สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 858 ตัวตน
บทที่ 858 ตัวตน
ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ ฝีเท้าของกู้เจียวก็เริ่มช้าลงเพื่อที่จะใช้ความคิด
พร้อมกับสังเกตการณ์พวกเขาจากทางด้านหลัง
คนที่ทำให้เฮยเฟิงตื่นเต้นได้ขนาดนี้ คงมีเพียงแค่คนของตระกูลเซวียนหยวนเท่านั้น
ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะตอบคำถามของนางหรือไม่ อย่างน้อยก็ค่อนข้างมั่นใจได้ระดับหนึ่ง
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาเป็นใครในตระกูลเซวียนหยวน กู้เจียวทำได้แค่เดาไปก่อนเท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องรอพิสูจน์
ตอนนี้กลายเป็นว่ากู้เจียวได้เปลี่ยนสถานะเป็น… เด็กม้าไปโดยปริยาย
พวกเขาใช้เวลาเดินอยู่นานกว่าจะออกจากป่า พอออกมาได้ก็เดินเข้าป่าต่อ เดินเลาะลำห้วยมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงเขาอีกลูกหนึ่ง
กู้เจียวเริ่มสงสัยว่าราชาผีกำลังนำทางไปไหน อีกทั้งยังรู้สึกตงิดๆ ว่าเขากำลังใช้เส้นทางที่อ้อม
จึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ “ท่านจะพาพวกเราไปที่ไหน ใช่ที่พักของท่านหรือเปล่า”
ขอแค่บอกทิศมา เดี๋ยวนางจะนำทางให้เอง รับรองว่าไม่อ้อมไปอ้อมมาแบบนี้แน่นอน
ราชาผีหยุดฝีเท้าลงแล้วครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
หลังจากที่นึกออก เขาก็ค่อยๆ ตอบกู้เจียวกลับไป “มา…ดู…ทิว…ทัศน์…”
พาเสี่ยวอาเย่ว์มาเดินกินลมชมภูเขาน่ะ
กู้เจียว “…”
ไม่ดูได้ไหมล่ะ
ช่างเถอะ ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
กู้เจียวที่เริ่มง่วงเหงาหาวนอนก็ขอตัวปีนขึ้นไปงีบบนหลังเจ้าเฮยเฟิง
พอตื่นอีกที ก็พบว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ป่าแล้ว แต่เป็นถ้ำแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่
ด้านในถ้ำถูกประดับไปด้วยไข่มุกแสงราตรีที่คอยให้แสงสว่างในถ้ำ โดยมีเจ้าเฮยเฟิงคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ
กู้เจียวลุกขึ้นและออกไปตามหาเขา พอเดินออกมาถึงตรงปากถ้ำ ก็เห็นเขานั่งอยู่ด้านนอก ท่าเดียวกับตอนที่เจอที่สุสาน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีหวาดระแวง กู้เจียวจึงเข้าไปนั่งข้างๆ เขา
เจ้าเฮยเฟิงก็เดินตามออกมาด้วยเช่นกันราวกับต้องการจะจับตาดูกู้เจียวเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเจ้านายเก่ารังแก
“คือว่า ข้าขอวัดชีพจรให้ได้ไหม” กู้เจียวถามเขา
จะพูดจะคุยกับคนแก่ต้องสุภาพกันหน่อย!
