สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 860 ศึกครั้งสุดท้าย! (1)
บทที่ 860 ศึกครั้งสุดท้าย! (1)
หลังจากที่เซี่ยสิงโจวสูญเสียคนและม้าไปหลายร้อยคนในป่า สีหน้าของเขาเริ่มไม่สู้ดีนักสักเท่าไหร่
ตอนนี้เขาอยากจะค้นหาคนเจ้าเล่ห์เหล่านั้นทีละคนแล้วฆ่าทิ้งให้หมด!
บังอาจมาหลอกคนอย่างเขาได้ ระวังเถอะ มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก!
หลังจากนั้น เซี่ยสิงโจวจึงเกณฑ์ทหารที่ชำนาญด้านกลไกมาเพิ่ม
เมื่อกลไกในป่าถูกทำลาย พวกทหารแคว้นจิ้นจึงรอดพ้นจากพื้นที่อันตรายแห่งนี้ได้ และเข้ามายังบริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้าน
มีลำธารเล็กๆ เชื่อมระหว่างหุบเขาและหมู่บ้าน ทว่าสะพานไม้กลับถูกทำลายไปแล้ว
แต่ด้วยความที่ลำธารนี้ไม่ได้ใหญ่มาก พวกเขาสามารถสร้างทางขึ้นมาใหม่ได้
“รบกวนผู้อาวุโสลู่ด้วย” เซี่ยสิงโจวเอ่ย
“เอ้า!” ผู้อาวุโสลู่จึงหันไปส่งสัญญาณมือให้ลูกศิษย์สองคน
เมื่อได้รับคำสั่งจากปรมาจารย์ ลูกศิษย์ทั้งสองก็ชักดาบขึ้นมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้าเพื่อโค่นต้นไม้ใหญ่สองต้น
จากนั้นรองแม่ทัพจึงนำทหารที่มีแรงเยอะมาช่วยมัดท่อนไม้ จากนั้นวางส่วนโค้งของท่อนไม้ลงไปในหลุมที่ขุดไว้ แล้วใช้หอกยาวดามเอาไว้เพื่อไม่ให้ท่อนไม้เกิดพลิก
การสร้างสะพานชั่วคราวนี้ใช้เวลาเพียงแค่สองเค่อเท่านั้น
ทว่าม้าศึกของพวกเขากลับไม่ยินยอมที่จะใช้สะพานชั่วคราวอันนี้ พวกมันรู้สึกว่าอันตรายเกินไป ผิดกับม้าของทหารเฮยเฟิงที่สามารถกระโดดข้ามลำธารนี้ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ เซี่ยสิงโจวและทหารคนอื่นๆ จึงต้องลงจากม้าและไต่สะพานข้ามไปด้วยตนเอง
“ข้าได้ยินมาว่าม้าของเฮยเฟิงนั้นแข็งแกร่งมาก ถ้าพวกเราชนะพวกมันได้เมื่อไหร่นะ ข้าจะเอาพวกมันมามอบให้แม่ทัพเซี่ยเป็นของขวัญ” รองแม่ทัพเอ่ยประจบ
แม้สีหน้าของเซี่ยสิงโจวจะเหมือนเดิม แต่ในใจลึกๆ ของเขาเริ่มเกิดกิเลสขึ้น
ทหารเฮยเฟิงเป็นทหารม้าที่ทรงพลังที่สุดในหกแคว้น นอกเหนือจากทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมของทหารม้าแล้ว ม้าศึกเองก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าม้าเฮยเฟิง เรียกได้ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามในหมู่ม้า
เมื่อเขายังเด็ก ครั้งหนึ่งเขามีโอกาสได้เห็นเซวียนหยวนลี่กับม้าเฮยเฟิง เขารู้สึกตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับเป็นเวลาสามวัน เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ก็ยังรู้สึกใจสั่นไม่หาย
แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วที่จะใจสั่นเวลาเห็นม้าศึก แต่หากว่าเขาสามารถเอาชนะม้าศึกได้ ก็ค่อยสมน้ำสมเนื้อกับฉายาพลทหารจอมคลั่งของเขาอยู่บ้าง
…แต่ว่า นายท่านจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่นั้นนี่สิ ถ้าหากนายท่านสนใจขึ้นมา เขาก็จะอดได้เจ้าม้าศึกมาครอบครองน่ะสิ
ภายในเวลาไม่กี่วิ เซี่ยสิงโจวเริ่มจินตนาการที่จะอยากได้เจ้าเฮยเฟิงมาเป็นของตัวเองแล้ว
จากนั้นเหล่าทหารจึงเดินทางมาถึงที่หมู่บ้าน
“หมู่บ้านที่นี่ไม่เล็กเลยนะ น่าจะมีชาวบ้านอาศัยอยู่ราวร้อยคนได้” รองแม่ทัพเอ่ยขึ้นหลังจากเข้ามาในหมู่บ้าน จากนั้นเขาออกคำสั่ง “เข้าไปตรวจทีละหลังให้ละเอียดเลยนะ!”
