สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 851 เจียวกับถังจบเห่ทั้งคู่!
บทที่ 851 เจียวกับถังจบเห่ทั้งคู่!
ศึกนี้เกิดขึ้นก่อนในห้วงฝันราวๆ เก้าปีได้ รายละเอียดต่างๆ มากมายก็คงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
อย่างเช่น กำลังการรบของแคว้นเหลียงไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ฝันไว้ ด้านหนึ่งกลายเป็นฝั่งต้าเยี่ยนแข็งแกร่งขึ้น อีกด้านหนึ่งก็ขุนพลแกร่งอันดับสองของแคว้นเหลียงยังอยู่ระหว่างทางถูกปราบปราม
หากรอให้ถึงเก้าปีค่อยเปิดศึก เช่นนั้นศัตรูที่พวกนางต้องกำจัดนอกจากฉู่เฟยเผิงแล้ว ยังมีขุนพลแกร่งคนนั้นด้วย
เมื่อวิเคราะห์เช่นนี้แล้ว กำลังทหารแคว้นจิ้นจึงไม่เหมือนกับเจ็ดปีต่อมาอีกต่อไป
ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดกู้เจียวต้องมาลอบสืบสถานการณ์ทางการทหาร
ทวนพู่แดงของกู้เจียวสะดุดตาเกินไป นางจึงทิ้งไว้ที่ค่ายทหารเมืองฉวี่หยาง อาวุธของนางคือแส้ที่แย่งมาจากมือกู้เฉิงเฟิงแทน
ธนูตระกูลถังของถังเย่ว์ซานก็ไม่ได้ด้อยเพียงนั้นแล้ว แต่เขาอาลัยอาวรณ์สุดที่รักของตัวเอง จะฝืนพกติดตัวมาให้ได้ จึงต้องใช้ผ้าพันไว้ เคราะห์ดีที่ตัวตนของเขาคือทาสใบ้ผู้ห้าวหาญ จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
ถังเย่ว์ซานในหนึ่งวันตรวจดูธนูตระกูลถังไปแล้วแปดร้อยรอบ เมื่อตรวจสอบเสร็จอีกหน เขาก็ตบมืออย่างพอใจพลางเอ่ย “เอาละ ไปหลบซุ่มทางจวนเจ้าเมืองก่อน รอฟ้ามืดค่อยลงมือ”
ตอนที่ทั้งคู่อยู่ที่ชายแดนแคว้นเจา จวนเจ้าเมืองใหญ่แต่ละแห่งล้วนมีทหารคุ้มกันหนาแน่น แต่ที่นี่กลับต่างออกไป
หากไม่ใช่เพราะกงซุนอวี่ไม่อยู่ที่จวนเจ้าเมือง ก็คงเพราะกงซุนอวี่มั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าไม่มีคนนอกสามารถปะปนเข้ามาได้
เพียงไม่นานข้อแรกก็ถูกปัดตกไป
เพราะเมื่อพวกนางหลบซุ่มอยู่ในร้านค้าเสบียงอันว่างเปล่าแห่งหนึ่งละแวกจวนเจ้าเมือง เห็นทหารกองหนึ่งควบม้าออกมาจากประตูใหญ่จวนเจ้าเมือง
รถม้าคันหนึ่ง กอปรกับองครักษ์ยี่สิบนายควบม้าติดตาม
กู้เจียวมองปราดเดียวก็จำหันหน้าองครักษ์ได้แล้ว
ในมือกงซุนอวี่มีขุนพลแกร่งทั้งหมดสี่นาย ได้แก่ นักดาบเดียวดายหมิ่นหงอี้ วานรพลังเจี่ยสิงโจว หมัดเหล็กฝ่ามืออหังการจูจางขวง และจันทราไหลบุปผาโบยบินเย่ว์หลิ่วอีที่ถนัดอาวุธลับและวางค่ายกล
คนผู้นี้คือนักดาบเดียวดาย หมิ่นหงอี
กู้เจียวแอบคิดในใจว่า คิดไม่ถึงว่าหมิ่นหงอีจะมาอยู่ข้างกายกงซุนอวี่ไวปานนี้ ไม่รู้ว่าอีกสามคนที่เหลือก็ถูกกงซุนอวี่ดึงตัวมาหรือไม่
