สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 848 สองคนพบหน้า
บทที่ 848 สองคนพบหน้า
ท้องฟ้าพลบค่ำ ประตูเมืองมีเพียงแสงจันทร์รำไร ทว่าเพียงพอให้ซ่างกวานเยี่ยนมองออกว่ากลุ่มคนที่ควบมาตรงหน้านั้นมิใช่กู้เจียวและทหารม้าเฮยเฟิง
นางเดินไปข้างหน้าสองก้าว ยืนนิ่งมองชายที่ยืนหัวแถวพลางเอ่ย “เงยหน้าขึ้น”
“ขอรับ!” ฉังเวยเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง มองสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดแห่งต้าเยี่ยน
ซ่างกวานเยี่ยนเดินทางมาไกล ทว่ากลับไม่เห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้า ดวงหน้านั้นสงบนิ่งน่าเกรงขาม ท่าทางสง่าผ่าเผย สมกับเป็นราชนิกุล
ฉังเวยมองนางเพียงแวบเดียวแล้วก็หลบตาลงในทันใด
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยไม่เร็วไม่ช้า “เจ้าคือแม่ทัพฉังเวย ยามเด็กข้าเคยพบเจ้าที่ค่ายทหารตระกูลเซวียนหยวน”
ฉังเวยไม่รู้จะว่าตอบรับคำชมนั้น หรือควรจะรู้สึกผิดดี
ยามนี้เขารู้แจ้งถึงการกระทำอันชั่วร้ายของตระกูลหนานกง ส่วนตัวเขานั้นได้กลายเป็นคนในขอตระกูลหนานกงเช่นกัน ต่อให้มิได้ร่วมเข็ญฆ่าตระกูลเซวียนหยวนโดยตรง แต่ก็เป็นหนึ่งในฟันเฟือง ความผิดนั้นมิได้น้อยลงเลย
อันที่จริงก่อนหน้านี้ไม่นาน เขายังนำทัพรบกับทหารม้าเฮยเฟิงอีกด้วย นั่นเป็นการก่อกบฏต่อราชสำนักโดยมิต้องสงสัย
ทั้งยังไม่รู้ว่าองค์หญิงผู้นี้จะลงโทษเขาเช่นไร
เขาเคยลองนึก อย่างไรเสียเขาก็ควรได้รับโทษ แต่ลูกน้องของเขานั้นแค่ทำตามคำสั่ง พวกเขานั้นไร้ความผิด หากต้องโดนตัดหัว เขาจะรับโทษนั้นแทนเอง หวังเพียงแค่ว่าองค์หญิงจะเมตตาเหล่าทหารเมืองฉวี่หยาง
ซ่างกวานเยี่ยนเดินก้าวเข้ามาอีกสองก้าว ผายมือออกมา โน้มตัวลงเล็กน้อยประครองมือเขาให้ลุกขึ้น “แม่ทัพฉังปกป้องเมืองเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก โปรดยืนขึ้นเถิด”
ฉังเวยชะงักไป
เขามองซ่างกวานเยี่ยนอย่างไม่เชื่อสายตา ใบหน้าดุจเทพธิดานั้นไม่มีแม้เล่ห์เหลี่ยมกลลวงใด นางเอ่ยชมเขา… จากใจจริงอย่างนั้นหรือ
แม้ซ่างกวานเยี่ยนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมือง แต่ดูจากท่าทางที่ฉังเวยปฏิบัติต่อนางแล้ว เห็นได้ชัดว่ามิได้เป็นพวกเดียวกับตระกูลหนานกง นั่นก็หมายความว่า เป็นไปได้สูงว่าฉังเวยนั้นถูกลูกสะใภ้ของนางซื้อใจไปแล้ว
บ้านเมืองสงบสุขย่อมดีที่สุด หากต้องออกรบต้านศัตรู คนที่ลำบากที่สุดเห็นที่จะเป็นลูกสะใภ้ของนาง
ยิ่งไปกว่านั้นศึกใหญ่กำลังมาเยือน แม้ฉังเวยและเหล่าทหารแปรพักตร์นั้นจะต้องโทษมหันต์แต่ก็มิใช่เวลาที่จะสำเร็จโทษ สู้ให้พวกเขาสร้างคุณงามความดีเพื่อชดเชยความผิดไม่ดีกว่าหรือ ย่อมเป็นคุณต่อราชสำนักมากกว่า
ความเมตตาขององค์หญิงยิ่งทำให้ตระกูลหนานกงเผยธาตุแท้ ฉังเวยรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม เขาไม่กล้าลุกขึ้น คุกเข่าลงอีกครั้ง “องค์หญิง กระหม่อมมีความผิด”
ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยเสียงแผ่วเบา “มีความผิดหรือไม่ ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง พื้นเย็นนัก เจ้าลุกขึ้นก่อน ให้ทหารของเจ้าลุกขึ้นด้วย”
คำว่าพื้นดินเย็นนักนั้น ยิ่งทำให้เหล่าทหารขอบตาร้อนผ่าว
เหล่าทหารคิดไม่ถึงเลยว่าองค์หญิงจะเป็นห่วงพวกเขา ในใจซาบซึ้งเหลือคณา
นี่ไม่ใช่ยุคสมัยที่ตัดสินคนจากหน้าตา แต่ด้วยซ่างกวานเยี่ยนนั้นเป็นสตรี ย่อมต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับแคว้นแดน ไม่รู้ว่ามีชายมากมายเพียงใดที่ยอมบุกน้ำลุยไฟเพื่อนาง กอปรกับยศถาบรรดาศักดิ์ของนาง และจิตใจเมตตากรุณา
วินาทีนั้น ทุกคนต่างรู้สึกว่าที่คนที่พวกเขาได้พบนั้นมิใช่องค์หญิงแห่งต้าเยียน แต่เป็นเทพเจ้าของพวกเขา
พวกเขายินดีสู้รบเพื่อเทพเจ้า ต่อให้ศึกสงครามจะยากลำบากเพียงใด ต่อให้ศัตรูนับแสนก็พร้อมต้าน
หวังหม่านพลิกตัวลงจากม้า เดินตรงมายังหน้าประตูเมือง สายตาของเขาหยุดลงบนร่างของฉังเวย ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “พวกเจ้ามิใช่ทหารแปรพักตร์ของตระกูลหนานกงหรอกหรือ ทหารม้าเฮยเฟิงเล่า คงมิใช่ตายกันหมดแล้วหรอกนะ”
คำพูดนั้นมิน่าฟังสักเท่าไร
ทหารแปรพักตร์อันใดกันเล่า
องค์หญิงตรัสแล้วว่าพวกเขามีความดีความชอบ! พวกเขาคือทหารของราชสำนักอย่างเต็มตัวแล้ว!
ฉังเวยเอ่ยอย่างไม่ถือสา “ที่แท้คือแม่ทัพใหญ่หวังนี่เอง ทหารม้าเฮยเฟิงตั้งค่ายอยู่ในเมือง หลายวันก่อนเพิ่งชนะศึกหนึ่งได้ พวกโจรแคว้นเหลียงบาดเจ็บสาหัส ข้าอยากให้เหล่าพักผ่อนในค่ายให้เต็มที ข้าจึงออกมารับเสด็จออกหญิงเอง”
คำอธิบายของเขานั้นเรียกได้ว่าชัดเจนยิ่งนัก
ประการแรก นอกจากทหารม้าเฮยเฟิงจะไม่ได้สูญสิ้นแล้ว ยังคว้าชัยชนะมาอย่างงดงาม
ประการที่สอง ทหารม้าเฮยเฟิงและทหารป้อมปราการนั้นความสัมพันธ์ดียิ่ง สามารถเรียกกันว่าสหายได้
แม้ตอนแรกพวกเขาจะเป็นศัตรู แต่ทหารม้าเฮยเฟิงใช้เลือดเนื้อเอาชนะใจพวกเขา! นี่คือกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งต้าเยี่ยน ไม่รับความเห็นต่าง!
หวังหม่านไม่ทันได้สนใจคำพูดที่ทั้งส่อเสียดและปกป้องทหารม้าเฮยเฟิง เพราะเขานั้นกำลังตกตะลึง “เจ้าบอกว่าใครชนะศึกนะ ศึกอันใดกัน”
ฉังเวยยืดอกผึ่งผาย แม้เศร้าใจแต่ก็ภาคภูมิใจ “ประตูเมืองทิศเหนือถูกตีแตก ทหารม้าเฮยเฟิงใช้เลือดเนื้อยึดคืนกลับมา ทหารม้าสองหมื่นนายต้านกำลังทหารแคว้นเหลียงแปดหมื่นนายอย่างไม่คิดกลัวตาย นอกจากจะตัดหัวฉู่เฟยเผิงแม่ทัพใหญ่แคว้นเหลียงได้แล้ว แต่ยังฆ่าทหารแคว้นเหลียงไปนับห้าหมื่นนาย”
หวังหม่านอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “เจ้า… เจ้าว่าอย่างไรนะ ฉู่เฟยเผิงตายแล้วอย่างนั้นหรือ”
นั่นคือเทพสงครามที่ร้อยปีจะมีสักคนของแคว้นเหลียงเชียวนะ เขาคือผู้นำทัพล่าดินแดนบูรพา หากมีเขาอยู่ ไม่มีทางพ่ายศึกใด
ตอนแรกที่ได้ยินว่าฉู่เฟยเผิงนำทัพ แม้แต่หวังหม่านยังรู้สึกว่ายากจะรับมือ ระหว่างทางหวังหม่านคิดเค้นหาวิธีว่าจะต่อกรกับฉู่เฟยเผิงอย่างไร ใครจะไปรู้ว่ายังไม่ทันได้ออกหมัด ฉู่เฟยเผิงก็… หัวขาดกระทบแผ่นดินแล้ว
เป็นไปไม่ได้!