“ขอรับ!”
เหล่าทหารรับคำสั่งและแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งรับหน้าที่ตรวจบ้านแต่ละหลีง และอีกกลุ่มรับหน้าที่ค้นหาค่ายทหาร
กลายเป็นว่าพวกเขาไม่เจอใครเลยนอกจากหมูป่าไม่กี่ตัว
“หนีไปแล้วรึ” เซี่ยสิงโจวย่นคิ้ว จากนั้นเขาจึงเรียกทหารสองคนที่รับหน้าที่ลาดตระเวนเมื่อคืน “พวกเจ้าเจอเบาะแสอะไรบ้าง”
ทหารคนแรกรายงาน “เมื่อคืนนี้พวกเราซ่อนตัวอยู่ตรงทางเข้าเขาภูเขาผีขอรับ ยืนยันว่าไม่มีใครเข้าออกบริเวณนั้นเลยขอรับ”
เซี่ยสิงโจวเดินสุ่มเข้าไปในห้องเตาเผาหลังหนึ่ง แล้วเอามืออังที่ตะเกียงไฟ
ไม่มีไอร้อนอยู่เลย
“ไปตรวจสอบห้องอื่นๆ เดี๋ยวนี้” เซี่ยสิงโจวออกคำสั่ง
“ขอรับ!”
พวกเขาแยกย้ายกันไปตรวจทีละหลัง แต่ก็ไม่พบหลังไหนที่มีไอร้อนจากเตาเผาหลงเหลืออยู่ สภาพอากาศช่วงนี้ หากมีการจุดไฟตอนเช้า อย่างน้อยก็ต้องมีความร้อนหลงเหลืออยู่
ทันใดนั้น มีทหารวิ่งเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ! มีวัตถุต้องสงสัยอยู่บริเวณทิศตะวันออกขอรับ!”
เซี่ยสิงโจวและทหารคนอื่นๆ จึงไปตามที่บอก
เขาภูเขาผีล้อมรอบด้วยทะเลสาบทั้งสามทิศ ดังนั้นจึงมีทางเข้าออกทางเดียวซึ่งก็คือตรงทิศใต้
ในเวลานี้ บนชายฝั่งของภูเขาตะวันออก ทุกคนพบรอยเท้าและร่องรอยเรือจอดเทียบท่าจำนวนมาก รวมถึงสัมภาระที่ถูกวางกระจัดกระจาย เช่นรองเท้า กระเป๋า และอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีเรือลำเล็กจอดอยู่บนฝั่งด้วย
ประกอบกับหลักฐานที่ไม่มีร่องรอยการจุดไฟในหมู่บ้าน ทหารแคว้นจิ้นจึงอดคิดไม่ได้ว่าพวกชาวบ้านแอบหลบหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ทุกอย่างแลดูสมเหตุสมผลและไม่มีคำอธิบายอื่น
หากหมิ่นหงอียังอยู่ คงใช้วิธีนำทัพเดินทางอ้อมไปยังอีกฝั่งของภูเขาเพื่อไล่ล่าอีกฝ่าย ทว่าเซี่ยสิงโจวไม่ใช่คนแบบนั้น
“จงเฉิง” เขาเรียกรองแม่ทัพ “ชายฝั่งอีกด้านตั้งอยู่ที่ไหน”
“ข้าเองก็ไม่เคยไปที่นั่น” จงเฉิงคือคนที่แคว้นจิ้นส่งมาเป็นสายลับซ่อนตัวอยู่ที่เมืองผู่ จึงมีความคุ้นเคยเรื่องที่ทางในเมืองผู่ เว้นเสียแต่เขาภูเขาผีแห่งนี้
“ซ่อมแซมเรือพวกนี้ให้เร็วที่สุด แล้วส่งทหารเรือล่องทะเลสาบไปยังอีกฝั่ง”
“ขอรับ!”