คนที่สามารถทำให้หมิ่นหงอียินยอมพร้อมใจคุ้มกันได้ นอกจากกงซุนอวี่แล้วคงไม่มีผู้ใดอีก
กู้เจียวใช้ปลายนิ้วเขียนลงบนโต๊ะที่ฝุ่นจับเต็ม ‘กงซุนอวี่’
ถังเย่ว์ซานแม้จะตกใจที่กู้เจียวได้ข้อสรุปเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร แต่ก็ยังกลั้นหายใจไว้อย่างรู้กัน
คนในรถม้าไม่แผ่รังสีใดๆ ออกมาด้านนอก หากไม่ได้กู้เจียวเตือนไว้ เขาคงหลงนึกว่าข้างในเป็นคนธรรมดาไปแล้ว
นี่แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่จัดการได้ยาก กงซุนอวี่แข็งแกร่งถึงขนาดที่สามารถเก็บงำกลิ่นอายตัวเองได้แล้ว
การเก็บงำนั้นยากยิ่งกว่าการปลดปล่อยออกมาเสมอ
อย่างเช่น ตอนที่ฉังจิ่งปรากฏตัวขึ้นก็มาพร้อมกับกลิ่นอายแข็งแกร่งน่าหวาดกลัว แต่หลงอีกลับทำได้ถึงขั้นที่ไม่ให้ผู้ใดรู้การมีตัวตนของเขาได้
เดิมทีทั้งคู่ยังคิดจะสะกดรอยตามกงซุนอวี่ไป แต่ตอนนี้ล้มเลิกความคิดนี้แล้ว
ถังเย่ว์ซานเป็นคนที่รู้แจ้งถ่องแท้ในขอบเขตนี้ดี ส่วนกู้เจียวเคยเห็นกงซุนอวี่ลงมือมาก่อน กอปรกับมีหมิ่นหงอีอีกคน พวกนางมีแววชนะน้อย
หลังจากที่พวกกงซุนอวี่เดินออกไปไกลแล้ว ทั้งคู่ก็รอต่ออีกพักหนึ่ง เมื่อรอถึงช่วงเปลี่ยนกะแล้ว จึงแอบเร้นกายเข้าไปในคฤหาสน์
ทั้งสองเพิ่งจะเข้ามายังไม่ทันยืนให้มั่นคงดี กู้เจียวก็เจอยอดฝีมือคนที่สอง วานรจอมพลัง เจี่ยสิงโจว
มิน่าเล่าถึงไม่ส่งทหารมาเฝ้าแน่นหนา
กงซุนอวี่เองก็เป็นยอดฝีมือแห่งยุค ไหนจะมีหมิ่นหงอีกับเจี่ยสิงโจวอีก ไม่มีมือสังหารคนใดสามารถลงมือกับกงซุนอวี่ในจวนได้เลย
ทั้งคู่แนบตัวชิดภูเขาจำลองแน่น
ถังเย่ว์ซานใช้สายตาถามว่า มียอดฝีมือผู้นั้นอยู่ พวกเราลงมือไม่สะดวกนะ จะโดนจับได้เอา!
กู้เจียวขมวดคิ้ว หากเขาออกไปก็ได้แล้ว
ถังเย่ว์ซาน ข้าขอพูดตรงๆ นะ ความคิดนี้ของเจ้าไร้เดียงสาเกินไป
จากนั้นเจี่ยสิงโจวก็ได้ยินคนรับใช้รายงานบางอย่าง คงเป็นเรื่องในค่ายทหาร เขาจึงพาองครักษ์คนสนิทสองสามคนควบม้าออกจากจวนเจ้าเมืองไป
ถังเย่ว์ซาน “…”
แม่หนู โชคอะไรของเจ้ากันนี่
ในจวนไม่มียอดฝีมือชั้นเยี่ยมวิปริตคนอื่นอยู่อีก ทั้งคู่จึงแอบเข้าไปในห้องหนังสือของกงซุนอวี่อย่างระมัดระวัง
“ว้าว กงซุนอวี่ผู้นี้ ชอบสะสมอาวุธลับนี่นา” ถังเย่ว์ซานมองอาวุธทั่วห้อง ร้องขึ้นด้วยความตื่นตะลึงอย่างอดไม่ได้
กู้เจียวเอ่ยเสียงนิ่ง “ทุกครั้งที่กงซุนอวี่สังหารยอดฝีมือทิ้งคนหนึ่ง ก็จะเอาอาวุธพวกเขามาด้วย”
สำหรับคนนอกแล้ว นี่เป็นหลักฐานกระทำความผิด แต่สำหรับกงซุนอวี่แล้ว อาวุธทั้งหมดเป็นเหรียญรางวัลยืนยันถึงเส้นทางการเป็นผู้แข็งแกร่งของเขา
ถังเย่ว์ซานขนลุกชูชัน ฆ่าคนก็ฆ่าไปสิ ยังเก็บอาวุธของคนตายสะสมไว้อีก โรคจิต!