ไม่มีใครฆ่าฉู่เฟยเผิงได้!
ซ่างกวานเยี่ยนคิดในใจ คงเป็นเจียวเจียวสินะ
นอกจากนางแล้ว คงไม่มีผู้ใดกล้าบ้าบิ่นฟันหัวฉู่เฟยเผิง
แต่พอนึกถึงฝีมือของฉู่เฟยเผิง ซ่างกวานเยี่ยนก็ปาดเหงื่อแทนกู้เจียว ไม่รู้ว่านางบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่
ต่อหน้าคนนอก ซ่างกวานเยี่ยนเก็บซ่อนความเป็นห่วงที่มีต่อกู้เจียวเอาไว้ เผยยิ้มชื่นชม “ตอนข้าเพิ่งมาถึงฉวี่หยางก็ได้รับรายงาน จึงดีใจยิ่งนัก หากเสด็จพ่อทรงทราบ ย่อมปิติเหลือล้นเป็นแน่ ที่สามารถขับไล่ทหารแคว้นเหลียงออกไปได้ นี่มิใช่ความดีความชอบของทหารม้าเฮยเฟิงแต่เพียงผู้เดียว แต่ยังต้องขอบคุณทหารประจำป้อมปราการที่คอยคุ้มกันกำแพงเมือง ความสามัคคีจากทุกฝ่าย”
ฉังเวยยกมือประสานพลางเอ่ย “กระหม่อมอับอายยิ่งนัก รับศึกทัพใหญ่แคว้นเหลียงที่ประตูทิศเหนือครานี้ กระหม่อมนั้นมิได้ช่วยเหลืออันใดเลย จึงมิบังอาจรับความดีความชอบ! แต่หากเป็นเพราะยอดฝีมือทั้งสี่ท่านที่องค์หญิงโปรดส่งมานั้นสั่งการได้อย่างเฉียบขาด ช่วยทหารของกระหม่อมไว้มากโข”
ซ่างกวานเยี่ยนชะงักไป “ข้ามิได้ส่งยอดฝีมือมายังฉวี่หยาง”
คราวนี้เป็นถังเวยที่ตกใจแทน “มิใช่คนที่องค์หญิงส่งมาก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ ทว่าพวกเขาอ้างว่าตนเองคือทหารกองหนุนของราชสำนัก ทั้งยังมีราชโอการที่องค์หญิงลงนามในมือด้วย”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ฉังเวยก็ล้วงราชโองการฉบับนั้นที่แนบผิวกายจนร้อนผ่าวในอกเสื้อออกมา สองมือเทินเหนือหัว มอบให้ซ่างกวานเยี่ยน
เขายื่นให้แล้วก็พลันรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่รู้จักธรรมเนียมพิธีการ ควรจะยื่นให้นางกำนัลเสียมากกว่า สิ่งของที่ชายหยาบเช่นเขาสัมผัสมาก่อน จะแปดเปื้อนพระหัตถ์ขององค์หญิงหรือไม่
แต่นางกำนัลอยู่ที่ใดกันเล่า
หวนเอ๋อร์สวมชุดขันทียืนอยู่ข้างองค์หญิง ไม่แปลกที่เขาจะมองไม่ออก
ซ่างกวานเยี่ยนรับมาด้วยมือของตัวเอง
ฉังเวยถอนหายใจอย่างโล่งอก
ขณะเดียวกันก็รู้สึกทั้งประหม่าทั้งตื่นเต้น องค์หญิงท่าทางสง่าผ่าเผยสมดั่งชนสูงศักดิ์ ทว่ากลับมิได้วางมาดเย่อหยิ่งแต่อย่างใด ช่างเป็นกษัตริย์ที่ติดดินโดยแท้
ซ่างกวานเยี่ยนเปิดดูถึงกับงุนงง
นั่นคือลายมือของนางไม่มีผิด ทว่านางจำไม่ได้เลยสักนิดว่าตนเองเคยเขียนราชโองการนี้
แถมด้านบนยังประทับตราประจำตัวของนางด้วย
นี่มันเรื่องอันใดกัน
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แล้วก็มีสิ่งนี้ด้วย บอกว่าเป็นเครื่องยืนยัน” ฉังเวยล้วงแผ่นป้ายหนึ่งออกมาจากอก ก่อนจะมอบให้นางอีกหน