“ข้าเป็นหมอน่ะ” กู้เจียวเอ่ย
อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ
กู้เจียวค่อยๆ ดึงแขนเขาออกมาแล้ววางสามนิ้วลงบนเส้นชีพจร
ชีพจรของเขาประหลาดมาก
จริงอยู่ที่เขามีอาการบาดเจ็บ
แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ยังมีชีพจรในร่างกายของเขาที่มีทั้งความหนักแน่นและอ่อนแรงสลับไปมา
ซึ่งเป็นชีพจรที่ทำให้เขาระเบิดความแข็งแกร่งออกมาโดยไม่รู้ตัว
กู้เจียวนิ่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเอ่ยกับเขา “ใบหน้าของท่านมีรอยเปื้อน เดี๋ยวข้าเช็ดให้”
เอ่ยจบ ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและค่อยๆ เข้าไปใกล้ๆ ใบหน้าของเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่ปฏิเสธ จึงบรรจงเช็ดสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าของเขาให้หมด
ในที่สุด กู้เจียวก็คลายข้อสงสัยได้หลังจาดที่ได้ยลใบหน้าที่แท้จริงของเขาในระยะใกล้
“ข้าเคยเห็นภาพของท่าน ในห้องเก็บหนังสือที่ตำหนักกั๋วซือ…”
“ท่านคือ…”
แล้วกู้เจียวก็เอ่ยชื่อของเขาออกมา
…
“นี่ๆๆ ! ตื่นได้แล้ว! เจ้าเด็กนั่นหายไปไหนแล้ว”
ซ่างกวานชิ่งรีบเขย่าตัวถังเย่ว์ซานให้ตื่น
แม้ถังเย่ว์ซานจะฟังภาษาแคว้นเยียนออก แต่เขาพูดไม่ได้
“ว่า… ว่าอะไรนะ” เขาตอบกลับด้วยภาษาแคว้นเจา
ซ่างกวานชิ่งจึงรีบเปลี่ยนไปใช้ภาษาแคว้นเจาทันที “ข้าถามว่า สหายของเจ้าไปไหนแล้ว”
“เอ๋ เจ้าเป็นใครหรือ” ถังเย่ว์ซานหมดสติไปตั้งแต่เข้ามาในป่า เพิ่งมาฟื้นเอาก็ตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น อีกทั้งเขายังตกใจด้วยว่าในที่แบบนี้ยังมีคนพูดภาษาแคว้นเจากับเขาได้ด้วย
“เฮ้อ ช่างเถอะ!” ซ่างกวานชิ่งถอนหายใจ “เดี๋ยวข้าออกตามหาเขาเอง เจ้าเด็กนั่น…ต้องแอบไปที่หลังเขาแน่ๆ !”
ถังเย่ว์ซานไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายเอ่ย “นี่ เจ้าเห็นสหายของข้าบ้างไหม คนที่ใส่ชุดสีเขียว มีรอยปานแดงบนแก้มซ้ายน่ะ”
ซ่างกวานชิ่งโบกมือปัด “เขาคงไปที่หลังเขาแล้วตอนนี้! ข้าเองก็กำลังตามหาเขาอยู่เหมือนกัน!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ถังเย่ว์ซานจึงรีบลุกขึ้นพร้อมกับแบกธนูคู่ใจเดินตามซ่างกวานชิ่งออกไป
สายลมเย็นที่ปะทะเข้าหน้า ความง่วงซึมจึงพลันหายไป
ตอนนี้ถังเย่ว์ซานอยู่ในหมู่บ้านในหุบเขาแห่งหนึ่ง และผืนป่าที่อยู่ด้านหน้าเขาคือที่ที่เขากับกู้เจียวใช้ซ่อนตัว
“สหายท่านนี้ ขอถามได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ถังเย่ว์ซานถามด้วยความเกรงใจ
ช่างกวานชิ่งตอบ “ราชาผีช่วยเจ้ากับสหายของเจ้าเอาไว้ แต่สหายของเจ้าดันไม่เชื่อฟัง ข้าอุตส่าห์เตือนเขาแล้วว่าอย่าบุกไปที่หลังเขา แต่ยังดันทุรังไปจนได้!”