“เจอแล้ว!” กู้เจียวเอ่ย
“อะไร” ถังเย่ว์ซานวางอาวุธในมือลง ขยับไปหา เห็นกู้เจียวเปิดแผนผังวางกองกำลังทหารของแคว้นจิ้นแล้ว รวมถึง…ม้วนกระดาษหนาเตอะม้วนหนึ่งด้วย
“นี่น่าจะเป็นบันทึกการเดินทัพ” กู้เจียวคล้ายคิดบางอย่างอยู่ก่อนจะเอ่ย “ข่าวคราวที่เกี่ยวกับกองทัพจิ้นทั้งหมดล้วนอยู่ในนี้”
นี่เป็นเบาะแสที่ล้ำค่ามาก!
ถังเย่ว์ซานครุ่นคิด “เช่นนั้น…เอาไปด้วยรึ”
เอาไปด้วยน่ะได้ แต่หากทำเช่นนั้น กงซุนอวี่ก็จะรู้ว่ามีคนมาที่นี่ เช่นนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในม้วนกระดาษกับแผนผังกองกำลังไป
หากคัดลอกก็เวลาไม่พออีก
คงต้องฝืนจดจำไว้แล้ว
หากนางรู้จักอักษรแคว้นจิ้น คงจะง่ายกว่านี้มาก
น่าเสียดายที่นางไม่รู้จัก
นางจำต้องจดจำในรูปแบบแผนภาพแทน ชาติก่อนนางอยู่ในองค์กรเคยฝึกฝนเทคนิคนี้เป็นพิเศษ ความเร็วและความแม่นยำของนางเป็นรองแค่พ่อทูนหัวเท่านั้น
กู้เจียวหลับตาลง รวบรวมสมาธิทั้งหมด จดจำเนื้อหาในม้วนกระดาษเข้าสมองทีละนิด
ถังเย่ว์ซานมองจนปากอ้าตาค้าง “ไม่กระมัง…เจ้ายังมีความสามารถนี้อีกด้วย”
คนที่ทำศึกในกองทัพใหญ่ สมองยังปราดเปรื่องเพียงนี้ด้วย แล้วคนอื่นจะทำมาหากินอย่างไร
จำสัญลักษณ์สุดท้ายเสร็จ กู้เจียวก็ปวดหัวเหมือนหัวจะระเบิด
ถังเย่ว์ซานเห็นสีหน้านางแปลกไป จึงรีบถาม “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
กู้เจียวมือหนึ่งเท้าโต๊ะ อีกมือกุมหน้าผาก “ใช้สมองมากเกินไป… พักสักหน่อยก็หาย”
ถังเย่ว์ซานเป็นคนหยาบกระด้าง เขารู้สึกว่ากู้เจียวสามารถจดจำเนื้อหาได้ทั้งม้วนก็เก่งมากแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าเก่งกาจเท่าใดกันแน่ หากพวกปัญญาชนในราชสำนักอยู่ที่นี่ด้วย เกรงว่าคงได้คุกเข่าให้กู้เจียวเดี๋ยวนี้เลย
สมองระดับนี้ เหนือขีดจำกัดของคนปกติไปมาก
“ไปกันเถิด ที่นี่ไม่มีข่าวที่เป็นประโยชน์แล้ว”
กู้เจียวเพิ่งเดินไปเพียงก้าวเดียว ก็ปวดหัวจนดวงตามืดวูบ เคราะห์ดีที่ถังเย่ว์ซานตาไวมือเร็วคว้านางไว้ทัน
“ที่แท้พวกบัณฑิตก็อ่อนแอกันจริงๆ ด้วย ดูเจ้าสิ ยังอ่านไม่ถึงสองหน้าเลย อ่อนแอยิ่งกว่าทำสงครามศึกหนึ่งอีก!”