ซ่างกวานชิ่งรู้อยู่แล้วว่าเซี่ยสิงโจวจะต้องสั่งให้คนล่องเรือ
เรือลำนี้สามารถจุคนได้เพียงสองสามคนเท่านั้น อีกทั้งทะเลสาบแห่งนี้มีขนาดใหญ่ สองฝั่งขนาบทางน้ำยังเต็มไปด้วยภูเขาเขียวขจี
สุดทางของภูเขามีน้ำตกที่สูงมากๆ ซึ่งยากที่จะมีชีวิตรอดออกมาได้
แต่ก็แน่นอนอีกว่าคนอย่างเซี่ยสิงโจวไม่ทางปักใจอยู่กับแค่แผนการเดียวอยู่แล้ว
เขาออกคำสั่งกับทหารอีกชุด “พวกเจ้าตรวจค้นบริเวณรอบๆ นี้ทั้งหมด ระวังพวกกลไกลับด้วย เก็บทุกรายละเอียด อย่าปล่อยให้พลาดแม้แต่นิด”
หลังจากทหารรับคำสั่ง พวกเขาก็แยกย้ายกันออกไป
ขณะเดียวกัน กู้เจียวที่กำลังนั่งอยู่ในถ้ำก็รู้แล้วว่าพวกทหารแคว้นจิ้นบุกเข้ามาแล้ว และรู้ว่าซ่างกวานชิ่งกับชาวบ้านหนีออกไปกันได้แล้ว ทหารแคว้นจิ้นกำลังออกตามหาพวกเขาในเขาภูเขาผีแห่งนี้ และไม่รู้ว่าจะเจอเบาะแสอะไรได้บ้าง
ทหารจิ้นสองคนกำลังใช้ดาบฟันเข้าที่พุ่มไม้ และเมื่อพวกเขาเห็นว่าไม่น่ามีทางลับที่คนเข้าไปได้ ก็เดินออกไปอย่างผิดหวัง
สักพักก็มีทหารจิ้นพยายามฟันเข้ามา ก็ไม่มีใครพบเจอกับถ้ำลับที่อยู่หลังพุ่มไม้นี้แม้แต่คนเดียว
ด้านนอกถ้ำมีพืชพรรณนานาชนิด ในถ้ำเองก็มีแหล่งน้ำกับเสบียง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง
กู้เจียวเหลือบมองไปทางเซวียนหยวนฉีที่กำลังนั่งถอดจิตอยู่ข้างๆ และตัดสินใจคุ้มกันเขาต่อไป
…
การค้นหาของกองทัพจิ้นยังคงดำเนินต่อไปจนถึงช่วงเย็น พวกเขาค้นหาไปเกือบทั่วทั้งภูเขาผีแล้ว แต่ก็ยังไม่พบอะไรเลย
ขณะเดียวกัน ณ ถ้ำขนาดใหญ่ที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว มีทหารสามร้อยนายและมีชาวบ้านกว่าห้าร้อยคนนั่งอยู่ที่ข้างธารเชี่ยวแห่งนี้
ทหารหลายนายทยอยกลับมาจากเส้นทางสำคัญต่างๆ และเข้ารายงานสถานการณ์บนพื้นให้ซ่างกวานชิ่งทราบ
“ดูเหมือนพวกเขากำลังจะหยุดการค้นหาแล้วขอรับ”
“แต่เซี่ยสิงโจวไม่ได้สั่งการถอนทัพในทันที ดูเหมือนว่าเขาจะรอทหารกลุ่มที่ออกไปค้นหาในทะเลสาบขอรับ”
“เดี๋ยวก็คงรอไม่ไหวเองแหละ ยังไงกลุ่มนั้นก็กลับมาไม่ได้แล้ว”
ซ่างกวานชิ่งพยักหน้า พร้อมกับตอบพวกเขาไป “หากเซี่ยสิงโจวเห็นว่าทหารกลุ่มนั้นไม่กลับมาแล้ว เขาจะต้องคาดเดาว่าทหารกลุ่มนั้นไม่เจออุบัติเหตุ ก็เจอพวกเราแล้วถูกพวกเรากำจัดแล้ว เป็นไปได้ว่าเซี่ยสิงโจวอาจเลือกเชื่ออย่างหลัง ตรงนั้นไม่มีเรือลำอื่นแล้ว พวกเขาจะต้องไปเอาเรือจากในเมืองเข้ามา และนั่นก็จะยิ่งเป็นการยืดเวลามากกว่าเดิม”
