมันจึงสั้นกว่าม้าศึกทั่วไป
เพื่อรักษากำลังรบที่มากที่สุด จึงไม่มีม้าศึกที่อายุเกินยี่สิบสองในค่ายเฮยเฟิง โดยปกติแล้วอายุสิบสามก็ปลดหน้าที่แล้ว
แต่มันเกือบสิบเจ็ดแล้ว ยังอยู่ในหน้าที่อยู่เลย!
เซวียนหยวนฉีมองมัน และมองเงาร่างเล็กองอาจห้าวหาญที่อยู่บนหลังมัน
พวกเขาเป็นสหายที่เหมาะสมกันที่สุดในโลก
…
ตะวันค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า
ราชาม้าเฮยเฟิงมุ่งนำหน้า
ม้าศึกสองตัวตามมาอยู่ไกลๆ ระยะห่างระหว่างพวกเขาห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่เมื่อกู้เจียวหันกลับมา ก็ไม่เห็นพวกเขาทั้งสองแล้ว
ไม่เป็นไร เมืองฉวี่หยางอยู่ข้างหน้านี้แล้ว!
ข้าไปส่งข่าวก่อนก็มีค่าเท่ากัน!
“ลูกพี่! เดี๋ยวหมดถนนหลวงแล้วก็จะเห็นกำแพงเมืองแล้ว!”
นางเพิ่งจะเอ่ยจบ จู่ๆ ราชาม้าเฮยเฟิงก็ลดความเร็วลง กู้เจียวขมวดคิ้ว ดึงบังเหียนแน่นให้หยุด
ข้างหน้าถนนหลวงมีเสียงเกือกม้าเร่งร้อนลอยมา ก้อนหินดินทรายบนพื้นสั่นสะเทือนไปหมด
“เสียงเกือกม้านี้…หรือจะเป็นกองทหารม้ากองหนึ่ง”
พวกเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กู้เจียวเห็นธงที่พวกเขาชูขึ้นสูง
นึกไม่ถึงว่าจะเป็น…กองทัพจิ้น!
กองทัพจิ้นที่นางหลบหนีจากเมืองผู่ กลับมาเจอกองทัพจิ้นอีกกองที่นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน
กู้เจียวตัดความเป็นไปได้ที่กองทัพจิ้นเมืองผู่แซงหน้าพวกนางบนถนนใหญ่ แล้วค่อยย้อนกลับมาสังหารทิ้ง
ถนนใหญ่ไกลกว่าถนนเส้นเล็กยังไม่ต้องพูดถึง ม้าของพวกเขาไม่ว่าอย่างไรก็วิ่งแซงราชาม้าเฮยเฟิงไม่ได้อยู่ดี
กองทัพจิ้นกลุ่มนี้เหมือนจะมาจากทางเมืองซิน
เมืองซิน เขตแดนของตระกูลหนานกง!
กองทัพจิ้นพวกนี้ซ่อนตัวอยู่ในเมืองซินตั้งแต่แรก ยามนี้กองทัพใหญ่ราชสำนักหนึ่งแสนสองหมื่นนายต้องช่วงชิงเมืองซินกลับคืนมา พวกเขามีกำลังทหารไม่พอ เฝ้ารักษาการณ์เมืองซินไม่อยู่ จึงทิ้งเมืองหนีมาเสียเลย
พวกเขาต้องการไปตั้งค่ายที่เมืองผู่ จึงได้มาเจอกับกู้เจียวที่มาจากเมืองผู่
“โลกกลมจริงๆ …”
กู้เจียวทอดมองกองทัพจิ้นแน่นขนัด ประมาณคร่าวๆ อย่างน้อยมีกำลังทหารหนึ่งหมื่นนาย
ความเคลื่อนไหวของพวกเขาใหญ่โตเพียงนี้ ซ้ำยังใกล้กับเมืองฉวี่หยางเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าจะไม่เจอการโจตีขัดขวางของกำลังทหารฉวี่หยาง
เช่นนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว…กำลังทหารเมืองฉวี่หยางแบ่งออกเป็นสองทาง แทบจะเคลื่อนพลไปทั้งหมด ทหารม้าเฮยเฟิงในเมืองที่เหลือทำศึกไม่ได้ รวมถึงทหารรักษาการณ์บางส่วนเฝ้ารักษาการณ์คูเมืองได้เพียงพอพอดี
การจัดวางเช่นนี้ไม่ผิด สามารถคว้าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่โดยที่บาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุดได้ เพื่อให้เหลือกำลังทหารเพียงพอที่จะจัดการกับกองทัพจิ้นสองแสนนายที่เมืองผู่
ใครจะไปคิดว่ากู้เจียวจะมาเจอกองทัพจิ้นกองนี้เข้า
อย่างไรเสียหากมิใช่ได้รับข่าวด่วยยามอยู่ทีภูเขาผี กู้เจียวไม่มีทางเลือกเร่งเดินทางตอนกลางวันเด็ดขาด
กู้เจียวอยากหลบก็ไม่ทันแล้ว เพราะทหารจิ้นเห็นนางแล้ว
“ข้างหน้านั่นผู้ใด” ทหารจิ้นนายหนึ่งตะโกนขึ้น