ถังเย่ว์ซานปากบ่นกู้เจียวอย่างเดียดฉันท์ แต่มือกลับสัตย์ซื่อยิ่ง เขาย้ายธนูใหญ่มาไว้ข้างหน้าตัวเอง แล้วแบกกู้เจียวไว้ข้างหลัง
ยามนี้กู้เจียวกำลังข่มความเจ็บปวดเหมือนสมองจะระเบิดเอาไว้ ความทรงจำของสัญลักษณ์เหล่านั้นฝังลึกอยู่ที่สมองคราแล้วคราเล่า
นางแบ่งสมาธิมาเอ่ยกับถังเย่ว์ซาน “ข้าจะโดนขัดจังหวะไม่ได้”
“ได้ๆ ๆ เจ้าจำของเจ้าไป!” ถังเย่ว์ซานปิดปากฉับ ไม่สนทนากับนางอีก
เขาแบกกู้เจียวใช้วิชาตัวเบาออกจากจวนเจ้าเมือง
พวกเขาเพิ่งจะจากไป เจี่ยสิงโจวก็กลับมาพอดี
ถังเย่ว์ซานหลบอยู่ในตรอก ทอดมองทหารจิ้นควบม้าไปไกล ก่อนจะพรูลมหายใจโล่งอก
เพียงแต่สิ่งที่ถังเย่ว์ซานไม่คาดคิดก็คือ พวกเขาหลบได้กระทั่งยอดฝีมือจวนเจ้าเมือง กลับโดนทหารจิ้นสองนายที่เพิ่งปล้นชาวบ้านในเมืองเสร็จเห็นเหตุการณ์ในตอนที่พวกเขาจูงม้าออกมา
ชนิดที่ว่าเจอหน้ากันจังๆ เลย
เขตนี้ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านคนใดเข้าใกล้ ผู้ฝ่าฝืนโทษถึงตาย!
ทหารจิ้นสองนายพลันระแวดระวังขึ้นมา คนหนึ่งชักกระบี่ขวางไว้ อีกคนเป่านกหวีดเตือนขึ้น
ถังเย่ว์ซาน จบเห่แล้ว ยามนี้จบเห่แล้ว
“เจ้ายังขี่ม้าได้หรือไม่” ถังเย่ว์ซานหันไปถามกู้เจียวที่ฟุบอยู่หลังเขา
กู้เจียวตั้งสติเอ่ย “ได้”
“เช่นนั้นก็ดี ทางที่ดีเจ้านั่งให้มั่นคงไว้นะ!” ถังเย่ว์ซานวางกู้เจียวบนหลังราชาม้าเฮยเฟิงส่วนเขาพลิกตัวขึ้นหลังม้าด้วย
คืนนี้เกรงว่าจะออกจากเมืองไม่ได้แล้ว เคราะห์ดีที่เมืองผู่กว้างใหญ่ไพศาล ขอแค่พวกเขาสลัดทหารที่ไล่ตามมาหลุดก็จะลดโอกาสการปะทะลงได้
กำลังทหารจิ้นมีมาก แค่ไล่จับผู้ต้องสงสัยสองคนก็เคลื่อนพลหลายร้อยคน
ถังเย่ว์ซานควบม้าไปตลอดทาง อดหันกลับไปมองไม่ได้ เห็นกองทัพใหญ่แน่นขนัดไล่ตามตนกับกู้เจียวมา เขาขมวดคิ้ว “ไม่กระมัง ไล่ตามสองคนเท่านั้น ต้องใช้กองกำลังมากเพียงนี้เชียวรึ”
เขาทอดมองกู้เจียวที่จับบังเหียนไว้แน่นก่อนจะเอ่ย “แม่หนู! อีกฝ่ายมีคนเยอะเกินไป! หากไล่ตามทันได้ยุ่งแน่!”
นั่นสิ จะโดนจับไม่ได้ นางปวดหัวยิ่งนัก ไม่อาจรับศึกได้เต็มที่
นางกระตุกบังเหียน “ลูกพี่ ไปทางตะวันออก!”
“ยิงธนู!”