ซ่างกวานเยี่ยนหยิบขึ้นมาดู นี่มิใช่ป้ายเบิกเงินที่นางมอบให้เซียวเหิงหรอกหรือ หากค่าเดินทางไม่พอ ให้ใช่สิ่งไปเบิกเงินที่เฉียนจวง
เช่นนั้นก็แปลว่า
อาเหิงมาถึงแล้วหรือ
อาเหิงมิได้ไปสะสางเรื่องที่ด่านชางเสวี่ยระหว่างแคว้นเฉินและแคว้นจ้าวหรอกหรือ หรือว่าอาเหิงเปลี่ยนแผนการ มารวมกับตัวเจียวเจียวที่ฉวี่หยาง
ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
ฉางเวยไม่เอ่ยถึงพระนัดดา ดูท่าแล้วอาเหิงคงปกปิดตัวตันแฝงตัวมาที่นี่
ก็จริง พระนัดดากำลังเดินทางไปยังด่านชางเสวี่ย ย่อมมิอาจปรากฏตัวอย่างเปิดเผยในเมืองฉวี่หยางได้
ช่างเถอะ นางจะมัวคาดเดาไปทำไม ประเดี๋ยวได้เจออาเหิงก็คงรู้เอง
ซ่างกวานเยี่ยนอยากพบลูกชายของตนจนอดรนทนไม่ไหว ไม่รอเดินขบวนไปพร้อมกับทัพใหญ่ นางขึ้นนั่งบนรถม้า ก่อนจะเอ่ยกับฉังเวย “ข้าจำได้แล้ว ข้าเป็นผู้สั่งการเอง เป็นคนสนิทของข้า เจ้านำทางไปที ข้าจะไปพบพวกเขาที่ค่าย”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉังเวยพลิกตัวขึ้นหลังม้า
ซ่างกวานเยี่ยนแหวกม่าน เอ่ยกับหวังหม่านที่ยังคงตะลึกกับการตายของฉู่เฟยเผิงไม่หาย “แม่ทัพใหญ่หวัง ฝากเจ้าดูแลกองทัพด้วย รบกวนเจ้าพาแม่ทัพทั้งสามไปพบข้าที่ค่าย”
“พ่ะย่ะค่ะ” หวังหม่านเพิ่งได้สติกลับมา ประสานมือรับคำ
รถม้าเคลื่อนเข้าประตูเมืองไป ฟ้ายามราตรีมาเยือนในพริบตา
ซ่างกวานเยี่ยนสูดหายใจลึก บีบนิ้วมือแน่น
เร็วหน่อย เร็วหน่อย เร็วกว่านี้
นางอยากเจอลูกชาย นางแทบจะอดทนไม่ไหวแล้ว
หลายปีที่เสียเวลาไป ทุกวันที่ได้พบหน้าลูกชายนั้นแสนล้ำค่าสำหรับนาง
รถม้าหยุดลงหน้าค่ายทหาร
“กระหม่อม…” ฉังเว่ยกำลังจะเอ่ยปาก
“มิต้องแจ้งข่าว” ซ่างกวานเยี่ยนลงจากรถม้า นางอยากจะให้ลูกชายประหลาดใจสักหน่อย “พักเขาอยู่ที่กระโจมหลังใด”
“ข้างกระโจมของท่านผู้บัญชาการน้อยขอรับ” ฉังเวยเดินพลางชี้ไปยังบรรดากระโจมที่อยู่ตรงกลาง “สามหลังนั้น กระโจมซ้ายมือพักอยู่สองคน คนหนึ่งใบหน้าหล่อเหลา อีกคนหนึ่งคือยอดฝีมือ”
ใบหน้าหล่อเหลาอย่างนั้นรึ อีกคนคือยอดฝีมืออย่างนั้นหรือ
จะไม่ใช่อาเหิงกับหลงอีได้อย่างไร
ภายในกระโจมจุดตะเกียงน้ำมัน ผ้าใบกระโจมสะท้อนเงาด้านของของชายคนหนึ่ง ดูเหมือนกำลังอ่านหนังสือใต้แสงไฟ
ขยันหมั่นเพียรปานนี้ ต้องเป็นอาเหิงแน่นอน
แถมเค้าโครงสันจมูกอันสมบูรณ์แบบและรูปร่างนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นอาเหิง
ซ่างกวานเยี่ยนยกชายชุดองค์หญิงรัชทายาท หัวใจเต้นระรัวอย่างมิไม่อาจควบคุม ซอยเท้าเดินเข้าไป แหวกเปิดม่านออกในทันที
“ลูก…”
นางก้าวเดินเข้าไป ทว่าเมื่อได้เห็นชายในกระโจมอย่างชัดเจนแล้ว คำว่าลูกชายนั้นก็ค้างติดอยู่ในลำคอ