พอรู้ว่ากู้เจียวไม่เป็นอะไร ถังเย่ว์ซานก็โล่งใจ ส่วนเรื่องที่นางแอบไปหลังเขานั้นเขาไม่ได้คิดมากอะไร
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุนั่นแหละ
ครั้งหน้าลองบอกให้นางไปที่เดินเล่นที่หลังเขาดูสิ นางจะได้รู้สึกขี้เกียจไป
จู่ๆ ถังเย่ว์ซานก็นึกอะไรขึ้น เขาหันไปมองซ่างกวานชิ่งที่สวมหน้ากากแล้วถาม “สหายท่านนี้พูดภาษาแคว้นเจาได้ชัดแจ๋วมาก นี่หรือว่าท่านจะมาจากแคว้นเจาเหมือนกัน”
…
ณ ปากถ้ำ กู้เจียวเพ่งมองคนตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
รูปร่างหน้าตาของเขาค่อนข้างแตกต่างจากภาพที่เคยเห็น แม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่เค้าโครงและอุปนิสัยของเขายังคงเหมือนเดิม
กู้เจียวเอ่ยชื่อของเขาอีกครั้ง
อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ยินชื่อนี้มาหลายปีแล้ว หลังจากที่มึนงงอยู่พักหนึ่ง จึงพยายามพูดออกมาช้าๆ “เซวียน…หยวน…ฉี”
“ใช่ ท่านคือเซวียนหยวนฉี”
“ตาย…แล้ว…” เขาเอ่ยต่อ
กู้เจียวพยักหน้า “ท่านพูดแบบนี้ก็ไม่ผิด เซวียนหยวนฉีตายไปแล้ว แต่ตั้งแต่นั้นมาก็ถือกำเนิดเจ้าแห่งเงาทมิฬคนที่สองขึ้น”
“เงา…ทมิฬ…” สายตาของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่ายามเอ่ย
ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในสุสานลำพังนานเกินไปจนมีอาการมึนงง แม้ว่าเขาจะไม่ได้สูญเสียความทรงจำ แต่ก็มีหลายเรื่องที่เขานึกไม่ออก
เซวียนหยวนลี่เป็นจอมพล ส่วนเซวียนหยวนฉีเป็นนายพล พวกเขาเป็นหัวเรือของตระกูลเซวียนหยวน ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ ย่อมสร้างความหวาดกลัวให้กับแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียง
เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ ที่เขาต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
กู้เจียวเอ่ยเบาๆ “ไม่เป็นไร ค่อยๆ นึกก็ได้”
จากนั้นเขาจึงพยายามนึกย้อนความทรงจำ
กู้เจียวไม่ได้ขัดจังหวะเขาแต่อย่างใด
เหลี่ยวเฉินเคยบอกว่าหลงอีเป็นคนฆ่าเซวียนหยวนฉีไปแล้ว ทั้งๆ ที่จริงแล้ว เขายังไม่ตาย
และนั่นยิ่งทำให้กู้เจียวสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างหลงอีกับเซวียนหยวนฉี
อีกอย่าง เหตุใดเขาถึงมั่นใจว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว และเพราะอะไรเขาถึงไม่ให้ ‘ดวงวิญญาณ’ ของเขาไปสู่สุขคติ
เขาหลับตาลง และพยายามถอดจิตออก
กู้เจียวโบกมือให้เขา
“เอ๋ ไม่ขยับเลยแฮะ ถ้าข้าลอบโจมตีท่านตอนนี้ล่ะ”
จบ ก็ยกนิ้วทำท่าจะจิ้มเข้าไปที่ตาของเขา!
ดูเหมือนว่าเขาไม่แสดงท่าทีจะหลบเลยด้วยซ้ำ
กู้เจียวค้างมือไว้พร้อมกับเอ่ยขึ้น “เอาจริงหรอเนี่ย ช่างเถอะ ข้าจะปล่อยให้ท่านระลึกชาติไปเงียบๆ แล้วกัน อย่าง
ไรก็ไม่มีใครโผล่มาที่นี่อยู่แล้ว”
ทันทีที่กู้เจียวเอ่ยจบ จู่ๆ เสียงฝีเท้าจากทางเดินก็เกิดดังขึ้น
กู้เจียวส่งสัญญาณให้เจ้าเฮยเฟิงคอยคุ้มกันเขาไว้ ส่วนตัวเองก็ออกไปดูลาดเลาที่ต้นเสียง
ถ้ำแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ต้องผ่านช่องแคบหน้าผารวมถึงพุ่มไม้หนามก่อนจึงจะถึงเส้นทางด้านนอก
เมื่อกู้เจียวเดินออกไป ก็เจอกับคนอีกฝั่งพอดี
ถังเย่ว์ซานยกธนูง้างขึ้นทันทีที่เห็นเงาของใครบางคน
ทันใดนั้น เสียงกู้เจียวก็ดังขึ้น “ข้าเอง!”
ถังเย่ว์ซานตกใจสะดุ้ง ก่อนจะหันไปหากู้เจียว “เฮ้อ นี่ยายหนู…เจ้า เจ้าจริงๆ ด้วย”
ดีนะที่ไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นตัวตนของเจ้าได้ถูกเปิดโปงแน่แม่สาวน้อย
ยายหนู
นี่พวกเจ้าทักทายกันด้วยคำหยาบคายแบบนี้รึ
สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันได้!