เอ่ยจบ ซ่างกวานชิ่งก็หันมาเอ่ยกับชาวบ้าน “ทุกคนไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้พวกเราอยู่ในที่ๆ ปลอดภัยแล้ว พวกนั้นหาพวกเราไม่เจออย่างแน่นอน และพวกมันจะต้องเชื่อสนิทว่าพวกเราอพยพออกไปจากที่นี่แล้ว”
“แล้ว…ถึงตอนนั้นล่ะ จะอย่างไรต่อ” หนึ่งในชาวบ้านถามขึ้น
“ถึงตอนนั้น ทหารของราชสำนักก็จะมาถึงที่นี่น่ะสิ!”
ถังเย่ว์ซานเอ่ย
เขาก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยกับชาวบ้านที่ดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง “วันนี้ กองทัพจักรพรรดิกำลังโจมตีกองทัพเหลียง หลังจากการโจมตีเสร็จ พวกเขาจะมาที่เมืองผู่เพื่อจัดการกับกองทัพจิ้น!”
ซ่างกวานชิ่งแปลคำพูดของถังเย่ว์ซาน ซึ่งชาวบ้านต่างก็ไม่มีใครเอะใจอะไร
“แสดงว่า…จะมีคนมาช่วยพวกเราแล้วใช่ไหม” ชาวบ้านคนเดิมถามต่อ
“ใช่แล้ว! อย่างมากก็ต้องรออีกห้าวัน ไม่นานเดี๋ยวพวกเขาก็เดินทางมาถึงกันแล้ว!”
สำหรับเหล่าเซียว อย่างมากก็ใช้เวลาราวห้าวันในการโจมตีทหารแคว้นเหลียงและจัดการพวกตระกูลหนานกง
อีกทั้งลูกสะใภ้ของเหล่าเซียวยังอยู่ที่นี่ เหล่าเซียวต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเขาและแม่เด็กนั่นกำลังมีปัญหา และจะเร่งโจมตีเมืองผู่ให้เร็วขึ้น
ซ่างกวานชิ่งแปลคำพูดของถังเย่ว์ซานอีกครั้ง
“ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” ชาวบ้านอีกคนถามขึ้น
“ข้า เอ่อ…” ถังเย่ว์ซานอ้าปากพะงาบ ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไรจึงจะเหมาะสม
ซ่างกวานชิ่งจึงพาดมือไว้ด้านหลังแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น “เขาคือนายพลที่ราชสำนักส่งมา”
ชาวบ้านที่นี่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของราชสำนักมากนัก แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเขาเป็นนายพล ทุกคนก็เชื่อคำพูดของเขาทันทีและเริ่มรู้สึกถึงความหวังอีกครั้ง
ชาวบ้านทุกคนหันมาสบตากันพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนหน้า
“เจ้าไปโกหกพวกเขาแบบนั้นจะดีหรือ…” ถังเย่ว์ซานกระซิบถาม
ซ่างกวานชิ่ง “ข้าไม่ได้เอ่ยนี่นาว่าราชวงศ์ใคร มาจากแคว้นไหน”
ถังเย่ว์ซาน “…”