เสียงตะโกนของกองทัพจิ้นดังขึ้นด้านหลัง จากนั้นลูกธนูมืดฟ้ามัวดินก็พุ่งเข้าใส่ทั้งสองอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าคำราม
ราชาม้าเฮยเฟิงเลี้ยวเข้าไปในตรอกทางขวา ม้าเฮยเฟิงก็เลี้ยวตามไปด้วย
ลูกธนูยิงปักเข้าประตูไม้กับแผ่นไม้ร้านค้า หนึ่งในนั้นอีกครึ่งชุ่นก็เกือบจะยิงโดนหัวถังเย่ว์ซานแล้ว
เคราะห์ดีที่ม้าเฮยเฟิงเลี้ยวได้ทันเวลา!
กู้เจียวเอ่ย “ลูกพี่ ตรงไปข้างหน้า”
เมื่อออกจากใจกลางเมืองแล้ว ก็มาถึงชานเมือง ซึ่งมีป่ากับหุบเขามาก ซ่อนตัวได้ง่าย
ราชาม้าเฮยเฟิงเร่งความเร็วถึงขีดสุด เพราะมีมันนำหน้าอยู่ ม้าเฮยเฟิงก็วิ่งด้วยความเร็วที่ยามปกติไม่สามารถทำได้เช่นกัน
ถังเย่ว์ซานรู้สึกเหมือนตัวเองจะเหาะอยู่แล้ว!
กองทัพจิ้นกลุ่มแรกโดนสลัดหลุดอยู่ไกลลิบๆ ตั้งนานแล้ว จนด้วยเกล้าที่พวกเขาใช้เสียงนกหวีดเป็นสัญญาณ กองกำลังตามถนนเข้ามาขวางไว้ไม่ขาดสาย
ราชาม้าเฮยเฟิงพุ่งทลายระลอกแล้วระลอกเล่า สลัดออกระลอกแล้วระลอกเล่า!
หนึ่งม้านำหน้า ราชาไม่หวั่นเกรง!
เมื่อพวกนางควบม้าเข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเจี่ยสิงโจวจู่ๆ ก็โผล่ออกมาไล่สังหารอยู่บนถนนสายเล็ก!
คนผู้นี้ไล่ตามมาด้วยทางลัด!
ขมับถังเย่ว์ซานเต้นตุบๆ !
เมื่อเห็นว่ากำลังจะชนแล้ว ราชาม้าเฮยเฟิงก็เร่งความเร็ว ยกกีบเท้าหน้าขึ้น ทะยานตัวขึ้น ข้ามหัวเจี่ยสิงโจวไปอย่างอันธพาล!
เจี่ยสิงโจวฟันดาบใหญ่ได้เพียงอากาศ
ม้าเฮยเฟิงของถังเย่ว์ซานก็ใช้จังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว วิ่งผ่านหน้าเขาไปเร็วรี่!
เจี่ยสิงโจวกระตุกบังเหียนแน่น ขมวดคิ้วมองม้าศึกที่หลบดาบของเขาได้อย่างคาดไม่ถึง ไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
ม้าศึกตัวนั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่ง!
อยากจะชิงมันมามอบให้นายท่านนัก!