หลังจากที่มองค้อนถังเย่ว์ซานจบ ซ่างกวานชิ่งก็รีบเดินเข้าไปหากู้เจียว “นี่เจ้าได้เจอกับราชาผีรึเปล่า แล้วหน้าเจ้าไปโดนอะไรมา ทำไมถึงมีรอยเลือดล่ะ”
“อากาศร้อนนิดหน่อยน่ะ ก็เลยเลือดกำเดาไหล” กู้เจียวเอ่ยตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
จะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าแพ้มา!
เพื่อตัดบทคำถามของซ่างกวานชิ่ง กู้เจียวจึงรีบชิงต่อ “อ๋อ จริงสิ ข้าเจอราชาผีแล้วนะ”
ท่วาสีหน้าของซ่างกวานชิ่งยังคงไม่เปลี่ยน เนื่องจากมั่นใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังโกหกเขาอยู่แน่ๆ
ถ้าเจอจริงๆ ป่านนี้คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก เพราะคงถูกราชาผีจับฉีกเป็นชิ้นๆ ไปซะก่อน
“ไหนเจ้าว่ามาสิว่าไปเจอราชาผีที่ไหน เมื่อครู่นี้ข้าไปที่สุสานมา เขาไม่อยู่ที่นั่น”
ทุกครั้งที่ซ่างกวานชิ่งมาที่หลังเขา ก็มักจะเจอเขาอยู่ที่เดิมตลอด
จากนั้นกู้เจียวจึงเริ่มโอ้อ้วด “ที่แท้เจ้าก็ไม่เคยไปถ้ำของราชาผีเลยหรือ นี่เจ้าเป็นสหายของราชาผีจริงหรือเปล่า”
ซ่างกวานชิ่งโต้กลับทันควัน “เขาเคยชวนข้าไปที่นั่นหลายครั้ง! ข้าก็แค่ไม่มีเวลาไปเท่านั้น!”
กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น “อ้อ”
ซ่างกวานชิ่ง “…!!”
ระหว่างทาง ถังเย่ว์ซานรู้เรื่องจากซ่างกวานชิ่งว่าที่หลังเขาแห่งนี้มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งซ่อนตัวอยู่ แม้สติจะไม่สมประกอบ แต่ฝีมือวรยุทธ์ของเขานั้นเก่งกาจมาก
ก็ไม่รู้สินะว่าใครจะเก่งกว่ากัน แต่ก็ช่างเถอะ จะให้มาตประลองฝีมือกันตอนนี้ก็คงไม่สะดวก
“รีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะ” ถังเย่ว์ซานกล่าว
“พวกเจ้ากลับไปก่อนเลย ข้ายังมีธุระต้องทำอีก” กู้เจียวกับพวกเขา
“จะไม่กลับเมืองฉวี่หยางแล้วรึ” ถังเย่ว์ซานถาม
“ตอนนี้คงกลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ต้องรอ…” กู้เจียวไม่แน่ใจว่าเซวียนหยวนฉีจะดีขึ้นเมื่อไหร่ จึงได้แต่ตอบกลับไป “รออีกไม่กี่วัน”
กู้เจียวสังหรณ์ใจอย่างรุนแรงว่าเวลานี้นางไม่ควรเดินทางออกจากเขากุ่ยซาน ไม่เช่นนั้น นางอาจจะไม่ได้เจอเซวียนหยวนฉีอีกเลย และอาจพลาดคำตอบที่ต้องการไปตลอดกาล
“เจ้าคงไม่ได้คิดจะตามหาราชาผีจริงๆ หรอกใช่ไหม” ซ่างกวานชิ่งมองกู้เจียวด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้หรอก ทางนู้นน่ะน่าเป็นห่วงกว่าอีก พวกเซี่ยสิงโจวและมือกระบี่คนอื่นๆ พากันกลับไปแล้ว คนอย่างกงซุนอวี่คงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ พรุ่งนี้เช้าเขาจะต้องส่งกองทัพแคว้นจิ้นบุกเข้ามาโจมตีในภูเขาแน่นอน”
ซ่างกวานชิ่งถอนหายใจ “วางใจเถอะน่า ข้ามีแผนรับมือแล้ว!”