น่าเสียดาย…
“ท่านแม่ทัพ พวกเราจะไล่ตามไปหรือไม่” ทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม
เจี่ยสิงโจวทอดมองเงาร่างทั้งสองที่หายลับไปจากหุบเขา เอ่ยเสียงนิ่ง “ไม่ตามแล้ว ข้างหน้าเป็นเขาผี”
เขาผีเป็นสถานที่ต้องห้ามของเมืองผู่ โด่งดังเพราะมักจะมีผีอาละวาด ว่ากันว่าผู้ที่ย่างเหยียบเขาผีไม่มีผู้ใดรอดกลับมาสักคน
ทันใดนั้น เสียงเกือกม้าเร่งร้อนก็ลอยมาจากด้านหลัง ก่อนจะเป็นเสียงหัวเราะใจกล้าบ้าระห่ำของบุรุษ “ฮ่า! เจี่ยโจวเทียน! กะอีแค่ภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งเท่านั้น เจ้าเป็นถึงขุนพลแกร่งอันดับหนึ่งของนายท่าน นึกไม่ถึงว่าจะเชื่อเรื่องภูตผีด้วย”
เจี่ยสิงโจว นามรองโจวเทียน
เจี่ยสิงโจวหันกลับมา ขมวดคิ้วมองเขาแวบหนึ่ง “หมิ่นหงอี เจ้าติดตามนายท่านไปค่ายทหารมิใช่หรือ”
หมิ่นหงอีหัวเราะอย่างยโสโอหัง “เพิ่งกลับมา ได้ยินว่าในเมืองมีหัวขโมยเก่งกาจสองคน ลูกน้องเจ้าวิ่งจนม้าจะตายรอมร่อแล้วก็ยังจับไม่ได้ นี่ข้าก็มาช่วยเจ้าแล้วมิใช่หรือไร”
แม้ว่าทั้งสองจะเป็นคนสนิทของกงซุนอวี่ แต่แก่งแย่งอันดับหนึ่งกันอยู่ตลอด ไม่มีใครยอมใคร
เจี่ยสิงโจวไม่สนใจคำเหน็บแนมของเขา เอ่ยเสียงนิ่ง “พวกเขาเข้าไปในภูเขาผีแล้ว ไม่มีทางรอดออกมาได้”
หมิ่นหงอีเหน็บแนม “ข้าไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอก ข้ารู้แต่ว่าคนเป็นต้องเห็นตัว คนตายต้องเห็นศพ! เจ้าไม่กล้าไล่ตามไป ข้าไล่ตามเอง! ใครก็ได้!”
“แม่ทัพหมิ่น!”
ลูกน้องทุกคนพากันประสานหมัดคำนับ
หมิ่นหงอีตะโกนกร้าว “พวกเจ้าติดตามข้าเข้าไปในเขาผี!”
ทุกคนต่างขานรับโดยพร้อมเพรียง “ขอรับ! แม่ทัพหมิ่น!”
หมิ่นหงอีแย้มยิ้มด้วยความพอใจ ก่อนส่งสีหน้าลำพองให้เจี่ยโจวเทียน “เห็นหรือยัง นี่ต่างหากคือบุรุษต้าจิ้นที่แท้จริง ลูกน้องพวกนั้นของเจ้าน่ะ นอกจากทำเป็นแต่เรื่องลับๆ ล่อๆ แล้ว พอถึงเวลาทำเรื่องสำคัญจริงๆ กลับไม่ได้เรื่องแม้แต่น้อย!”
เจี่ยสิงโจวเอ่ยเสียงนิ่ง “สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร แม้แต่นายท่านยังไม่เคยคิดจะบุกเข้าไปในเขาผี เจ้าอย่าได้เอาตัวเองกับเหล่าทหารไปเสี่ยงเพียงเพราะทะเลาะกับข้า!”
“เหอะ! เจ้าอยากเป็นเต่าหัวหดก็เป็นไป! ข้าจะไปจับผู้ร้าย!”
หมิ่นหงอีเอ่ยจบก็นำทหารห้าร้อยนายเข้าไปในภูเขาผีอย่างห้าวหาญ
…
กู้เจียวกับถังเย่ว์ซานผ่านหุบเขาเข้าไปในป่าลับแห่งหนึ่ง
ฟากฟ้าค่อย ๆ มืดมิดลง เสียงร้องของนกกาดังขึ้นเหนือศีรษะเป็นระยะ
ถังเย่ว์ซานนั่งบนหลังม้าขนลุกชูชันทั้งที่ไม่หนาว เขามองไปรอบๆ เอ่ยถามเสียงเบา “แม่หนู เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่ามันหนาวยะเยือก”
“ไม่” กู้เจียวทอดมองทัศนียภาพป่าเขารอบด้าน “เย็นชาดี”
ที่นี่… ทำให้นางเกิดความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งอย่างหนึ่ง
“เจ้ากลัวผีรึ” กู้เจียวหันไปมองถังเย่ว์ซานอย่างประหลาดใจ
ถังเย่ว์ซานหัวเราะหยัน “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ข้าน่ะ…”
กู้เจียวถลึงตาโตมองเขา ชี้ไปด้านหลังถังเย่ว์ซานทันควัน “อ้ากกก! มีผี!”
“ว้ากกก!” ถังเย่ว์ซานกระโดดพรวดไปบนหลังม้ากู้เจียว
กู้เจียว “…”
ราชาม้าเฮยเฟิง“…”